ตอนที่ 107
เปรียบเทียบการนอน เปรียบเทียบการกิน เปรียบเทียบการดื่ม
ซ่งฝูหลิงอาศัยการเปรียบเทียบถึงได้กัดฟันทนต่อไปได้
เปรียบเทียบด้านการนอน
นางนอนไม่อยากตื่น พักผ่อนไม่เพียงพอ อยากจะโวยวายระบายอารมณ์ออกมา นางต้องเดินทั้งวันทั้งคืน ให้นางได้พักผ่อนเหยียดขามากกว่าห้าชั่วโมงจะได้ไหม เมื่อนางหลุดพูดออกมาก็กลืนคำพูดนั้นลงไปและนางจะเริ่มมองไปที่คนอื่น
พี่เถาฮวา พี่ต้ายา พี่เอ้อร์ยา ซ่งจินเป่า ท่านย่าที่มีอายุมากแล้ว พวกเขากลับได้พักผ่อนน้อยกว่านางมากเพราะต้องทำงาน ในขณะที่นางทำเพียงแค่ล้มตัวลงนอนเท่านั้น
รวมทั้งหมี่โซ่วที่ยังไม่หายจากอาการหวัดดี เด็กตัวน้อยขนาดนี้ ง่วงนอนจนเดินเซก็ยังไม่บ่นออกมาสักคำ ทำไมนางจะอดทนต่อไปไม่ได้
เปรียบเทียบด้านการกิน
ซ่งฝูหลิงแย่งเนื้อย่างในมือท่านย่าของนางมากัดคำหนึ่ง เนื้อแห้งมากและไม่ได้ใส่เกลือ
นางก้มลงกินของตนเองก็รู้สึกว่าไม่มีหน้าพอที่จะพูดว่า กลืนเนื้อวัวย่างไม่ลง
เมื่อเปรียบเทียบด้านการดื่มแล้ว นั่นยิ่งไม่มีสิทธิ์จะเรื่องมากอีกแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่พิเศษของบ้านนางที่มีน้ำ พ่อของนางยอมให้หมี่โซ่วอด ตนเองอด เขาก็ไม่ยอมให้นางอดน้ำดื่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านย่าของนางที่คอยแอบถามนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำไมถึงไม่ดื่มน้ำ?
และยังกระซิบบอกนางว่า ย่าแอบเก็บน้ำไหเล็กไว้ พวกเขาคิดว่าเป็นไหดองผักของบ้านเรา แท้จริงข้างในใส่น้ำไว้ ข้าปิดฝาเอาไว้
ข้าไม่ได้แบ่งให้กับทุกคน น้ำในไหเล็กนี่ข้าเก็บไว้ให้พวกเด็กๆ อย่างพวกเจ้า เจ้าห้ามบอกพ่อของเจ้าเป็นอันขาด
ซ่งฝูหลิงฟังจบก็น้ำตาไหลต่อหน้าท่านย่าหม่า นางเกือบจะไม่ทำตามคำสั่งของซ่งฝูเซิง เกือบจะเปิดฝาเครื่องดื่มหนึ่งขวดยื่นให้กับย่าของนาง
ขณะที่นางกำลังตื้นตันใจอยู่นั้น ท่านย่าหม่าก็หันหน้าเดินกลับไป ตอนเดินยังบ่นพึมพำ “ยังมีน้ำตาให้ไหลได้อีก ข้าคิดว่าเจ้าจะกระหายน้ำจนฉี่ไม่ออกแล้วเสียอีก ถ้าเช่นนั้นเจ้าไม่ต้องดื่มแล้ว น้ำนั่นให้เก็บไว้”
ดูสิ ไม่ต้องไปครุ่นคิดถึงยุคปัจจุบัน อย่าเปรียบเทียบกับอดีตของตัวเอง เพียงแค่เปรียบเทียบกับคนพวกนี้ที่อยู่ตรงหน้า จะไม่ให้รู้สึกพอใจแล้วได้อย่างไรกัน
ซ่งฝูเซิงมาหาซ่งฝูหลิง เขาเปิดกระเป๋าสะพายของลูกสาว หยิบเอายาแก้อักเสบออกมา
เขาถือยาเอาไว้ในมือแน่นและหันมาบอกกับลูกสาว “ซื่อจ้วง เขาช่วยชีวิตหมี่โซ่วเอาไว้และส่งจดหมายได้ทันเวลา ก็เหมือนกับช่วยชีวิตครอบครัวเราสามคนไว้ เขาทำงานให้บ้านของเรา อดทนตลอดการเดินทาง คาดว่าอาจจะทำงานให้ครอบครัวของเราไปตลอดชีวิต อากาศร้อน บาดแผลของเขาติดเชื้อ เหมือนมีรอยไหม้นิดหน่อย ไม่สามารถทนมองเฉยต่อไปได้ ข้า? เฮ้อ!”
ซ่งฝูเซิงยังไม่ทันพูดจบก็เดินถือยาแก้อักเสบออกไป
ซ่งฝูหลิงมองด้านหลังพ่อของนางก็อดยิ้มไม่ได้
นางรู้ว่า เมื่อสักครู่สิ่งที่พ่ออธิบายให้นางฟังทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้วเขากำลังพูดให้ตนเองฟัง พูดโน้มน้าวใจตนเองอยู่ต่างหาก
นางมองแผ่นหลังซ่งฝูเซิง ในสมองของซ่งฝูหลิงก็นึกถึงคำพูดของพ่อก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง
ข้าบอกเจ้าไว้นะลูกสาว อย่าใจดีไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นคนชราหรือเด็ก ต่อให้พวกเขาล้มตายต่อหน้า เจ้าก็ห้ามใจอ่อนเป็นอันขาด บ้านเรามียาแก้อักเสบเพียงเล็กน้อย ถ้าต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจะกินอะไร?
ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน เขาชูชามขึ้นพร้อมกับตะโกน
“จะออกเดินทางแล้ว ข้างหน้าอาจจะยากลำบากขึ้น…
…เบื้องหน้าจะมีน้ำหรือไม่ พวกเราสามารถจะหาน้ำเพื่อยื้อชีวิตได้ทันเวลาหรือไม่นั้น ต้องอาศัยอะไร?…
…ออกจากพื้นที่เฮงซวยแห่งนี้ ออกจากพื้นที่ที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ ต้องอาศัยอะไร?…
…ทั้งหมดต้องอาศัยเท้าของพวกเรา อาศัยว่าพวกเราเดินเร็วกันพอหรือไม่…
…ร่วมกันดื่มเหล้าชามนี้กันให้หมด แล้วกัดฟันอดทนต่อไป!”
ทุกคนทั้งหญิงและชาย ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยต่างพร้อมใจกันตะโกน “อดทนต่อไป!”
ในชามของทุกคนมีเหล้าเพียงแค่ก้นชาม แต่ทุกคนต่างใช้สองมือประคองชามไว้ ดื่มเหมือนได้บรรยากาศไหว้ฟ้าดิน
ไม่มีแรงงานสัตว์แล้ว ทั้งสิบสี่ครอบครัวต่างใช้มือตัวเองเข็นรถ พวกเขาพักผ่อนเพียงแค่ครึ่งวันเช้าก็ออกเดินทางภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่
ซ่งฝูหลิงสะพายเป้ นางต้องการปลดตะกร้าที่สะพายอยู่บนไหล่ของเฉียนเพ่ยอิง “ท่านแม่ ท่านอย่าฝืนทนอีกเลย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ประจำเดือนของท่านมาเยอะที่สุด เอามาให้ข้าแบกเถอะ ข้าสะพายเป้ไว้ข้างหน้าและแบกตะกร้าไว้ด้านหลังได้ ข้าแบกไหวและยังทำให้น้ำหนักสมดุลกัน ท่านเอามาให้ข้าเถอะ”
เฉียนเพ่ยอิงเบี่ยงตัวหลบมือของลูกสาวที่จะมาปลดตะกร้าออก นางจับแขนของฝูหลิงไว้และกระซิบบอก “ลูกสาว แม่ยังทนไหว ก็แค่ประจำเดือนเท่านั้นเอง เจ้าต้องจำไว้ให้ดี พวกเราสามคนต้องดื่มน้ำให้มากกว่าทุกคน อย่างน้อยพวกเราสามคนก็ยังดีกว่าพวกเขา”
ตอนที่ 108
ซ่งฝูเซิงใช้ผ้าขนหนูที่พาดอยู่ตรงคอมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและหัว
หนิวจั่งกุ้ยถามขึ้น “นายท่าน ท่านยังไหวไหม?”
“ไป!” ซ่งฝูเซิงกับหนิวจั่งกุ้ยช่วยกันออกแรงเข็นรถเข็นอีกครั้ง
เฉียนเพ่ยอิงแบกตะกร้า มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งคอยพยุงหมี่โซ่ว “หมี่โซ่ว เหนื่อยไหม”
หมี่โซ่วเดินจนสองขาเล็กสั่นเทา “ไม่เหนื่อย หมี่โซ่วยังสามารถเดินได้อีกหนึ่งชั่วยาม” เพิ่งพูดจบ เขาก็ล้มลงข้างเท้าของเฉียนเพ่ยอิง
เฉียนเพ่ยอิงก้มตัวลงอุ้มเขา เม็ดเหงื่อที่ปลายจมูกก็ไหลตกลงสู่พื้น
ตอนนี้ซ่งฝูหลิงกลับเดินนำหน้าไปก่อน นางสะพายเป้ไว้ข้างหลัง แขวนกระบอกน้ำและกล้องส่องทางไกลไว้ตรงคอ ในมือถือกระเป๋าใบเล็กส่วนตัวที่สำคัญของท่านย่าของนาง ว่ากันว่าข้างในนี้มีเงินอยู่
ตอนนี้ไม่มีรถลากเทียมล่อแล้ว ก็อย่าหวังจะพึ่งใครได้ ซ่งฝูหลิงไม่เพียงแค่ถือกระเป๋าไว้เท่านั้น แต่นางยังใช้แขนคอยพยุงท่านย่าและรับงานของพ่อมาทำต่อ โดยใช้กล้องส่องทางไกลคอยส่องมองเบื้องหน้าเป็นครั้งคราว
“มีคนอยู่ข้างหน้า มีคนมีชีวิต!” ซ่งฝูหลิงสบตาตะโกนบอกกับทุกคนด้วยใบหน้าตื่นเต้น
อันที่จริงทุกคนก็ไม่รู้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่จะมีความเกี่ยวพันกับพวกเขาได้อย่างไร แต่มันแปลกมาก เมื่อซ่งฝูหลิงตะโกนบอกว่ายังมีคนมีชีวิตอยู่ ทุกคนที่เหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงก็กลับมามีแรงฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง พวกเขาต่างพูดต่อกันไปทีละคน “เร็วเข้า มีคนรอดตาย เร่งมือกันหน่อย!”
นี่ยิ่งทำให้พวกเขามีเรี่ยวแรงมากขึ้นไปอีก
ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมง พวกเขาอาศัยเท้าในการเดินก็สามารถตามคนที่มีชีวิตที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ทัน
ต้องรู้ว่าคนที่ยังมีชีวิตเหล่านี้อาจออกเดินทางล่วงหน้าสองสามวันก่อน แต่พวกเขาก็ตามทัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีประสิทธิภาพมาก
แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ก็เห็นสภาพของผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจน ปฏิกิริยาแรกของทุกคนคือ ต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อที่จะทิ้งห่างจากกลุ่มคนพวกนี้
เพราะทั้งยี่สิบกว่าคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ละคนท้องใหญ่มาก แขนขาลีบราวกับกิ่งไม้ เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่าพวกเขาคงกินดินเพื่อประทังชีวิต
เมื่อทั้งยี่สิบกว่าคนนี้เห็นพวกเขา ดูเหมือนว่าชีวิตจะมีแสงสว่างขึ้นมา “ขอน้ำให้ข้าหน่อย ข้ามีเงิน มีเงิน”
ส่วนชายอีกคนที่ดูเหมือนอายุราวสี่สิบหรือห้าสิบปี เขาอยากจะบอกว่าเงินมีประโยชน์อะไร เขามีตั๋วเงิน “ข้า ข้า ข้า?”
สักพักเขาก็สิ้นลมทั้งที่ยังไม่ได้พูดคำว่าตั๋วเงินออกมาด้วยซ้ำ เขาหมดลมหายใจทรุดตัวล้มลงใกล้กับซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงไม่ได้เหลือบมองเลย เขาคิดในใจ บ้านของข้ายังมีเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์สี เครื่องซักผ้า ของที่เจ้าบอกมาจะใช้ประโยชน์ได้ไหมเล่า?
ทุกคนก็คิดแนวเดียวกันกับซ่งฝูเซิง พวกเขาคิดว่าคนพวกนี้คงสติไม่ดีถึงคิดจะมาเอาน้ำของพวกเขา พวกเขามุ่งหน้าเดินต่อไปก็คงจะกลายสภาพเป็นแบบเดียวกับคนพวกนี้แน่
อย่ามองว่าพวกเราจน ถ้าเวลานี้มีใครขายน้ำดื่มให้ พวกเราก็ร่วมใจควักเงินออกมาซื้อได้เลยนะ
คนมีชีวิตท้องโตยี่สิบกว่าคนนี้ พวกเขานอนราบกับพื้นสักพัก ซ่งฝูเซิงก็นำขบวนเดินทิ้งระยะห่างไกลออกไป
ซ่งฝูหลิงมองด้วยกล้องส่องทางไกล “ด้านหน้ามีคนยังมีชีวิตอยู่”
ครั้งนี้ยังไม่ทันที่นางจะหันกลับไปประกาศต่อ ท่านย่าของนางก็พูดขึ้นมา
“โอ้ย เจ้าเห็นคนมีชีวิตก็ไม่ต้องบอกแล้วล่ะ มีชีวิตอยู่หรือตายจะทำอะไรได้ เห็นสีเขียวหรือมีต้นไม้ใบหญ้าค่อยตะโกนบอก”
เจ้าเด็กคนนี้นี่ เมื่อครู่ทำให้พวกเขาเสียความรู้สึกไปมาก
เดิมทีคิดว่ากลุ่มคนที่มีชีวิตเป็นคนที่พอจะสามารถสอบถามข้อมูลได้ว่ามาจากที่ไหน ใช่หรือไม่?
ปรากฏว่า พวกนั้นกลับมีสภาพอนาถยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ทำให้พวกเราไม่กล้าที่จะพูดคุยกับคนพวกนั้นเพราะกลัวว่าจะติดโรคระบาด
ซ่งฝูหลิงหุบปากเงียบ
หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเขาก็เดินผ่านพวกผู้ลี้ภัยสองกลุ่มที่หิวโหย น่าอนาถใจที่สุดก็คือพวกลี้ภัยที่หิวจนเดินไม่ไหว พวกเขาต้องใช้มือและขาคลานไปกับพื้น ส่วนคนที่ยังคลานได้ก็ยังหวังว่าจะคลานไปเจอพื้นที่ที่มีน้ำ
สองชั่วโมงผ่านไป ซ่งฝูหลิงก็เริ่มเหนื่อยหอบ นางเลียริมฝีปาก มองท่านย่าหม่าอย่างหมดแรง “ท่านย่า ท่านชอบแอบมองข้าทำไมกัน”
“เจ้าทำไมถึงไม่ตะโกนแล้วล่ะ?”
“ก็ข้ามองไม่เห็นสีเขียวนะสิ ท่านเป็นคนบอกข้าเองว่าอย่าตะโกนพร่ำเพรื่อ”
น้ำที่แอบเก็บไว้ก็กินไปหมดแล้ว น้ำทั้งหมดของขบวนก็หมดไปตั้งนานแล้ว
ไม่มีหวังแล้ว ไม่มีชีวิตแล้ว ท่านย่าหม่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พั่งยา เจ้าว่า สิ่งของล้ำค่าของพ่อเจ้านี้ มันพังแล้วหรือไม่?”
เดินมาจนถึงตอนเย็นราวหกโมงกว่าๆ ร่างกายของซ่งฝูเซิงก็เหมือนกับอาบน้ำด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าเปียกชื้น
เขามองท้องฟ้า จะว่ามืดก็ไม่มืด แต่หากอยู่ไกลออกไปหน่อยก็มองเห็นไม่ชัดเจนแล้ว
ไม่สามารถจะทนรอต่อไปได้และไม่สามารถเดินต่อไปได้อีก ไม่ว่าจะขาดน้ำหรือเดินทาง ต่อ มันก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว
ช่วงเวลานี้เหมาะกับการแอบทำอะไรบางอย่าง เขาจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นพิเศษเพื่อไปเอาน้ำออกมา
“หยุดอยู่กับที่ พักผ่อนได้!”