เช้าวันต่อมา
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย เซียวเยียนอวี่ที่สวมผ้าคลุมหน้าและเซียวเสี่ยวหลงที่กำลังเนื้อเต้นก็พากันออกจากจวนแม่ทัพมา ด้วยความที่จวนนั้นตั้งอยู่ในเขตชุมชน ทันทีที่ทั้งสองก้าวขาออกจากบ้าน เสียงเซ็งแซ่ก็พลันพุ่งเข้าโสตประสาท
แม้ข้างนอกจะเสียงดังจ้อกแจ้กเพียงใด แต่ภายในบริเวณจวนแม่ทัพนั้นยังคงความสงบเงียบได้เสมอ นั่นเพราะมีวงแหวนปราณเวทเก็บเสียงที่สร้างโดยช่างผู้ออกแบบจวน
เซียวเยียนอวี่แทบไม่เคยออกจากจวน เนื่องจากนางรู้ตัวดีว่าตนเองงดงามเป็นที่ต้องตาต้องใจชายหนุ่มเพียงใด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางลืมสวมผ้าคลุมหน้า จนทำให้เกิดเหตุการณ์ยวดยานติดขัดครั้งใหญ่ในนครหลวง และยังมีเหตุการณ์เหล่าชายเจ้าสำราญต่อยตีกันเพื่อแย่งตัวนางด้วย ตั้งแต่นั้นเซียวหยานยูก็แทบไม่ออกจากบ้านตนเองอีกเลย และเมื่อออกมาครั้งใดนางก็มักสวมผ้าคลุมหน้าด้วยเสมอ
สองพี่น้องตระกูลเซียวออกจากจวนของตนมา แล้วเลี้ยวตรงหัวมุมเพื่อตรงไปยังถนนสายที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านหาบเร่ตั้งโต๊ะมากมาย กลิ่นอาหารทอดคลุ้งอบอวลไปในอากาศ
ผู้ฝึกตนอย่างเซียวเสี่ยวหลงและเซียวเยียนอวี่ไม่มีทางซื้ออาหารทอดจากร้านข้างทางเช่นนี้กินเป็นอันขาด นั่นเพราะของทอดเหล่านี้มักใช้น้ำมันคุณภาพต่ำซึ่งอุดมไปด้วยสารพิษมากมาย เป้าหมายหลักของการฝึกตนก็เพื่อทำร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ และขจัดมลทินทุกอย่างออกจากร่างให้หมดสิ้น อาหารเช่นนี้รังแต่จะทำให้ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยสารพิษ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดผู้ฝึกตนจึงจู้จี้เรื่องอาหารการกินมาก โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของอาหารที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
ในความเป็นจริงแล้ว ข้าวผัดไข่ก็ถือว่าเป็นอาหารขยะเช่นเดียวกัน แต่หากเซียวเสี่ยวหลงบรรลุขั้นปราณได้เพราะข้าวผัดไข่ชามหนึ่งแล้วละก็ และหากไม่ใช่เพราะความบังเอิญ ก็ต้องแปลว่าข้าวผัดไข่ชามนั้นมีอะไรผิดแผกไปจากชาวบ้านแน่นอน
แล้วดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียด้วย เนื่องจากเซียวเสี่ยวหลงติดอยู่ที่ระดับสองขั้นเจ้ายุทธการมานานมากแล้ว นานเสียจนพอจะเชื่อได้ว่าไม่มีทางที่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญไปได้ จนพอจะเชื่อมโยงได้ว่าข้าวผัดไข่อาจส่งผลให้เขาบรรลุขั้นปราณได้จริงๆ
และนี่คือสิ่งที่ทำให้เซียวเยียนอวี่สงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่ากับแค่ข้าวผัดไข่เพียงชามเดียวมันจะมีอภินิหารอะไรถึงเพียงนั้น
“ตายแล้ว! นั่นมันนายน้อยเซียวของพวกเรามิใช่รึ ท่านจะไปท่องบทกลอนที่ไหนเล่าวันนี้”
ตอนที่สองพี่น้องตระกูลเซียวกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ เสียงระคายหูก็ดังขึ้นขัดความคิด
ใบหน้าหวานของเซียวเสี่ยวหลงมืดมนลง เขาหันหน้าไปทางชายท่าทางไม่เอาถ่านที่อยู่ไกลออกไป ชายผู้นั้นมีใบหน้าอัปลักษณ์ เขาสวมชุดคลุมยาวหลากสีและถือพัดกระดาษเอาไว้ในมือ
ชายผู้นี้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเสนาบดีกรมคลังแห่งราชอาณาจักร… ซุนฉีเซี่ยง!
เขาเป็นเสือผู้หญิงที่โด่งดังในด้านเสียๆ หายๆ ประจำเมืองหลวง
“ซุนฉีเซี่ยง! ข้าไม่มีเวลามาวุ่นวายกับเจ้าหรอกนะวันนี้ หลีกไป!” แม้เซียวเสี่ยวหลงจะดูเหมือนสาวน้อย แต่เขาก็ยังสามารถปล่อยพลังน่าเกรงขามออกมาได้ยามที่โกรธ
ทว่าซุนฉีเซี่ยงก็ไม่ได้กลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแค่ยักไหล่หนึ่งทีเท่านั้น สายตาจับจ้องไปที่สตรีใต้ผ้าคลุมข้างๆ เซียวเสี่ยวหลงด้วยสีหน้าโอหัง จากนั้นดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ!
“สวรรค์เป็นพยาน! ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย! นั่นมันแม่นางเซียวเยียนอวี่มิใช่รึ! ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ”
ซุนฉีเซี่ยงรู้ในที่สุดว่าสตรีภายใต้ผ้าคลุมคือเซียวเยียนอวี่ แล้วก็เป็นอันเสียกระบวนในทันที เสือผู้หญิงอย่างเขาจะยอมพลาดโอกาสตามราวีสาวในฝันไปได้อย่างไร
“หลีกไปเสีย” เซียวเยียนอวี่พูดเสียงเบา นางไม่อยากเสียเวลาสนทนากับคนเช่นนี้แม้แต่คำเดียว
ซุนฉีเซี่ยงยักไหล่ เขาอยากเปิดฉากสนทนากับนาง แต่เลือดในกายก็พลันเย็นเฉียบทันทีที่สายตาประสานเข้ากับเซียวเยียนอวี่ ชายหนุ่มรู้สึกตัวทันทีว่าแม่นางตรงหน้าเขาแข็งแกร่งจนน่ากลัวเพียงใด
หลังจากที่พัฒนาก้าวหน้ามาหลายหมื่นปี ระบบการฝึกปราณในทวีปมังกรซ่อนเร้นก็ได้ตกผลึกเป็นระดับขั้นที่ชัดเจน
บนทวีปมังกรซ่อนเร้นแห่งนี้ ทุกคนเป็นผู้ฝึกตน ตั้งแต่พ่อแก่แม่เฒ่าไปจนถึงลูกเด็กเล็กแดงอายุห้าขวบ การฝึกปราณเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกครัวเรือน ทว่าด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิดที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ของการฝึกปราณจึงย่อมต่างกันไปด้วย
ระดับขั้นของการฝึกตนมีทั้งหมดเก้าขั้นด้วยกัน เริ่มจากระดับหนึ่งขั้นนักรบ ระดับสองขั้นเจ้ายุทธการ ระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม และระดับเก้าขั้นเซียนเทพ
นอกจากนี้ยังมีระดับสิบด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปล่วงรู้
ในฐานะสตรีอัจฉริยะแห่งนครหลวง เซียวเยียนอวี่เป็นอัจฉริยะด้านการฝึกปราณ แม้นางจะอายุยังไม่ครบสิบแปดปีเต็ม แต่กลับมีปราณอยู่ในระดับสี่ขั้นจิตยุทธการเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเทียบกับน้องชายของนางอย่างเซียวเสี่ยวหลงที่มีปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการแล้ว นางถือว่าทรงพลังกว่าเขามากนัก
แม้แต่แม่ทัพเซียวเหมิงเองยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่า หากเซียวเยียนอวี่เกิดเป็นชายคงดียิ่งนัก
ซุนฉีเซี่ยงเป็นเพียงเสือผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น แม้เขาจะอายุยี่สิบกว่าแล้ว แต่ก็ยังมีปราณอยู่เพียงระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ กระนั้นด้วยความที่เขามีขั้นปราณอยู่ระดับเดียวกับเซียวเสี่ยวหลง ซุนฉีเซี่ยงจึงไม่กลัวเซียวเสี่ยวหลง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเซียวเยียนอวี่ที่มีปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการแล้วละก็ จัดได้ว่าคนละชั้นเลยทีเดียว
เซียวเสี่ยวหลงพ่นลมเยาะเย้ยอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตามเซียวเยียนอวี่ผู้ซึ่งทิ้งห่างออกไปแล้ว ทั้งสองหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ซุนฉีเซี่ยงเกาแก้มตนเอง ดวงตาหรี่เล็ก เขาหันไปหาลูกน้องคนหนึ่งเพื่อกระซิบสั่งบางอย่าง ลูกกระจ๊อกคนนั้นรีบวิ่งไปที่ไหนสักแห่งทันที ขณะที่ตัวเขาเองเดินตามสองพี่น้องตระกูลเซียวไปด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้าย
…
หลังจากที่นอนหลับจนเต็มอิ่มและตื่นโดยไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกแล้ว ปู้ฟางที่กำลังหดหู่เต็มขั้นก็ค่อยๆ จัดการเปิดร้านอีกครั้ง
สุนัขสีดำตัวใหญ่ยังคงนอนอืดอยู่ที่ทางเข้าร้าน มันเงยหน้าขึ้นมองปู้ฟางตอนที่เขาเดินมาเปิดทางเข้า ก่อนจะผล็อยหลับไปดังเดิม
“ภายในเจ็ดวันข้าต้องขายข้าวผัดไข่ให้ได้ร้อยชาม กับขายผัดผักหรือบะหมี่แห้งคลุกให้ได้สิบจาน… ระบบ เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้จริงๆ รึ ที่ร้านอาหารเล็กๆ ในตรอกไร้ผู้คนเช่นนี้จะทำยอดขายได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจเพียงนั้น” ปู้ฟางวางเก้าอี้ไว้ข้างๆ ทางเข้า ก่อนขึ้นไปขดตัวอยู่บนนั้นเหมือนเดิม เขากำลังเปิดฉากทะเลาะกับระบบอยู่ในใจ
“พ่อหนุ่ม! ท่านคือชายผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นพ่อครัวเทพมิใช่รึ ท่านต้องเชื่อมั่นในปลายจวักของตัวเองสิ! ท่านต้องเชื่อสิว่าท่านจะครองโลกใบนี้ได้!” ระบบให้กำลังใจเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอีกครั้ง
ปู้ฟางกลอกตา “ข้านอนอาบแดดสบายๆ อยู่ตรงนี้ยังดีกว่าให้ไปครองโลกอะไรนั่นอีก”
ปู้ฟางเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้มานอนอาบแสงแดดอุ่น แม้จะเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาก็ตามที
“เถ้าแก่! ข้ากลับมาแล้ว! ข้ารักข้าวผัดไข่ของท่านเหลือเกิน!”
ปู้ฟางหลับตาอยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น เสียงตะโกนโวยวายก็ปลุกให้เขาตื่นขึ้น ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างไร้อารมณ์ แล้วก็เห็นหนุ่มหน้าสวยคนที่กินข้าวผัดไข่เข้าไปเมื่อวาน
“หือ” ชายหนุ่มสังเกตเห็นผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย แม้จะสวมผ้าคลุมอยู่ แต่ปู้ฟางก็รู้ได้ทันทีว่านางเป็นสตรี! “ทั้งหน้าอกและบั้นท้าย… แม่นางคนนี้หุ่นดีเป็นบ้า!”
เซียวเยียนอวี่มุ่นคิ้วขณะประเมินร้านอาหารเล็กๆ ที่เซียวเสี่ยวหลงพานางมา “ร้านอาหารไกลปืนเที่ยงเช่นนี้จะไปมีข้าวผัดไข่แสนมหัศจรรย์ได้อย่างไรกัน”
“ท่านเป็นเถ้าแก่ของร้านนี่รึ” เซียวเยียนอวี่ถาม
เสียงของนางไพเราะเสนาะหู
“ถูกต้องแล้ว” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างใจเย็น
เซียวเยียนอวี่เดินเข้าร้านโดยไม่พูดอะไรอีก ภายในร้านสะอาดสะอ้านมาก นางลองเอานิ้วรูดไปบนโต๊ะ แล้วก็พบว่าไม่มีฝุ่นแม้แต่เม็ดเดียว นางพอใจบรรยากาศภายในร้านพอตัวเลยทีเดียว
แม้ร้านอาหารนี้จะเล็กทั้งยังตั้งอยู่ในที่ห่างไกล แต่การตกแต่งนั้นจัดว่าทำได้ดี บรรยากาศดูดีทั้งยังสะอาดอีกด้วย
หลังจากที่เซียวเยียนอวี่ประเมินทัศนียภาพรอบตัวเรียบร้อย สายตาของหญิงสาวก็ไปตกอยู่ที่รายการอาหารตรงกลางร้าน นางเลิกคิ้วขึ้นทันที ดวงตาเป็นประกายด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เจ้าเซียวเสี่ยวหลงพูดจริงเรื่องข้าวผัดไข่หรือนี่… ชามละหนึ่งผลึกรึ ส่วนข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงนี่ชามละสิบผลึก หมอนี่เป็นบ้าหรืออย่างไรกัน”
“เถ้าแก่ เมื่อวานนี้ข้าไม่เห็นว่าจะมีข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงอยู่ในรายการอาหารเลย เหตุใดจึงโผล่ขึ้นมาวันนี้กัน” เซียวเสี่ยวหลงประหลาดใจเมื่อได้เห็นรายการใหม่ ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงที่ขายในราคาสิบผลึก
“อ๋อ ข้าลืมเขียนลงไปเมื่อวาน แต่การจะสั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงนี้ได้ เจ้าต้องมีปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการก่อน ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ขายให้หรอกนะ” ปู้ฟางหาวหวอด ก่อนตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แค่จะสั่งยังต้องมีเงื่อนไขอีกรึ” เซียวเยียนอวี่สนใจขึ้นมาทันที นางอยากรู้เหลือเกินว่าข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงนี้มันทำไมกัน
“เซียวเสี่ยวหลง เจ้าเอาผลึกมาเท่าไหร่” เซียวหยานยูหันไปมองหน้าเซียวเสี่ยวหลงแล้วถามออกมา
น้องชายของนางตอบด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์ “สิบ”
“อืม ดีเลย” เซียวเยียนอวี่พยักหน้าด้วยความพอใจ นางโบกมือเพื่อหยิบถุงปักลายดอกไม้ออกมาถือไว้ในมือ
“เถ้าแก่ ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงหนึ่งชาม” เซียวเยียนอวี่พูดอย่างสงบนิ่ง
“ได้ รอสักครู่” ปู้ฟางรู้สึกดีใจที่เซียวเยียนอวี่เลือกสั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงขึ้นมาจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากต้องการรักษาภาพลักษณ์สงบนิ่งของพ่อครัวมือฉมังต่อหน้าสาวงาม
สีหน้าของเซียวเสี่ยวหลงดูกลัดกลุ้มอย่างมาก เขาจ้องเซียวเยียนอวี่เขม็งด้วยความอาฆาตแค้น
ปู้ฟางหันหลังกลับแล้วกำลังจะเดินเข้าครัวไป ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงจิ๊จ๊ะดังมาจากทางเข้า ทำให้เขาชะงักไป
“จุ๊ๆๆ ! เป็นถึงสตรีอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจักรวรรดิวายุแผ่ว แต่กลับมาที่ร้านเล็กๆ ซ่อมซ่อเช่นนี้เพื่อกินข้าวผัดไข่แค่ชามเดียว ช่างน่าหัวร่อจริงๆ!”
ซุนฉีเซี่ยงยักไหล่พลางส่ายหน้าขณะเดินเข้าร้านเล็กๆ แห่งนี้มา
“แม่นางเยียนอวี่ เจ้าชอบทานข้าวผัดไข่รึ ได้เลย! ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง! เถ้าแก่ เอาข้าวผัดไข่มาก่อนเลยสิบชาม! หากไม่พอข้าค่อยสั่งเพิ่มอีก!”
…………………………