ข้าวผัดไข่ที่ส่องแสงเจิดจรัส!
รูม่านตาของเซียวเยียนอวี่เปิดกว้างออกอย่างช้าๆ แววตาของนางดูไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น ตอนที่เซียวเสี่ยวหลงเล่าให้นางฟังนั้น นางไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย เมื่อได้มาเห็นกับตาตนเองแล้ว ภาพตรงหน้าช่างดูเหมือนฝันไป
กลิ่นหอมหวนยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ประสาทรับกลิ่นของเซียวเยียนอวี่ กลิ่นนั้นเปรียบเสมือนสัมผัสของคนรักที่ทำให้ร่างทั้งร่างของนางผ่อนคลายลง จิตใจของหญิงสาวปราศจากซึ่งสิ่งรบกวนใดๆ มีความคิดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือ กิน!
แต่เซียวเยียนอวี่ยังคงมีศักดิ์เป็นถึงเทพธิดาแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว นางต้องรักษาภาพพจน์แม้อยู่เบื้องหน้าอาหารรสเลิศ นางค่อยๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของตนออก เผยให้เห็นริมฝีปากอิ่มเต็มสีเรื่อ
หญิงสาวหยิบช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาวขึ้นมาตักข้าวผัดไข่เต็มคำ ไข่ข้นที่ยังไม่สุกดียืดเป็นสายตามช้อนที่ถูกยกขึ้นในอากาศ ราวกับเส้นด้ายทองคำส่องประกาย ไออุ่นแผ่ออกจากช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาว พร้อมกลิ่นหอมหวนชวนหิวที่ตามกันมาติดๆ
ผิวของเซียวเยียนอวี่ที่ขาวนวลเหมือนเต้าหู้เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อจากไออุ่นนั้น
“พี่หญิง รสชาติของข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเป็นอย่างไรบ้างหรือ!” เซียวเสี่ยวหลงที่สูดกลิ่นข้าวผัดไข่เข้าไปเต็มๆ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา ขณะจ้องมองช้อนที่กำลังเข้าปากพี่สาวของตนไป
ช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาวสัมผัสฟันของเซียวเยียนอวี่อย่างแผ่วเบา ข้าวทุกเมล็ดร่วงหล่นจากช้อนเข้าสู่ปากนาง เซียวเยียนอวี่หรี่ตาขณะที่รสชาติเข้มข้นพุ่งตรงขึ้นสู่สมอง ราวกับรสของความอร่อยได้ระเบิดออกมาในปากกระนั้น
ต่อมรับรสของเซียวเยียนอวี่ถูกเกาะกุมเอาไว้ด้วยรสชาติของข้าวผัดไข่จนดิ้นหนีไปไหนไม่ได้
“มัน… อร่อย… มาก!”
เซียวเยียนอวี่มีสีหน้าเคลิบเคลิ้มขณะร้องออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นนางก็เลิกสนใจผู้คนรอบกายแล้วเริ่มยัดข้าวผัดไข่ช้อนแล้วช้อนเล่าเข้าปาก ภาพลักษณ์ของนางเป็นอันป่นปี้เรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่ชั่วลมหายใจ
นางไม่เคยกินข้าวผัดไข่ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ด้วยความที่เซียวเยียนอวี่เป็นผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ นางจึงแทบไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสียด้วยซ้ำไป การที่ผู้ฝึกตนระดับนี้รู้สึกหิวขึ้นมาได้เพราะข้าวผัดไข่หนึ่งชามถือเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเกิดขึ้นได้ ข้าวผัดไข่ชามนี้คือข้าวผัดไข่มหัศจรรย์เหมือนที่เซียวเสี่ยวหลงพูดไว้ไม่มีผิด!
โครก!
เมื่อเซียวเสี่ยวหลงเห็นเซียวเยียนอวี่ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวผัดไข่โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองอีกต่อไป เขาก็ไม่ได้หัวเราะออกมาแต่อย่างใด ชายหนุ่มมองพี่สาวของตนด้วยแววตาอิจฉา ท้องของเขาถึงกับร้องออกมาโครกหนึ่ง
ซุนฉีเซี่ยงหมดคำจะพูดเมื่อเห็นเทพธิดาในฝันของตนกำลังตั้งหน้าตั้งตากินข้าวโดยไม่สนใจใคร เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดนางจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“กับอีแค่ข้าวผัดไข่ชามเดียว… ต้องตะกละตระกลามขนาดนี้เชียวรึ!
“ถึงไอ้ข้าวผัดไข่นี่… จะหอมมากก็เถอะ แต่เจ้าก็ยังเป็นถึงเทพธิดา ไม่ต้องโยนภาพลักษณ์อันสวยงามทิ้งไปแค่เพราะข้าวผัดไข่ชามเดียวจะได้ไหม!”
“เถ้าแก่! ข้าวผัดไข่ของข้าเล่า! รีบเอามาเสียที! เร็วเข้าสิ!”
แม้ซุนฉีเซี่ยงจะคิดเช่นนั้น แต่เขากลับอยากรู้เรื่องข้าวผัดไข่นี่มากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มงับพัดกระดาษในมือตนเองให้ปิดลง ก่อนเหล่มองไปด้านข้าง ซุนฉีเซี่ยงตะโกนใส่ปู้ฟางที่กำลังยิ้มขณะมองเซียวเยียนอวี่กิน
ปู้ฟางเลิกคิ้วขึ้น แล้วหันไปมองซุนฉีเซี่ยงด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่หันหลังกลับเข้าครัวไปแทน
“เร็วเข้า! หากข้าไม่ได้กินข้าวผัดไข่ของเจ้าภายในครึ่งของครึ่งเค่อ ข้าจะพังไอ้ร้านรูหนูนี่ให้เหี้ยน!” ซุนฉีเซี่ยงพูดอย่างยโส
ปู้ฟางเดินเข้าครัวหน้าตาย แล้วหยิบเอาถุงแป้งออกมาจากตู้เย็น
เขาจะเริ่มทำข้าวผัดไข่เช่นนั้นรึ ผิดแล้ว… ซุนฉีเซี่ยงกล้ามาข่มขู่พ่อครัวอย่างเขา หมอนี่จึงสมควรต้องทนหิวต่อไปอีกสักพัก อีกไม่นานซุนฉีเซี่ยงก็คงเข้าใจเองว่าชะตากรรมของพวกที่ชอบทำให้พ่อครัวโกรธนั้นเป็นอย่างไร และยิ่งเป็นพ่อครัวที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยด้วยละก็
บะหมี่แห้งคลุกนั้นความจริงแล้วเป็นอาหารที่เรียบง่าย มันเป็นเพียงเส้นบะหมี่ที่นำมาคลุกเครื่องปรุงเท่านั้น
แต่ปู้ฟางเลือกทำเส้นสดด้วยตนเอง รสชาติของเส้นจากฝีมือของชายหนุ่มจัดว่าพิเศษด้วยทักษะการนวดเส้นชนิดเหนือชั้น
ด้วยความที่ปู้ฟางฝึกทำเส้นสดมานับครั้งไม่ถ้วน การเริ่มทำบะหมี่แห้งคลุกจากแป้งเปล่าจึงใช้เวลาเพียงค่อนเค่อเท่านั้น กระบวนการนวดแป้งของเขาเรียกได้ว่าน่าดูชมยิ่งนัก ราวกับว่ามือทั้งสองข้างได้หายวับไปเป็นภาพติดตาขณะที่กำลังนวดคลึงแป้งบะหมี่อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่นวดแป้งเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เริ่มดึงเส้นออกให้ยาวสยายด้วยแรงระดับปานกลาง จากนั้นก็โรยแป้งเล็กน้อยลงบนบะหมี่เส้นเรียวเล็ก แล้วนำไปต้มในน้ำร้อนหนึ่งครั้ง
น้ำที่ใช้ต้มเส้นก็ไม่ใช่น้ำธรรมดาเช่นกัน น้ำนั้นใสสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีที่ติ กระทั่งไอน้ำที่ระเหยออกมายังมีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ
ระหว่างที่กำลังรอต้มเส้นอยู่นั้น ปู้ฟางก็เริ่มทำเครื่องปรุงรส เขาตวงเกลือ ซีอิ๊ว และผงชูรสใส่ในชามกระเบื้องสีฟ้าขาว แล้วเทน้ำร้อนราดลงไป จากนั้นก็ยกเส้นก๋วยเตี๋ยวขึ้นจากน้ำร้อนแล้วใส่ลงไปในชามเดียวกัน ชายหนุ่มนำตะเกียบไม้ไผ่มาคนจนสีเข้มของซีอิ๊วซึมซาบเข้าไปในเส้นก๋วยเตี๋ยวใสแจ๋วอย่างสมบูรณ์แบบ
เพียงเท่านี้บะหมี่แห้งคลุกก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ไม่มีน้ำแกง ไม่มีไข่ ไม่มีแม้กระทั่งผัก อาหารชามนี้เป็นเพียงเส้นบะหมี่แห้งคลุกเท่านั้น
ปู้ฟางถือชามบะหมี่แห้งคลุกออกจากครัว กลิ่นหอมนั้นไม่รุนแรงเท่าตอนที่เขานำข้าวผัดไข่ออกมา แต่สีของเส้นบะหมี่ก็สวยงามน่ากิน
เมื่อซุนฉีเซี่ยงเห็นปู้ฟางเดินออกมาจากครัวพร้อมด้วยชามกระเบื้องสีฟ้าขาว เขาก็พลันคิดไปว่าข้าวผัดไข่ของตนมาถึงเรียบร้อยแล้ว จึงรีบลุกไปรับทันทีด้วยความตื่นเต้น
“นี่บะหมี่แห้งคลุกของไอ้หน้าสาว” ปู้ฟางพูดลุ่นๆ แล้วก้าวหลบไปข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ซุนฉีเซี่ยงมีสีหน้าแข็งทื่อ เขาจ้องมองปู้ฟางอย่างโกรธเคืองด้วยดวงตาหรี่เล็ก “ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าทำข้าวผัดไข่ให้ข้ารึ! ใครหน้าไหนมันบอกให้เจ้าซี้ซั้วทำบะหมี่แห้งคลุกกัน! วอนหาเรื่องให้ข้าพังร้านเจ้าให้ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดหรืออย่างไร!”
ปู้ฟางทำเป็นไม่ได้ยินซุนฉีเซี่ยง เขาวางชามบะหมี่แห้งคลุกลงตรงหน้าเซียวเสี่ยวหลงแล้วพูดอย่างสงบนิ่ง “นี่บะหมี่แห้งคลุกที่เจ้าสั่ง กินให้อร่อย”
ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงเป็นประกาย เขาหิวไส้จะขาดหลังจากเจอข้าวผัดไข่ของเซียวเยียนอวี่เข้าไป กลิ่นหอมของมันนั้นช่างรุนแรงเกินต้านทานจริงๆ ชายหนุ่มมองข้ามตอนที่ปู้ฟางเรียกเขาว่าไอ้หน้าสาวไปด้วยซ้ำ
แม้บะหมี่แห้งคลุกจะไม่ใช่ข้าวผัดไข่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้อง! ถึงกลิ่นหอมของมันจะไม่ตราตรึงเท่าอาหารจานก่อนหน้า แต่ก็ยังตลบอบอวลพุ่งตรงเข้าใส่ประสาทการรับกลิ่นเต็มๆ หากสูดหายใจเข้าไปลึกๆ
บะหมี่แห้งคลุกที่ขายชามละร้อยเหรียญจะธรรมดาไปได้อย่างไร!
เซียวเสี่ยวหลงคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาหนึ่งเส้นด้วยตะเกียบ ก่อนดูดเข้าปากไปทันทีโดยไม่รีรอ
ซวบ!
ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เส้นบะหมี่ไหลเข้าปากเขาราวกับมีชีวิต เส้นนั้นนุ่มเด้งมากเสียจนกระเด็นกระดอนไปมาในปากหลังถูกกัด ความรู้สึกที่มีเส้นกระเด้งอยู่ในปากทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกราวกับว่ามีมือเล็กๆ มากมายกำลังเกาภายในปากของเขาเบาๆ
โอ้…
ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงหรี่ลงจนกลายเป็นเม็ดก๋วยจี๊ ปากเต็มไปด้วยเส้นบะหมี่อัดแน่น เขาส่ายศีรษะด้วยสีหน้าที่มีความสุขเป็นที่สุด
สีหน้ามีความสุขสุดขีดของเซียวเสี่ยวหลงสะท้อนอยู่ในดวงตาของซุนฉีเซี่ยง เขาอดรนทนความอยากรู้ไม่ไหวอีกต่อไป และรู้สึกว่ารอไม่ได้แล้ว
“รีบไสหัวกลับเข้าครัวไปเร็วเข้า! ข้าอยากกินข้าวผัดไข่กับบะหมี่แห้งคลุกเดี๋ยวนี้!”
ซุนฉีเซี่ยงจ้องปู้ฟางด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปนะว่ากำลังพูดกับใครอยู่ หยุดเร่งข้าได้แล้ว หากเปิดปากพูดอีกคำ ข้าจะใส่ชื่อเจ้าในบัญชีหนังหมาไม่ให้เข้าร้านอีกต่อไป”
ปู้ฟางคิ้วผูกปม เขาเริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ “ไอ้หมอนี่วอนหาเรื่องเสียแล้ว”
“เจ้านี่ยโสโอหังนัก ข้าจะพังร้านของเจ้าเสีย!” ซุนฉีเซี่ยงข่มขู่ พร้อมทั้งเอาพัดกระดาษจิ้มไปที่หน้าอกของปู้ฟาง
ปู้ฟางยิ้มตอบ แต่ก็เป็นยิ้มที่แข็งมากเนื่องจากเขาไม่ค่อยได้ยิ้ม
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเดินกลับเข้าครัวไป
สองเค่อต่อมา ปู้ฟางก็เดินออกมาด้วยท่าทางสบายๆ
เซียวเสี่ยวหลงและเซียวเยียนอวี่กินอาหารที่ตนเองสั่งมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่กลับเพราะต้องจ่ายค่าอาหาร และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ สองพี่น้องคู่นี้อยากดูหน้าตาของผัดผัก
พวกเขาได้เห็นข้าวผัดไข่และบะหมี่แห้งคลุกเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงผัดผักเท่านั้นที่ยังไม่เคยเห็น
ดูจากมาตรฐานของอาหารจานอื่นแล้ว ผัดผักของร้านนี้ก็น่าจะไม่ธรรมดาเช่นกัน
เมื่อซุนฉีเซี่ยงที่กำลังหิวโซเต็มที่เห็นอาหารของตนถูกยกออกจากห้องครัว เขาก็ตื่นเต้นมากจนเดินมาฉกเอาถาดอาหารออกไปจากมือปู้ฟาง
บนถาดนั้นมีอาหารอยู่สี่อย่างด้วยกัน มีข้าวผัดไข่สองชามที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งอบอวลไปทั่วร้าน นอกจากนี้ยังมีบะหมี่แห้งคลุกสีสันสวยงาม และ… ใบไม้สด… หนึ่งใบ!
ด้วยความที่ซุนฉีเซี่ยงสั่งหมดทุกรายการ ปู้ฟางเลยทำทุกอย่างออกมาทีเดียว
ใบไม้ใบนั้นดูเหมือนจะเป็น… ผัดผักในตำนาน
“เจ้าโง่เง่าปัญญาทึบรึ ทำไมจึงไม่เอาออกมาทีละอย่าง เจ้าตั้งใจทำให้ข้าหิวตายหรืออย่างไร!” ซุนฉีเซี่ยงตะลึงนิ่งสูดกลิ่นข้าวผัดไข่เข้าไป แล้วหันไปมองปู้ฟางพร้อมทั้งต่อว่าอีกฝ่าย
ปู้ฟางไม่สนใจแม้แต่จะตอบ ไอ้ซุนฉีเซี่ยงนี่มันคาดหวังอะไรจากการทำให้พ่อครัวโกรธกัน แค่เขาไม่ปล่อยให้รอเป็นหนึ่งชั่วยาม[1]ก็เป็นบุญหัวมากแล้ว
แล้วปู้ฟางจะเอาอาหารออกมาให้เร็วขนาดนี้ไปเพื่ออะไรเล่า แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มเกรงกลัวซุนฉีเซี่ยง แต่มีเหตุผลที่แท้จริงอยู่…
“ระบบ เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าสิ่งที่เจ้าให้ข้ามาจะได้ผลจริงๆ ”
“[ซอสพริกอเวจี] พริกที่ใช้ในการทำซอสเป็นพริกชี้ฟ้าซึ่งเผ็ดที่สุดที่ปลูกในนรกอเวจี ความเผ็ดชนิดสุดกู่นี้มาจากการรับพลังงานสารัตถะจากปีศาจในอเวจี ซอสเพียงหยดเดียวก็มากพอที่จะทำให้ร่างทั้งร่างรู้สึกเหมือนถูกไฟเผา หนึ่งช้อนรุนแรงจนทำให้เห็นภาพหลอนได้ และหนึ่งกระปุกก็ทำให้ถึงแก่ความตาย”
ระบบอธิบายสรรพคุณของซอสพริกที่ปู้ฟางใส่เข้าไปในข้าวผัดไข่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
[1] หน่วยการนับเวลาของจีน 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง