พลังกดดันที่หนักเหมือนขุนเขากดทับลงมาบนร่างโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉิน ทำให้ทั้งสองขยับร่างกายไปไหนไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถเรียกพลังปราณเที่ยงแท้ในร่างให้ไหลเวียนตามใจชอบได้อีกด้วย ราวกับพลังของพวกเขาถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
โอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินพยายามหันศีรษะไปมองด้านหลังด้วยความยากลำบาก และเห็นซงเถายืนค้ำตัวพวกเขาเอาไว้
ดวงตาของซงเถาทอแสงอ่านยาก พลังปราณปรากฏขึ้นที่ส่วนลึกในดวงตา ขณะแรงกดดันน่ากลัวไหล่บ่าออกจากร่าง ซงเถาเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการ จึงไม่ใช่คนที่โอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินจะต่อกรด้วยได้
“จับตัวได้เสียที!” เขายิ้มเยาะพร้อมกดมือลงบนบ่าของทั้งสองแรงขึ้นอีก เพื่อควบคุมให้ทั้งสองเดินออกมาจากฝูงชนเหมือนบังคับหุ่นเชิด
ซงเถาดีใจจนเนื้อเต้น ในที่สุดเขาก็ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายท่านสำเร็จลุล่วงเสียที นับเป็นภารกิจที่ยากยิ่ง หากเจ้าของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์มิได้มาท้าปู้ฟางแข่งในวันนี้พอดี เขาคงหาโอกาสงามๆ เช่นนี้ไม่ได้เป็นแน่แท้ เด็กสองคนนี้สำคัญเกินกว่าจะทำอะไรบุ่มบามไม่คิดหน้าคิดหลัง
ความสำคัญของโอวหยางเสี่ยวอี้ในฐานะองค์หญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางนั้นไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจได้ นางเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลโอวหยางทั้งตระกูล อีกทั้งหยางเฉิน บุตรชายของขุนศึกหยางก็เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลหยาง เด็กชายเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูลที่ทุกคนดูแลเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน
ตราบใดที่พวกเขาควบคุมเด็กสองคนนี้ได้ ก็ถือว่ามีแต้มต่อมากโขในการต่อรองกับทั้งตระกูลโอวหยางและตระกูลหยาง
ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมความงามของเต้าหู้บุปผาพันชั้นอยู่นั้น ซงเถาก็ตั้งใจจะจากไปพร้อมโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินในกำมือ
ด้วยความที่พลังปราณในกายของทั้งสองถูกซงเถาควบคุมไว้ โอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินจึงไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้ทั้งสิ้น ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้
“เฮ้ย เจ้าจะเอาสองคนนั้นไปไหนน่ะ” ปู้ฟางตะโกนถามซงเถาที่อยู่ในฝูงชนด้วยความงุนงง
ร่างของซงเถาพลันแข็งทื่อ เขาร้องรำคามอยู่ในใจกับความซวยของตน คิดว่าตนเองจะรอดออกไปได้โดยไม่มีใครเห็น แต่ปู้ฟางกลับตาไวเสียนี่ และด้วยความที่ชายหนุ่มมีอสูรเวทในตำนานหนุนหลังอยู่ ซงเถาจึงคิดทางหนีทีไล่ออกเพียงทางเดียวเท่านั้น
ซงเถาเหลือบตามองปู้ฟางก่อนจะยกตัวโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินขึ้นมาหนีบไว้ใต้รักแร้สองข้าง พลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกมาจากปลายเท้าขณะพยายามหนีออกจากที่เกิดเหตุ
ปู้ฟางเข้าใจสถานการณ์ทันที ไอ้หมอนี่มันมาลักพาตัวเด็กกลางวันแสกๆ ทำเช่นนี้ให้อภัยไม่ได้โดยเด็ดขาด
ดวงตาของชายหนุ่มแน่วแน่ขณะยกมือขึ้นปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากร่างกาย ไอสีเขียวปรากฏขึ้นในมือของเขา ตามมาด้วยมีดทำครัวกระดูกมังกรทองสีดำสนิท จากนั้นชายหนุ่มก็ปามีดทำครัวใส่ซงเถาผู้ที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
มีดทำครัวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังปราณเที่ยงแท้และเจตจำนงของปู้ฟาง มันพุ่งตัดผ่านอากาศด้วยความเร็วยิ่งยวด สู่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
ซงเถาเหลียวหลังกลับมามอง เมื่อเขาเห็นว่าปู้ฟางปามีดทำครัวใส่ตน ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นแววเย้ยหยัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ เขามีปราณระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ แต่หมอนี่คิดจะหยุดเขาโดยใช้มีดทำครัวเนี่ยนะ ถึงจะยอมรับว่าทักษะการทำอาหารของปู้ฟางดีใช้ได้ แต่พลังปราณระดับสี่นั้นไม่เพียงพอจะต่อกรเขาได้อย่างแน่นอน!
ด้วยความที่มือทั้งสองข้างของซงเถาจับตัวเด็กทั้งสองคนเอาไว้ เขาจึงส่งเท้าออกมาเตะมีดทำครัวสีดำหน้าตาแสนธรรมดาแทน ซงเถาดูแคลนมีดทำครัวเล่มนี้อย่างถึงที่สุด มีดทำครัวก็ย่อมเป็นมีดทำครัวอยู่วันยังค่ำ… ไม่ใช่อาวุธเทพหรืออะไรเทือกๆ นั้นเสียหน่อย ถูกไหมเล่า
ทันทีที่มีดทำครัวกระดูกมังกรทองพุ่งเข้าปะทะฝ่าเท้าของซงเถา ซงเถาก็พลันตัวแข็งทื่อ พลังปราณเที่ยงแท้ที่เขารวบรวมไว้ที่เท้าแตกกระจาย ไม่ได้ช่วยปกป้องเท้าของเขาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย จากนั้นซงเถาก็ได้เลือดจากการโดนมีดทำครัวเจาะเข้าไปในเท้า!
“บัดซบอะไรเนี่ย!” ซงเถากรีดร้องออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาที่มองปู้ฟางดูก็รู้ว่ากลัวอีกฝ่ายมากเหลือเกิน “บ้าแล้ว… มีดทำครัวเล่มนั้นมันเจาะพลังปราณเที่ยงแท้ของขั้นจักรพรรดิยุทธการได้ด้วยรึ ล้อเล่นหรือเปล่า” ซงเถาคิด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่กล้าอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาเกือบเสียฝ่าเท้าไปด้วยน้ำมือมีดทำครัวสุดอันตรายนั่น… พลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกจากร่างเขาขณะพยายามหนี ซงเถาไม่กล้าต่อกรกับปู้ฟางอีกต่อไปแล้ว
แต่ตอนที่ซงเถากำลังเหาะอยู่ในอากาศนั่นเอง เสียงตะโกนอ่อนหวานแต่องอาจก็ดังมาจากระยะไกล แม้เสียงนั้นจะเป็นเสียงของสตรี แต่กลับแล่นตรงมาเข้าโสตประสาทของเขาด้วยกำลังแรงราวสายฟ้าฟาด
ซงเถาสะดุ้งไปชั่วขณะ จากนั้นรูม่านตาก็พลันหดแคบลง เขาระวังตัวขึ้นทันที ร่างระหงที่กำลังพุ่งตรงมาจากระยะไกลถือหอกห้อยพู่สีแดงมาด้วย นางพุ่งตรงตัดอากาศมาด้วยความเร็วสูง จุดหมายปลายทางคือตัวเขา
“ไอ้วายร้ายสามหาว! ปล่อยตัวบุตรชายท่านขุนศึกเดี๋ยวนี้!”
หอกนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมากจนน่ากลัว เป็นพลังปราณของขั้นราชันยุทธการที่แข็งแกร่งมาก ตอนนั้นซงเถาที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะปัดป้องการโจมตีนี้ได้
มือทั้งสองข้างของเขาอุ้มเด็กสองคนอยู่ ส่วนเท้าก็บาดเจ็บจากมีดทำครัวสีดำสนิทของปู้ฟาง…
ซงเถากำลังจะเป็นบ้าตายอยู่ภายใน… “ข้าไปทำเวรทำกรรมอะไรกับพวกเจ้าไว้นะ ทำไมไอ้ภารกิจบ้านี่มันถึงยากเย็นเพียงนี้!” เขาคิด
หลัวซานเหนียนจากตระกูลหยางมีปราณอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ และเป็นพี่สะใภ้คนที่สามของหยางเฉิน ขั้นปราณของนางจัดว่ายอดเยี่ยม ถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ทรงพลังที่สุดในนครหลวงเลยทีเดียว ไม่สิ… อันที่จริงแล้ว สตรีจากตระกูลหยางทุกคนล้วนกล้าหาญชาญชัยและแข็งแกร่งเป็นอย่างมากด้วยกันทั้งสิ้น
ซงเถาไม่ได้คาดคิดว่าคนจากตระกูลหยางจะมาถึงเร็วเพียงนี้ ด้วยสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เขาจะต้องปล่อยเด็กทิ้งหนึ่งคนเพื่อทำให้มือตนเองว่างจะได้รับการโจมตีของหลัวซานเหนียนได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงโยนโอวหยางเสี่ยวอี้ทิ้งไป หากเทียบกับหยางเฉินแล้ว องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น
โอวหยางเสี่ยวอี้สติหลุดไปทันทีเมื่อถูกซงเถาโยนทิ้งกลางอากาศ นางโบกมือว่ายอากาศไปมาแล้วกรีดร้องเสียงหลงด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการ
แต่ปู้ฟางกลับมีสติครบถ้วน เขารีบพุ่งตรงไปข้างหน้าแล้วรับตัวโอวหยางเสี่ยวอี้เอาไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็รับมีดทำครัวกระดูกมังกรทองกลับมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ชายหนุ่มจะไม่เอาอ่าวเลยเรื่องการต่อสู้ แต่ด้วยระดับพลังปราณที่เขามี การรับเด็กหญิงอายุไม่กี่ขวบนั้นไม่ใช่ปัญหา
ตูม ตูม ตูม!
คู่ต่อสู้ทั้งสองเปิดฉากโจมตีใส่กันกลางอากาศ หลัวซานเหนียนเท้าถึงพื้น ปึงปังถอยหลังไปสองสามก้าวตามแรงโจมตี หน้าอกใหญ่ของนางกระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญปนโทสะ
ถึงอย่างไรซงเถาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ หลัวซานเหนียนเทียบชั้นอีกฝ่ายไม่ได้อย่างแน่นอนหากปะทะกันตัวต่อตัว
“ไอ้ชาติชั่ว คิดว่าตนเองเป็นใครถึงบังอาจมาลักพาตัวบุตรชายขุนศึก! เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!” หลัวซานเหนียนตะโกนก้อง ขาเรียวสองข้างของนางเตะย้ำลงไปที่พื้นเพื่อส่งตนเองให้ทะยานไปข้างหน้า พุ่งคมหอกใส่ซงเถา
พลังปราณที่ระเบิดออกจากร่างหลัวซานเหนียนรุนแรงราวเปลวไฟบรรลัยกัลป์ ทำให้หอกสีแดงนั้นติดไฟพัดโหมขึ้นมาทันที
“เจ้าบ้าไปแล้ว! เรายังอยู่ในนครหลวงนะ…”
เมื่อซงเถาเห็นสิ่งที่หลัวซานเหนียนทำ รูม่านตาของเขาก็พลันหดแคบ เริ่มอกสั่นขวัญหาย หากเขาใช้มือข้างเดียวปัดป้องการโจมตีนี้ จะทำให้เกิดไฟทำลายล้างบริเวณนี้ทั้งหมด ด้วยปริมาณคนที่ดูอยู่ข้างล่าง จะต้องเกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแน่นอน ผลที่ตามมาต้องเลวร้ายอย่างถึงที่สุดแน่
“ไอ้พวกตระกูลหยางนี่มันเป็นบ้ากันหมดจริงเสียด้วย! บ้าเลือดไร้เหตุผลสิ้นดี!” ซงเถาก่นด่าอยู่คนเดียวในใจ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโยนหยางเฉินทิ้งด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ยกมือสองข้างขึ้น เพื่อยิงพลังปราณเที่ยงแท้สองก้อนออกมาดับไฟที่ลุกโชติช่วงบนหอกนั้นลง
ไกลออกไปนั้น บรรดาองค์รักษ์นครหลวงกำลังรีบรุดมาที่เกิดเหตุ ซงเถาคำรามด้วยความหัวเสีย จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วรีบกระเผลกหนีไป
หลังจากที่ซุ่มวางแผนอยู่นานนม แถมยังยอมทนถูกปรามาสว่าเป็นขอทาน เขาก็ยังทำภารกิจไม่สำเร็จอยู่ดี… ซงเถาโกรธเสียจนไม่รู้จะโกรธอย่างไร หากเท้าของเขาไม่ได้ถูกปู้ฟางโจมตีจนบาดเจ็บ ก็คงหนีรอดไปได้ตั้งนานแล้ว
หลัวซานเหนียนมองซงเถากะเผลกหนีไป ถุยเลือดที่กบปากลงบนพื้นด้วยความเกลียดชัง แล้วก็พ่นลมเย้ย
จากนั้นนางก็เดินไปหาหยางเฉินที่ลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย
“พี่สะใภ้สามขอรับ!” หยางเฉินตะโกนอย่างขลาดๆ เมื่อเห็นหลัวซานเหนียนเดินเข้ามาหา
นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายแล้วเริ่มบิดหูของเขาทันที “ไอ้เด็กแสบ! กล้าดีอย่างไรหนีชั่วโมงฝึกวิชา! วันนี้เจ้าโดนดีแน่!”
“พี่สะใภ้สามขอรับ… ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วขอรับ” หยางเฉินอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี เขารีบร้องขอความเมตตาทันที
หลัวซานเหนียนผ่อนลมหายใจออกด้วยโทสะ นางเริ่มกระแอมกระไอ หน้าอกใหญ่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
“รีบขอบคุณเถ้าแก่ปู้เดี๋ยวนี้ หากไม่ใช่เพราะเขา พวกเจ้าทั้งสองคงโดนจับตัวไปอีกรอบแล้ว” หลัวซานเหนียนพูดอย่างหัวเสีย
ปู้ฟางเดินมาถึงตัวคนทั้งสองพอดีพร้อมด้วยโอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังขวัญเสีย เขามองหลัวซานเหนียน ดวงตาตวัดไปที่หน้าอกหน้าใจใหญ่มหึมาของนางแวบหนึ่ง ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกขณะถาม “คนที่พยายามลักพาตัวเสี่ยวอี้กับเจ้าเด็กนี่คือผู้ใด”
หลัวซานเหนียนกลับมาหายใจปกติได้อีกครั้ง รูม่านตาของนางหดแคบเมื่อได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางถาม หน้าอกของนางกระเพื่อมขณะตะโกนก้อง “แย่แล้ว! ท่านขุนศึกและแม่ทัพโอวหยางไปเข้าเฝ้าองค์ชายรัชทายาทแล้ว!”
………………