บนถนนสายหลักของนครหลวง หิมะยังคงโหมกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง บดบังพื้นกระเบื้องหินสีเขียว กดทับผ้าใบกันแดดกันฝนของร้านรวงข้างทาง
ลมหนาวยะเยือกพัดโชยผ่าน ทำให้บรรดาผู้คนที่เดินกันขวั่กไขว่ในชุดกันหนาวหลายต่อหลายชั้นพากันตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และพ่นควันขาวออกจากปากขณะรีบเร่งเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย
หลัวซานเหนียนกำลังลากโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินไปตามทาง ทั้งสามค่อยๆ เดินไปบนถนนสายหลักของนครหลวงอย่างช้าๆ ลมหนาวและเกล็ดหิมะหนาถูกเกราะกำบังพลังปราณของหลัวซานเหนียนปัดป้องออกไปจนหมด
ทั้งสามเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ หลัวซานเหนียนยังคงบ่นหยางเฉินไม่หยุดเรื่องอะไรสักอย่าง ส่วนหยางเฉินก็หัวเสียทำหน้ายู่เข้าหากันจนเหมือนกระดาษโดนขยำ ข้างๆ กันนั้นโอวหยางเสี่ยวอี้กำลังหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวเมื่อเห็นสภาพดูไม่ได้ของเด็กชาย
ทันใดนั้นหิมะที่กำลังเทลงมาจากฟากฟ้าก็พลันหยุดสนิท ถนนทั้งสายตกอยู่ในความเงียบงัน รูม่านตาของหลัวซานเหนียนหดแคบ นางไม่ได้ยินสรรพเสียงใดแม้แต่อย่างเดียว มีเพียงเสียงลมหายใจของตนเองเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในสมอง
หญิงสาวหันหน้าไปมองโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินด้วยความยากลำบาก ปากเล็กๆ ของเด็กทั้งสองอ้าๆ หุบๆ เหมือนกำลังพูดบางสิ่งที่หลัวซานเหนียนไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
ที่ปลายถนน ชายในชุดกันหนาวลายนกกระเรียนกำลังค่อยๆ เดินทอดน่องเอามือไพล่หลังมาทางพวกเขา
ทุกก้าวที่ชายผู้นี้ย่างเดิน หลัวซานเหนียนรู้สึกถึงแรงกดทับบนตัวนางที่มากขึ้นเรื่อยๆ ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว มีเพียงภาพชายที่กำลังค่อยๆ เดินเข้ามาหาเท่านั้นที่เป็นเงาสะท้อนอยู่ในแววตา
“จ… เจ้ามู่เฉิงรึ!”
ริมฝีปากแดงของหลัวซานเหนียนเผยอขึ้นเล็กน้อย นางกรีดร้องชื่อนั้นออกมาด้วยความตกใจ แต่กลับพบว่าไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย ร่างบางของหลัวซานเหนียนสั่นสะท้าน พลังที่กดทับลงมาบนกายมากจนถึงจุดที่นางขยับกล้ามเนื้อใดไม่ได้อีกต่อไป
เจ้ามู่เฉิงเดินเอามือไพล่หลังมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลัวซานเหนียน ดวงตาของเขาเหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ราวกับมีรัศมีพลังของพระพุทธองค์หมุนวนอยู่ภายใน พร้อมเสียงบทสวดกึกก้อง
หลัวซานเหนียนจ้องเจ้ามู่เฉิงด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า มุมปากของฝ่ายหลังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะเดินผ่านนางไป เจ้ามู่เฉิงคว้าตัวหยางเฉินและโอวหยางเสี่ยวอี้เอาไว้ จากนั้นก็ก้าวเดินออกไปทีละก้าว และอันตรธานไปจากถนนหลักของนครหลวง…
ตุบ!
ดวงตาของหลัวซานเหนียนเบิกกว้าง เข่าทรุดลงบนพื้นอย่างไร้ทางสู้ หน้าอกใหญ่ของนางกระเพื่อมขึ้นลงขณะเจ้าของร่างพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอด
เสียงจ้อกแจ้กของนครหลวงและเสียงลมหนาวหวีดหวิวกลับสู่โสตประสาทของนางอีกครั้ง เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงบนผมสีดำที่ปล่อยสยายของหลัวซานเหนียน เกราะพลังปราณเที่ยงแท้ที่หญิงสาวใช้กันหิมะและลมหนาวสลายหายไปตั้งแต่เมื่อใดนางเองก็ไม่อาจรู้ได้
ทั่วทั้งนครหลวงตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน เมื่อตระกูลผู้ทรงอิทธิพลอย่างตระกูลโอวหยางและตระกูลหยาง ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนองค์ชายรัชทายาทให้สืบทอดบัลลังก์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ข่าวนี้เปรียบเสมือนแผ่นดินไหวร้ายกาจที่เขย่าทั้งนครหลวงให้ตกอยู่ในความโกลาหล
ตระกูลที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลตระกูลอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังตัดสินใจไม่ได้ เริ่มเดินหน้าเลือกข้างกันทันที ส่วนมากเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับองค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอัน
จำนวนตระกูลผู้ทรงอำนาจที่เลือกหนุนหลังอวี่อ๋องเองก็ลดลงไปมากเช่นกัน การมีตระกูลโอวหยางและตระกูลหยางหนุนหลังอยู่นั้นทำให้ตำแหน่งจักรพรรดิถือว่านอนมาสำหรับองค์ชายรัชทายาท หากองค์ชายรัชทายาทสืบทอดราชสมบัติได้สำเร็จ ก็ไม่มีทางที่อวี่อ๋องจะพลิกกลับมาชนะได้อีกแล้ว
แต่ยังมีอีกหนึ่งตระกูลสำคัญในนครหลวง นั่นคือตระกูลเซียว แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงได้ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วว่าตนเองเลือกอยู่ข้างจักรพรรดิองค์ก่อนเท่านั้น นั่นแปลว่าไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขาจะไม่เลือกสนับสนุนทั้งองค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋อง
ณ ตำหนักอวี่อ๋อง
สีหน้าของอวี่อ๋องดูหม่นหมองเป็นอันมาก ขณะฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะที่หักสะบั้นทันทีตามแรงกระแทก พลังที่แผ่ออกจากร่างกายดูมืดมนหนาวเหน็บถึงขีดสุด
“ไอ้เจ้ามู่เฉิงชาติชั่ว! ไอ้จิ้งจอกเฒ่าน่ารังเกียจ! ก่อนหน้านี้มันไม่ขยับตัวทำอะไร ข้าก็หลงคิดไปว่าคราวนี้มันพอใจกับการเป็นแค่ผู้ชม! ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมีแผนชั่วเช่นนี้! บัดซบจริงๆ! ไอ้เวรเอ๊ย!”
หุนเชียนอวิ่นในชุดคลุมสีดำที่อยู่ในห้องเดียวกันคลี่ยิ้มบางขณะมองอวี่อ๋องบันดาลโทสะ ชายชราเอ่ย “ท่านอวี่อ๋องไม่จำเป็นต้องกริ้วไป มนุษย์ย่อมเดินหมากผิดพลาดเป็นธรรมดา ความจริงที่ว่าเจ้ามู่เฉิงคนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้นั้น ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใด กระนั้นก็เถอะ ต่อให้องค์ชายรัชทายาทได้รับแรงสนับสนุนจากตระกูลโอวหยางและตระกูลหยาง พวกเราก็ไม่ได้ถือว่าสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีทางสู้เสียหน่อย”
อวี่อ๋องสูดหายใจเข้าลึก พยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ภายใน เขาหันไปมองหุนเชียนอวิ่นแล้วส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ทางฝั่งเราเองก็ได้แรงสนับสนุนจากขุนนางมากหน้าหลายตา รวมถึงท่านเสนาบดีคลังด้วย ด้วยความช่วยเหลือของเขา เราย่อมควบคุมเศรษฐกิจของนครหลวงเอาไว้ในกำมือ ยิ่งไปกว่านั้นวังกระดูกขาวและสำนักสุขสามัคคี สองในสี่สำนักนอกรีต ก็ได้ส่งผู้ฝึกตนมาเพื่อสนับสนุนอวี่อ๋องเรียบร้อยแล้วด้วย ส่วนด้านการยุทธ์นั้น ตราบใดที่เซียวเหมิงไม่เข้ามายุ่มย่าม พวกเราก็ถือไพ่เหนือกว่าอย่างแน่นอน” หุนเชียนอวิ่นเอ่ย
“วังกระดูกขาวและสำนักสุขสามัคคีรึ” อวี่อ๋องหรี่สายตาคมกริบมองหุนเชียนอวิ่น
แต่หุนเชียนอวิ่นกลับมองอวี่อ๋องกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ข้าบอกตอนไหนว่าอยากได้ความช่วยเหลือจากวังกระดูกขาวและสำนักสุขสามัคคี สี่สำนักนอกรีตนี่ช่างสนิทสนมกันเสียจริง…” อวี่อ๋องพูดเย้ย
หุนเชียนอวิ่นหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ส่ายหน้า “พวกเราไม่ได้เรียกตนเองว่าสี่สำนักนอกรีตอีกต่อไปแล้ว สำนักวังวิญญาณทมิฬถูกจักรพรรดิฉางเฟิ่งทำลายราบคาบไปหมด จึงไม่รวมอยู่ในสี่สำนักนอกรีตใหญ่อีกต่อไป แต่ด้วยการช่วยเหลือจากสามสำนักนอกรีตที่เหลืออยู่ พระองค์ไม่มั่นใจรึว่าตนเองจะได้สืบราชบัลลังก์”
“เจ้านี่ช่างมั่นใจในตนเองเสียเหลือเกิน” อวี่อ๋องหรี่ตา
“พวกเราทั้งคู่ก็เหมือนกันนั่นละ” เปลวไฟวิญญาณในดวงตาหุนเชียนอวิ่นเต้นตุบ
…
ปู้ฟางค่อยๆ ลอกเยื่อบุชั้นนอกของลำไส้เล็กวัวมังกรพเนจรออก เยื่อบุชั้นนอกของลำไส้เล็กที่ทั้งบางใสและเด้งดึ๋ง เหมาะกับการทำเป็นไส้กรอกอย่างยิ่ง
ใช่แล้ว ปู้ฟางตั้งใจจะทำไส้กรอก อาหารที่เขาชอบกินมากสมัยยังอยู่บนโลก กลิ่นหอมของไส้กรอกสูตรดั้งเดิมนั้น ไม่ว่าใครได้สูดเข้าไปก็ต้องน้ำลายสอออกมาทันที
แต่ไส้กรอกที่ปู้ฟางทำในคราวนี้ไม่ใช่ไส้กรอกธรรมดา แค่ส่วนผสมก็รับรองว่าเหนือชั้นกว่าไส้กรอกทุกชนิดบนโลกนี้แล้ว มีแต่ปู้ฟางเท่านั้นที่สุรุ่ยสุร่ายพอจะใช้เนื้อวัวมังกรพเนจรในการทำไส้กรอกกิน
พอเตรียมไส้เสร็จ ปู้ฟางก็วางพักเอาไว้แล้วหยิบสมุนไพรพลังปราณที่เขาเก็บได้จากหุบเขาปักษาเพลิงพ่ายออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ สมุนไพรเหล่านี้ไม่ได้ล้ำค่าเท่าสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิง แต่ก็จัดว่ามีค่าและอัดแน่นไปด้วยพลังปราณเช่นกัน
มีดทำครัวกระดูกมังกรทองหมุนอยู่ในมือปู้ฟาง จากนั้นก็ตกลงมาเหมือนฝนดาวตก เปลี่ยนสมุนไพรให้กลายเป็นผงละเอียด ด้วยอำนาจพิเศษของมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง คุณสมบัติในการเยียวยาทั้งหมดของสมุนไพรจึงถูกเก็บรักษาเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน หลังจากผสมผงสมุนไพรเข้ากับเนื้อบดเรียบร้อย เขาก็นั่งพักสักครู่ ก่อนจะเดินกลับมาปรุงรสแล้วหยิบไส้ที่เตรียมไว้ออกมา
ปู้ฟางหยิบน้ำตาลกรวดทำพิเศษที่ระบบเตรียมเอาไว้ให้ออกมา น้ำตาลกรวดทุกก้อนมีรูปร่างหน้าตาสวยงามเหมือนอัญมณี ทว่าความงามนั้นก็ต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผงด้วยมีดทำครัวของปู้ฟาง หลังจากที่ผสมผงน้ำตาลเข้ากับเนื้อบดแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มยัดเนื้อบดเข้าไปในไส้
เขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้เพื่อช่วยให้ยัดไส้เนื้อง่ายขึ้น ปู้ฟางเพียงแค่ต้องใส่พลังปราณเข้าไปในไส้เพื่อให้มันพองลมขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ยัดเนื้อเข้าไปข้างใน ทันทีที่ยัดไส้เสร็จ เขาก็ใช้ลวดรัดเพื่อให้ได้ไส้กรอกเป็นท่อนๆ
ไส้กรอกนี้อัดแน่นไปด้วยพลังปราณที่ไหลทะลักออกมา มันมีกลิ่นหอมก่อนที่จะทำให้สุกเสียอีก
กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นของเนื้อ แต่เป็นกลิ่นของสมุนไพรที่ผสมอยู่ภายใน
ปู้ฟางมองไส้กรอกยี่สิบกว่าท่อนที่ได้ด้วยความพึงพอใจ หากขายหมดก็ไม่มีอีกแล้ว เนื่องจากมีวัตถุดิบพอทำได้เพียงเท่านี้
นั่นเพราะวัวมังกรพเนจรระดับเจ็ดมีลำไส้เล็กเพียงขดเดียวนั่นเอง…
เมื่อปู้ฟางจินตนาการถึงกลิ่นที่จะโชยออกมาตอนที่เขาทอดไส้กรอกนี้ให้สุกกรอบ ชายหนุ่มก็แทบน้ำลายไหล รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าอยากจะทำมันเสียเดี๋ยวนี้
แต่กระวนกระวายใจไปก็ไม่มีประโยชน์ พอทำเสร็จแล้วเขายังต้องตากให้แห้งก่อนสักสองสามวัน ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงรีบนำไส้กรอกไปใส่ไว้ในตู้ที่ระบบมอบให้ ตู้นี้มีคุณสมบัติพิเศษในการเร่งกระบวนการตากแห้งให้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น หลักการนี้เหมือนการเร่งการหมักสุราด้วยกระบวนการหมักเก้ากรรมวิธีนั่นเอง
หลังจากที่ปิดประตูตู้ลงเรียบร้อย ปู้ฟางก็ถอนหายใจออกมา เขาตั้งตารอผลลัพธ์ครั้งนี้มาก เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำอาหารนอกเหนือจากรายการที่ระบบมีให้
“ระบบ หากทำไส้กรอกเสร็จแล้วจะราคาประมาณเท่าไหร่รึ” ปู้ฟางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
………………………