การฝึกทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่นั้นต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ร่วมด้วย ทำให้การฝึกทักษะแกะสลักนี้ยากขึ้นไปอีก เพราะกระแสพลังปราณเที่ยงแท้นั้นไม่แน่นอนเลยสักนิด หากผิดพลาดไปแม้แต่น้อยระหว่างการแกะสลัก วัตถุดิบก็จะได้รับความเสียหาย ด้วยเหตุนี้ทักษะการแกะสลักจึงเป็นบททดสอบความสามารถในการควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้ชั้นเยี่ยมของพ่อครัว
ระบบได้เตรียมมีดทำครัวพิเศษเอาไว้ให้ปู้ฟางเช่นเดียวกับตอนที่เขาฝึกทักษะการใช้มีด แต่ครั้งนี้มีดที่ระบบเตรียมให้กลับเบากว่ามาก มีดที่เขาใช้ฝึกทักษะการใช้มีดทำมาจากโลหะชนิดพิเศษ กว่าจะยกขึ้นก็เหนื่อยแทบรากเลือดแล้ว
เมื่อปู้ฟางเห็นมีดทำครัวเล่มหนาใหญ่เป้ง เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา ชายหนุ่มคิด “ฝึกการแกะสลักนี่ไม่ได้ต้องใช้มีดแกะสลักเล่มเล็กรึ ไอ้มีดอีโต้พ่อค้าหมูนี่มันบ้าอะไรกัน”
แต่มีดทำครัวเล่มนี้ก็ไม่ได้หนักอย่างที่คิดไว้ แม้รูปร่างหน้าตาของมันจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ขึ้นมาก็ตาม
เขาเม้มปาก ก่อนเดินไปที่ตู้แล้วหยิบเต้าหู้ที่ระบบเตรียมไว้ให้ออกมา นี่คือวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการฝึกฝีมือ แน่นอนว่าปู้ฟางไม่ได้จะใช้เต้าหู้นี้ในการฝึกทักษะการใช้มีด แต่เป็นการฝึกทักษะการแกะสลัก
เต้าหู้นั้นมีสีขาวสว่างทั้งยังอุ่นเมื่อสัมผัส กลิ่นหอมอ่อนลอยล่องออกจากก้อนเต้าหู้ ดูก็รู้ว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยมมากทีเดียว อย่างน้อยก็เหนือชั้นกว่าเต้าหู้ที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เตรียมเอาไว้สำหรับการแข่งขันแน่นอน
ชายหนุ่มหยิบมีดทำครัวที่ทั้งหนาและกว้างขึ้นมา รู้สึกไม่ถนัดชอบกลขณะมองก้อนเต้าหู้อ่อนบางขนาดเท่าฝ่ามือ ปู้ฟางไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรต่อไป
เขาหมุนมีดทำครัวในมือเพื่อโคจรพลังปราณให้ไหลเวียน ทันใดนั้นเต้าหู้ก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
ความพยายามครั้งแรกล้มเหลว
ทว่าปู้ฟางก็ไม่ได้หมดกำลังใจแต่อย่างใด เนื่องจากมีดที่เขาถืออยู่นั้นเหมือนมีดที่พ่อค้าเนื้อเอาไว้สับเนื้อ เขาจึงไม่คิดว่าตนเองจะทำสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก สีหน้าของปู้ฟางยังนิ่งเหมือนเดิมขณะเอาเต้าหู้ก้อนที่สองออกมาจากตู้ และเดินหน้าฝึกทักษะการแกะสลักต่อไป
กว่าจะใกล้ถึงเวลาเปิดร้าน บนโต๊ะที่ชายหนุ่มใช้ฝึกก็เต็มไปด้วยเศษเต้าหู้หนากระจัดกระจาย เนื่องจากเขาทำเสียไปหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน
แต่การเติบโตจากความผิดพลาด พิจารณาสิ่งที่ทำไม่ถูกเพื่อตามหากุญแจสู่ความสำเร็จนั้น เป็นสิ่งสำคัญสุดในการเรียนรู้สิ่งใหม่
พลังปราณเที่ยงแท้หลั่งไหลเข้าไปในมีดทำครัวสั่งทำพิเศษ ขณะที่ปู้ฟางถือมีดเล่มนั้นไว้เหมือนมันไม่มีน้ำหนักอะไรเลย และสลักลงไปที่ผิวของเต้าหู้อย่างชำนาญ…
ท่วงท่าของเขายังดูเก้ๆ กังๆ แต่ก็ดูดีกว่าก่อนหน้านี้ที่เต้าหู้แตกทันทีเมื่อสัมผัสโดน
ปู้ฟางค่อยๆ ยกมีดออกก่อนถอนหายใจยาว เขาหมุนมีดทำครัวในมือเป็นท่วงท่าน่าชม แล้ววางมีดลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ในที่สุดชายหนุ่มก็ทำผลงานชิ้นแรกเสร็จเสียที
เบื้องหน้าปู้ฟาง ชิ้นส่วนบางส่วนของก้อนเต้าหู้ขนาดเท่าฝ่ามือหลุดลอกออกอย่างช้าๆ ราวกับม่านบังตาที่ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นโลกที่อยู่ภายใน
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือดอกบัวสลักจากเต้าหู้ที่มีกลีบสีขาวบางละเอียด กลีบแต่ละกลีบบางใสเหมือนแผ่นกระดาษ ราวกับจะถูกทำลายในพริบตาเมื่อลมพัด กลีบดอกไม้ที่ซ้อนกันเป็นชั้นดูสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ การใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการแกะสลักทำให้พื้นผิวของดอกบัวระยิบระยับเป็นประกาย ส่งให้ดอกบัวเต้าหู้ดอกนี้ดูสวยงามดึงดูดใจมากจนไม่อยากเชื่อสายตา
“ข้ายังต้องพยายามให้มากกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังทำผลงานชิ้นแรกสำเร็จจนได้ แม้จะใช้ช่วงเวลาฝึกตอนเช้าไปทั้งหมดก็เถอะ” ปู้ฟางพึมพำกับตนเอง จากนั้นเขาก็ทำความสะอาดครัวแล้วเริ่มเตรียมอาหารเช้าให้เจ้าดำ ซึ่งเป็นรายการซี่โครงเปรี้ยวหวานเหมือนทุกครั้ง
วันอันวุ่นวายเริ่มดำเนินไปอีกครั้ง
นครหลวงตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่สามวันติด การเมืองภายในวังหลวงพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา
ข่าวการสวรรคตของจักรพรรดิฉางเฟิ่งเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันแล้ว และวันจัดงานส่งพระศพก็ถูกกำหนดเรียบร้อย โดยเป็นวันก่อนหน้าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิสามวัน งานพระศพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะต้องอลังการน่าประทับใจสมพระเกียรติอย่างแน่นอน
แม้องค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋องยังคงต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์กันอยู่ แต่ทั้งสองก็ไม่มีใครกล้าเพิกเฉยต่องานพระศพของจักรพรรดิผู้ล่วงลับที่กำลังจะมาถึง นี่ไม่ใช่บททดสอบความเคารพของพวกเขาที่มีต่อบิดาเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบความกตัญญูด้วย
จีเฉิงเสวี่ยที่ออกปฏิบัติภารกิจทางทหารนอกอาณาจักรก็กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับนครหลวงเช่นกัน ข่าวการสูญเสียจักรพรรดิไปถึงหูเขาเรียบร้อย องค์ชายสามจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน แม้เขาจะรู้ดีว่าสถานการณ์ภายในนครหลวงเกรี้ยวกราดราวพายุร้าย แต่ก็ยังอยากกลับมา เนื่องจากจุดหมายในคราวนี้ไม่ใช่แค่เพื่อร่วมงานพระศพของบิดาเท่านั้น
กองทหารในชุดเกราะกำลังเดินลัดเลาะผ่านทางเดินบนหุบเขาที่เป็นหลุมเป็นบ่อ จีเฉิงเสวี่ยในชุดนักรบเดินอยู่ตรงกลาง ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมจริงจัง
ข้างๆ เขามีชายในหมวกไม้ไผ่บนหลังม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปตามกองทหารเช่นกัน
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันแม้แต่น้อย บรรยากาศดูทั้งกระอักกระอ่วนและตึงเครียด
เมื่อภาพอันแสนยิ่งใหญ่ของนครหลวงปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งคู่ จีเฉิงเสวี่ยก็สูดหายใจเข้าลึก ดวงตาเป็นประกายประหลาด
“ท่านคิดจะเข้าไปในนครหลวงจริงรึ” เสียงแหบห้าวดังออกจากปากของชายในหมวกไม้ไผ่มาเข้าหูองค์ชายสาม
“ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ งานพระศพของท่านพ่อจะจัดขึ้นสามวันก่อนหน้านั้น หากข้าไม่ไปตอนนี้คงกลับไปไม่ทันเฝ้าพระศพอย่างแน่นอน” จีเฉิงเสวี่ยตอบเสียงอ่อนโยน
“ถึงอย่างไรท่านก็ควรคิดให้ดีก่อน… พอท่านเข้านครหลวงไปแล้ว มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะกลายเป็นเป้าขององค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋อง… หากเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงชีวิตของท่านคงตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง”
“ตั้งแต่เกิดมาข้าก็ไม่เคยปลอดภัยอยู่แล้ว ถึงทั้งสองคนนั้นจะไม่เคยเห็นหัวข้า… แต่ตัวข้าเองก็ยังเป็นองค์ชายเหมือนพวกเขา” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะในลำคอ ก่อนหันหน้ามาหาชายในหมวกไม้ไผ่แล้วเอ่ยต่อ “การเยือนนครหลวงครั้งนี้ของข้าอันตรายนัก แต่สถานการณ์ของเจ้าก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ใช่ไหมเล่า เซียวเยวี่ย”
ชายในหมวกไม้ไผ่หัวเราะในลำคออย่างจนด้วยคำพูดอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่นานนักทั้งสองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“พอท่านพูดแล้วข้าก็คิดถึงสุราหัวใจหยกเยือกแข็งของเถ้าแก่ปู้ขึ้นมาทันที ข้าไม่ได้กลิ่นมันมานานเหลือเกินจนอยากดื่มมันเสียตอนนี้แล้ว อยากกระดกหมดสิบเหยือกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” เซียวเยวี่ยพูดเสียงห้าว
จีเฉิงเสวี่ยยิ้มก่อนหันไปมองเซียวเยวี่ย “สิบเหยือกรึ เถ้าแก่ปู้ขายแค่วันละสามเหยือกเท่านั้น แค่ได้ไปเหยือกหนึ่งเจ้าก็โชคดีแล้ว”
เซียวเยวี่ยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าชั่วครู่ ก่อนถอนใจหนักอย่างละเหี่ยใจ
…
ก่อนที่กองทัพของจีเฉิงเสวี่ยจะมาถึงนครหลวง ร่างสามร่างก็ไปยืนอยู่ตรงประตูเมืองอันใหญ่โตโอฬารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู้นำของกลุ่มเป็นสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้า เสื้อผ้าทั้งชุดดูลำลองสบายตัวเป็นอันมาก ผมยาวสลวยของนางถูกมัดขึ้นด้วยเชือกหน้าตาเรียบง่าย ทั้งตัวไม่ได้มีเครื่องประดับอะไรมากมาย นอกจากนี้นางยังใส่ชุดคลุมตัวหลวมโพรกที่ปิดบังทรวดทรงของตนเอาไว้ด้วย
ร่างอีกสองร่างนั้นยืนอยู่เบื้องหลังสตรีผู้นี้ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ หากปู้ฟางอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เขาต้องจำสองคนนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะทั้งคู่คือชายหญิงที่เขาเจอในดินแดนป่ารกชัฏ ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวนั่นเอง
ถังอิ่นที่มองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาที่ทั้งเคารพและเกรงกลัว กำลังแสดงสีหน้าประหลาด
“ท่านอาจารย์ขอรับ… พวกเราจะไปตามหาศิษย์พี่กันจริงๆ หรือ ศิษย์พี่ผู้นี้ทั้งน่ากลัวและยากแท้หยั่งถึงมากเลยนะขอรับ!” ถังอิ่นถามอย่างจนปัญญา
ดวงตาของสตรีภายใต้ผ้าคลุมหันมามองที่ถังอิ่น จากนั้นพลังกดดันมหาศาลก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ดวงตาของนางสวยงามเป็นอันมาก คิ้วทั้งสองข้างก็ทั้งยาวและโก่งพอดี ขอบตาเฉียงขึ้นเล็กน้อย ผิวขาวสะอาดอ่อนนุ่ม มองแค่ดวงตาก็รู้แล้วว่านางเป็นสตรีผู้งดงามเหมือนเทพธิดาบนสวรรค์
“อิ่นอิ่นน้อย ข้าไม่รู้หรอกนะว่าศิษย์พี่ของเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหน แต่… หากเจ้ายังไม่เลิกกวนใจข้าละก็ ข้าจะบังคับให้เจ้ากินซอสพริกสูตรพิเศษของข้าให้หมดถังมันเสียเลย!” เสียงของนางไพเราะเสนาะหู แต่คำพูดที่ออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มอยากจะร้องไห้
สตรีผู้นี้คืออาจารย์ของถังอิ่น ผู้อาวุโสลำดับสามของสำนักความลับแห่งสวรรค์นามว่าหนี่หยัน! นางเป็นสตรีที่อารมณ์แปรปรวนเสียยิ่งกว่าใครในโลกหล้า!
หลังจากที่จิกตามองข่มขู่ถังอิ่นเรียบร้อย นางก็หันไปหาลู่เซียวเซียวแล้วเอ่ยถาม “เด็กน้อย ไอ้หมอนั่นมันเอาสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงไปจริงใช่หรือไม่ เจ้าไม่ได้โกหกข้านะ”
ลู่เซียวเซียวรีบพยักหน้าทันที
หนี่หยันหรี่ตาเรียวสวยของนางลง ก่อนพ่นลมเยาะออกมาแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในนครหลวงทันที
“กล้าดีอย่างไรมาชิงสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงไปจากข้า แถมข้ายังได้ยินมาว่าเจ้าเป็นพ่อครัวด้วย… คนอย่างข้ายินดีสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกด้วยปลายจวักอยู่แล้ว! เฮอะ!”
ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวมองหน้ากันด้วยสายตาจนปัญญา ก่อนรีบตามผู้เป็นอาจารย์ไป
……………………