ณ ตำหนักอวี่อ๋อง ที่กลางตึกหลัก ข้างสระน้ำ
อวี่อ๋องดูสงบนิ่งขณะเดินไปตามทางพร้อมเอามือไพล่หลัง เขาอยู่ในชุดคลุมยาวพร้อมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ที่คลุมอยู่บนบ่า
ขุนนางระดับสูงที่อวี่อ๋องส่งไปเชิญองค์ชายสามยืนอยู่เบื้องหลัง ชายชราผู้นั้นมีสีหน้าหวาดกลัว ได้แต่เดินตามอวี่อ๋องไปต้อยๆ โดยไม่ส่งเสียงอะไร
“เจ้าบอกว่าน้องสามของข้าปฏิเสธคำเชิญจากทั้งข้าและองค์ชายรัชทายาทรึ” อวี่อ๋องพูดเสียงเรียบ ทำให้ขุนนางชราผู้นั้นสะดุ้งตกใจ เขารีบพยักหน้าหงึกหงักตอบทันที
อวี่อ๋องหัวเราะหึในลำคอ ดูท่าทางขบขันเป็นอันมาก มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะมองจ้องไปที่หิมะบนลานตำหนัก
“หมายความว่าอย่างไรกัน เดี๋ยวนี้หัดปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ รู้จักกลับมาผสมโรงเล่นการเมืองกับเขาเสียด้วย แค่นี้สถานการณ์ภายในนครหลวงก็วุ่นวายโกลาหลอยู่แล้ว… เจ้ายังคิดว่ามันจะแย่ได้มากกว่านี้อีกสินะ” อวี่อ๋องพึมพำกับตนเอง ดูเหมือนว่ากำลังตั้งคำถามกับอะไรบางอย่างอยู่ ใบหน้าของเขาฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ออกมา
“เป็นแค่องค์ชายที่ใกล้ถูกท่านพ่อเขี่ยทิ้งอยู่รอมร่อแท้ๆ… กล้าดีอย่างไรจึงคิดจะมาสู้กับข้า”
…
ข้างๆ ประตูมายาสวรรค์ ณ วังขององค์ชายรัชทายาท
ร่างสองร่างกำลังยืนหลังตรง ดวงตามองออกไปภายนอกวัง มุมที่ยืนอยู่นี้ทำให้เห็นลานจัตุรัสของประตูมายาสวรรค์แทบทั้งลานเลยทีเดียว
“เรื่องการกลับมานครหลวงของน้องสาม ผู้อาวุโสเจ้ามีคำถามหรือข้อแนะนำอะไรหรือไม่” องค์ชายรัชทายาทมองไปยังชายที่เปี่ยมไปด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิข้างกายตน จะเรียกว่าผู้อาวุโสก็ไม่ถูกนัก แม้ผมของเจ้ามู่เฉิงจะกลายเป็นสีขาวแล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้ดูแก่ชราแต่อย่างใด
สายตาของเจ้ามู่เฉิงล้ำลึกอ่านยาก ราวกับเขาสามารถมองทะลุผ่านความเป็นไปของโลกได้อย่างปรุโปร่ง เขาเอ่ยตอบเสียงเรียบ “องค์ชายรัชทายาทไม่จำเป็นต้องกังวลไป แม้องค์ชายสามจะยังมีศักดิ์เป็นองค์ชาย แต่ท่านจักรพรรดิองค์ก่อนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาแต่อย่างใด ยิ่งใช้ชีวิตไปกับการสู้รบอยู่นอกอาณาจักรเป็นเวลานาน เขายิ่งกลายสภาพเป็นทหารมากกว่าองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ถึงอย่างไรก็คงไม่มีวันได้ยุ่งเกี่ยวกับราชบัลลังก์อย่างแน่นอน”
องค์ชายรัชทายาทรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอันมาก แม้เขาจะไม่ได้กังวลเรื่องน้องสามมากนัก แต่การเข้ามายุ่มย่ามในกิจการของนครหลวงที่สับสนอลหม่านอยู่แล้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้สถานการณ์วุ่นวายขึ้นไปอีกได้
เจ้ามู่เฉิงมององค์ชายรัชทายาทแล้วแสร้งยิ้มบาง “ด้วยแรงสนับสนุนของตระกูลโอวหยาง ตระกูลหยาง รวมถึงตระกูลเจ้า องค์ชายจะต้องกังวลอะไรอีก ถึงราชโองการของท่านจักรพรรดิองค์ก่อนจะยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาแล้วอย่างไรเล่า พระองค์มีคนหนุนหลังมากพอที่จะนอนรอวันขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ได้เลยทีเดียว”
ดูเหมือนว่าคำพูดของเจ้ามู่เฉิงจะมีพลังวิเศษบางอย่างที่ทำให้ความกระวนกระวายใจขององค์ชายรัชทายาทมลายหายไปทันที แม้องค์ชายจะรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังคิดไม่ออกเสียทีว่าเป็นเพราะเหตุใด
“องค์ชายพะย่ะค่ะ ประตูมายาสวรรค์นี้สร้างโดยจักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิวายุแผ่ว ตามตำนานว่าไว้ว่า มีวงแหวนปราณวิญญาณถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่พะย่ะค่ะ” เจ้ามู่เฉิงถามพร้อมชี้นิ้วไปยังลานจัตุรัสของประตูมายาสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไป
องค์ชายรัชทายาทชะงักไปเล็กน้อย สายตามองไปยังลานจัตุรัสของประตูมายาสวรรค์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
“มีบันทึกเรื่องความแปลกประหลาดของประตูมายาสวรรค์ที่บรรพบุรุษต้นตระกูลข้าทิ้งเอาไว้จริง แต่บันทึกชิ้นแรกสุดนั้นย้อนไปเพียงไม่กี่ร้อยปีก่อน จึงไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของข้อมูลได้ หรืออย่างน้อยท่านพ่อข้าก็ไม่เคยตรัสว่าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์มีวงแหวนปราณวิญญาณซ่อนอยู่ อาจจะ… เป็นเพียงตำนานไม่มีมูลก็เป็นได้” องค์ชายรัชทายาทเอ่ย
เจ้ามู่เฉิงมองประเมินองค์ชายรัชทายาทอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกจริงๆ เขาก็มุ่นคิ้ว
“เป็นเพียงตำนานจริงๆ รึ”
…
“นี่ขนมจีบทองคำที่สั่ง กินให้อร่อย”
ปู้ฟางวางซึ้งไม้ไผ่ร้อนฉ่าที่มีขนมจีบทองคำอยู่ภายในลงตรงหน้าหนี่หยัน เมื่อเขาหันไปมองปริมาณจานกระเบื้องที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็เห็นได้ว่าสตรีผู้นี้สั่งอาหารทุกจานในร้านกินจริงๆ
ดวงตาคู่สวยของหนี่หยันเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อเห็นขนมจีบทองคำ นางพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว พร้อมกลืนเนื้อตุ๋นตำรับจีนชิ้นสุดท้ายลงคอไป
“เอิ๊ก… ข้าไม่ได้กินอาหารอร่อยขนาดนี้มานานมากแล้ว!”
หลังจากที่เรอออกมาเสียงดัง นางก็แลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียริมฝีปากอ่อนนุ่มสีเรื่อเหมือนกลีบดอกไม้ ฟันสีขาวเหมือนไข่มุกเผยอให้เห็นเล็กน้อย ใบหน้าที่เหมือนมีมนต์สะกดดูสวยน่ารักเหลือเกิน
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะมองการกระทำของหญิงสาว เขาเช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนมือ ก่อนลากเก้าอี้ออกมานั่งตรงข้ามหนี่หยัน
ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวเองก็สั่งอาหารมากินสองสามจานเช่นกัน แต่พวกเขาก็กินจนอิ่มแล้ว มีเพียงสาวงามจับใจคนนี้เท่านั้นที่ตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนวันพรุ่งนี้โลกจะแตก สีหน้าท่าทางของนางขณะกินเรียกได้ว่าเป็นคนตะกละคลั่งไคล้ในอาหารโดยแท้
นางใช้ตะเกียบคีบขนมจีบทองคำขึ้นมา แรงกดเบาๆ จากตะเกียบทำให้น้ำซุปในขนมจีบสะเทือนจนแทบหกออกมา หนี่หยันรองมือเอาไว้ใต้ตะเกียบแล้วกินขนมจีบเข้าไปในคำเดียว นางดูน่ารักมากขณะเคี้ยวอาหารในปากจนแก้มป่อง
“ศิษย์พี่ขอรับ… ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นพ่อครัวจริงๆ” ถังอิ่นอุทานออกมาขณะมองปู้ฟาง เขาคิดมาตลอดว่าคำพูดของปู้ฟางเป็นเพียงการกลบเกลื่อนตัวตนที่แท้จริงเท่านั้น
“ข้าเป็นพ่อครัวตัวจริงเสียงจริง จริงไปยิ่งกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ข้าประกอบอาชีพเป็นเถ้าแก่และพ่อครัวของร้านอาหารเล็กๆ ในนครหลวง” ปู้ฟางพูดพร้อมพยักหน้า
ลู่เซียวเซียวกะพริบตากลมโตปริบๆ ขณะมองปู้ฟาง นางรู้สึกว่าพฤติกรรมตอนนี้ของชายหนุ่มดูแปลกประหลาดไป ช่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาทำในดินแดนป่ารกชัฏโดยสิ้นเชิง…
แต่เมื่อนางหันไปเห็นอาจารย์ของตนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตายัดอาหารเข้าปากเหมือนชายอ้วนที่มีชีวิตอยู่เพื่อกิน ความเคลือบแคลงสงสัยในตัวปู้ฟางก็สลายหายไปทันที… หากเทียบกับอาจารย์สุดตะกละของนางแล้ว ศิษย์พี่คนนี้ดูน่าชื่นชมกว่าเยอะ
“ศิษย์พี่ ข้าขอถามหน่อยว่าสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงจากหุบเขาปักษาเพลิงพ่ายอยู่ในความครอบครองของท่านใช่หรือไม่” ลู่เซียวเซียวถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ปู้ฟางประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม เขาเหลือบมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนพยักหน้าโดยไม่ได้พยายามปิดบังแต่อย่างใด
พวกเขาทั้งสองกลับไปที่หุบเขาปักษาเพลิงพ่ายอีกครั้งหลังจากจบเหตุการณ์ระทึกขวัญ เมื่อเห็นว่ามีคนเก็บสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงไปแล้ว แน่นอนว่าปู้ฟางย่อมเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง…
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ ใบหน้าของเด็กหญิงก็ดูมีประกายดีใจขึ้นมาทันที นางหันไปหาอาจารย์ของตน แต่ก็เห็นหนี่หยันกำลังคีบขนมจีบทองคำขึ้นมาพร้อมกันสองลูก ก่อนจะยัดมันเข้าปากด้วยสีหน้ามีความสุขล้นปรี่
“ท่านอาจารย์.. อย่าลืมจุดประสงค์ที่เรามาเยือนนครหลวงในครั้งนี้สิเจ้าคะ!” เด็กหญิงคิด ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทันทีที่เจอของอร่อย อาจารย์สุดตะกละของนางก็ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตนเองมาทำอะไร
“ศิษย์น้อง จะรีบร้อนไปใย ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็อยู่ที่นี่อยู่แล้ว เอาไว้เราค่อยมาคุยเรื่องสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงหลังจากที่ท่านอาจารย์กินข้าวเสร็จแล้วก็ได้” ถังอิ่นมุ่นคิ้วเหลือบตามองลู่เซียวเซียว
ปู้ฟางเอาหลังพิงพนัก ดวงตามองไปที่ผู้มาเยือนทั้งสาม เขากำลังครุ่นคิด “สามคนนี้มาที่ร้านเพราะสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงสินะ…”
“ฮ่าๆ! เถ้าแก่ปู้ ไม่ได้เจอกันเสียนาน”
ขณะที่ปู้ฟางกำลังคิดอยู่นั้น เสียงหัวเราะดังลั่นก็ดังมาจากภายนอกร้าน เสียงหัวเราะนี้ฟังดูคุ้นเคยชอบกล ทำให้เขาพลันสะดุ้งตื่นจากห้วงแห่งความคิด
ชายหนุ่มหันไปมองที่ทางเข้าร้านด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นร่างสองร่างก็เดินผ่านปากประตูมาพร้อมกัน
คนที่กำลังหัวเราะร่วนอยู่นั่นไม่ใช่จีเฉิงเสวี่ย องค์ชายสามที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจทางทหารนอกอาณาจักรรึ
ส่วนชายในหมวกไม้ไผ่พร้อมผ้าปิดหน้าที่ยืนอยู่ข้างเขานั้น รูปร่างก็ดูคุ้นชอบกล
“หือ เจ้านี่เอง ทำธุระเสร็จแล้วรึ” ปู้ฟางถามพร้อมรอยยิ้ม
จีเฉิงเสวี่ยสะดุ้งเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจว่าปู้ฟางหมายถึงอะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขายิ้มแล้วนั่งลงที่โต๊ะก่อนเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เถ้าแก่ปู้ ข้าไม่ได้ดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งมาสักพักแล้ว รู้สึกอยากได้มาเชยชมสักเหยือกเหลือเกิน รีบเอามาให้ข้าเร็วเข้า”
ปู้ฟางพยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปที่ชายในหมวกไม้ไผ่พร้อมผ้าคลุมหน้าก่อนเอ่ยถาม “แล้วเจ้าล่ะ”
“เอาเหมือนกัน” เสียงแหบห้าวดังตอบกลับมา ชายคนนั้นถอดหมวกไม้ไผ่ออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ปู้ฟางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เซียวเยวี่ยหัวเราะหึๆ ขณะพยักหน้าให้ปู้ฟาง
เป็นสองคนนี้อย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย แต่ปู้ฟางก็ยังงงอยู่ดี เหตุใดคนทั้งคู่จึงมานั่งจิบสุราด้วยกันได้
“ไม่สั่งอาหารรายการอื่นกินคู่กับสุราด้วยรึ” ชายหนุ่มหันหลังกลับมาถามหลังจากเดินไปยืนคาอยู่ที่ปากประตูครัว
“แค่สุราก็พอ วันนี้ข้ามาเพราะอยากดื่มโดยเฉพาะ” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมส่ายหน้า เซียวเยวี่ยเองก็ตอบเหมือนกัน ปู้ฟางจึงได้แต่เดินเข้าครัวไปด้วยความผิดหวังเล็กๆ
เซียวเยวี่ยนั่งอยู่ตรงข้ามจีเฉิงเสวี่ย เขาเหลือบไปเห็นสาวงามที่กำลังกินอาหารเหมือนพายุพัด จากนั้นก็จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่สักพัก
อึดใจถัดมารูม่านตาของเขาก็หดแคบลง ชายหนุ่มสูดลมเย็นเข้าปอด
“สตรีผู้นี้… นางมาที่นี่เพื่ออะไรกัน”
………………….