ปู้ฟางงุนงงเป็นอันมากขณะมองหนี่หยันที่รีบรุดจากไป มุมปากของชายหนุ่มกว้างออกเป็นรอยยิ้ม เขาตั้งใจว่าจะสอบถามนางเพิ่มอีกเล็กน้อย และขอให้นางเป็นผู้ลองชิมสุราที่กำลังจะหมักขึ้นมาใหม่… เนื่องจากหนี่หยันเป็นคนเดียวที่เคยชิม ‘ลมหายใจมังกร’ มาก่อน
“ไม่ว่าจะอย่างไรสุราของเถ้าแก่ปู้ก็เป็นสุราที่ดีที่สุดที่ข้าเคยชิมมา” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มขณะยกจอกให้ปู้ฟาง หลังจากที่เอ่ยชมจากก้นบึ้งของหัวใจเรียบร้อยเขาก็กระดกหมดจอกในคราวเดียว
เซียวเยวี่ยเองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองไม่เคยดื่มลมหายใจมังกรมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามันดีกว่าสุราหัวใจหยกเยือกแข็งอย่างไร แต่หากเทียบกับน้ำอัญมณีทิพย์ที่เคยดื่ม สุราของปู้ฟางนั้นยอดเยี่ยมที่สุดไม่มีอะไรเทียบเทียมได้ ทั้งสองเชื่อในสิ่งที่เคยประสบมาด้วยตัวเองเท่านั้น
ปู้ฟางพยักหน้าให้ทั้งสองด้วยความรู้สึกขอบคุณแล้วเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามีคนที่ดีกว่าข้าเสมอ ข้าจึงจะไม่มีวันปล่อยให้ตนเองดวงตามืดบอดด้วยความผยองเด็ดขาด ข้าจะทำงานหาข้อมูลเพื่อคิดค้นสูตรสุราใหม่อย่างหนัก เมื่อวันนั้นมาถึง พวกเจ้าทั้งสองช่วยมาชิมได้หรือไม่ ข้ามั่นใจว่าสุราสูตรใหม่นี้จะต้องเอาชนะ ‘ลมหายใจมังกร’ อะไรนั่นได้อย่างแน่นอน”
เสียงของชายหนุ่มสงบนิ่งเป็นปกติ เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่ไม่จำเป็นต้องโพนทะนาออกมา
ดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองเป็นประกายขึ้นทันที ต่างพากันพยักหน้าตอบรับ ทั้งสองย่อมอยากมาเป็นผู้ชิมสุราของปู้ฟางอยู่แล้ว เนื่องจากคุณภาพของสุราหัวใจหยกเยือกแข็งนั้นยอดเยี่ยมเป็นที่สุด สุราอะไรก็ตามที่ปู้ฟางเป็นคนคิดค้นจะต้องดีมากอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็ดื่มสุราและพูดคุยกับปู้ฟางต่ออีกสักพัก แม้ชายหนุ่มเจ้าของร้านจะตอบด้วยเสียงราบเรียบน้อยคำเหมือนเดิม แต่พวกเขาก็ยังมีความสุขเนื่องจากชินกับอุปนิสัยของปู้ฟางเรียบร้อยแล้ว
พอดื่มหมดเหยือก ทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจ่ายเงินแล้วบอกลา พวกเขาเดินจากไปโดยเอามือไพล่หลัง สีหน้ามีความสุขเต็มเปี่ยมขณะก้าวออกจากร้านไปสู่โลกแห่งหิมะภายนอก
ลมหนาวพัดผ่านทำให้ชายแขนเสื้อของคนทั้งคู่ปลิวไสว
ปู้ฟางทำความสะอาดเหยือกกระเบื้องสีฟ้าขาวรวมถึงจานกองใหญ่บนโต๊ะหนี่หยัน เขายิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้ สตรีนางนั้นรูปโฉมงดงามและทรวดทรงดีมาก แต่กลับกินเยอะจนน่ากลัว เป็นคนตะกละตะกลามโดยแท้จริง
“แต่ว่า… กินเยอะถือเป็นเรื่องดี” ชายหนุ่มคิด
หลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จ เขาก็ไปนอนขดอยู่บนเก้าอี้ตรงปากทางเข้าร้าน ดวงตาจ้องมองภาพของหิมะสีขาวโพลนภายนอก ชายหนุ่มคิดสะระตะหาวิธีการปรุงสุราที่จะเอาชนะ ‘ลมหายใจมังกร’ ขณะรอให้ลูกค้ามาเข้าร้าน
…
กลุ่มสาวงามเดินส่ายสะโพกซ้ายทีขวาทีไปบนถนนสายหลักของนครหลวง หิมะสีขาวที่ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้าดูเหมือนจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นกลีบดอกไม้สีชมพู เสียงกระพรวนหวานหูทำให้ใจสั่นไหวดังเข้าโสตประสาทของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ขณะที่ร่างบอบบางขาวใสเหล่านั้นเดินย่ำไปบนหิมะขาว ชั้นหิมะก็ยุบตัวลงเล็กน้อย แต่เท้าของพวกนางกลับยังสะอาดไร้มลทิน ข้อเท้ามีสร้อยสีแดงผูกกระพรวนที่ดังเป็นเสียงหวานหูไปตามจังหวะเดิน
“กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง”
ในฤดูหนาวที่หิมะพัดเต็มท้องฟ้า เหล่านางทั้งห้ากลับใส่ชุดบางเบาสีชมพู ใบหน้าของพวกนางสวยหยดย้อย ดูยั่วยวนและมีเสน่ห์ไปในเวลาเดียวกัน พวกนางโยกซ้ายทีขวาทีขณะเดิน รูปร่างทรงนาฬิกาทรายดูน่าหลงใหล
ดวงตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาแทบหลุดออกจากเบ้า สาวงามทั้งห้าที่มีหุ่นสะบึ้มกำลังเดินเฉิดฉายอวดโฉมให้บรรดาหนุ่มๆ ได้เฝ้ามอง มีหลายคนที่อดรนทนไม่ไหวจนเลือดกำเดาไหลออกมา ทำให้พวกนางทั้งห้าคนอดหัวเราะคิกคักไม่ได้
เซียวเยวี่ยและจีเฉิงเสวี่ยยืนขมวดคิ้วอยู่ท่ามกลางฝูงชน ขณะมองร่างสาวงามทั้งห้าที่เดินอยู่ข้างหน้า
“สำนักสุขสามัคคีก็มาด้วยรึ แถมยังกล้ามาเดินโฉบไปโฉบมาในนครหลวงอีก หากท่านพ่ออยู่คงจับประหารไปเสียหมดแล้ว” องค์ชายสามส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเบา
ทันทีที่จักรพรรดิฉางเฟิ่งสวรรคต บรรดาสำนักน้อยใหญ่และกลุ่มอำนาจต่างๆ ก็พากันเนื้อเต้น ถึงกลับกล้ามาเดินโฉบไปเฉี่ยวมาในนครหลวงเลยทีเดียว ด้วยสถานการณ์ในเมืองที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงไม่มีใครมีเวลามาจัดการกับคนเหล่านี้
“พวกกลุ่มสตรีจากสำนักสุขสามัคคีมาทำอะไรที่นี่กัน หรือตั้งใจจะมาเข้าร่วมศึกชิงราชบัลลังก์ด้วย” เซียวเยวี่ยถามด้วยความงุนงง ใบหน้าเย็นชา
จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะหึๆ แล้วค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า “ไหนๆ พี่สองของข้าก็รับสำนักวิญญาณเข้ามาแล้ว จะรับสำนักสุขสามัคคีมาเพิ่มอีกแล้วจะทำไมเล่า บางทีสำนักวังกระดูกขาวและวังวิญญาณทมิฬอาจจะส่งตัวแทนมาร่วมด้วยก็เป็นได้… เขายอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อครองราชย์บัลลังก์ ดูเหมือนจะไม่สนใจแล้วว่าการแหย่เสือนั้นจะนำมาซึ่งอันตรายอะไรบ้าง”
…
ณ ตำหนักอวี่อ๋อง
อวี่อ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของห้องโถง มองลงมาที่สมาชิกสำนักต่างๆ เบื้องล่างที่มีพลังปราณแก่กล้า
หุนเชียนอวิ่นชายชราหลังโก่งในชุดคลุมสีดำเอื้อนเอ่ย “อวี่อ๋อง ผู้ฝึกตนจากสำนักสุขสามัคคีและสำนักวังกระดูกขาวมาถึงเรียบร้อยแล้ว ส่วนวังวิญญาณทมิฬนั้นเสียกำลังพลไปมากจากการต่อสู้กับจักรพรรดิฉางเฟิ่ง จึงส่งใครมาไม่ได้ ในบรรดาผู้ฝึกตนที่เรารับมานั้น สำนักสุขสามัคคีส่งขั้นจักรพรรดิยุทธการมาสองคน ขั้นราชันยุทธการสามคน และขั้นคลั่งยุทธการหลายสิบคน ส่วนสำนักวังกระดูกขาวส่งขั้นจักรพรรดิยุทธการมาสองคน ขั้นราชันยุทธการสองคน และขั้นคลั่งยุทธการร้อยคน หากรวมกับกำลังพลจากสำนักวิญญาณของข้า มั่นใจว่าเราจะช่วยให้ท่านครองบัลลังก์ได้อย่างแน่นอน”
อวี่อ๋องฟังหุนเชียนอวิ่นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น สมแล้วที่เป็นสำนักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี แม้จักรพรรดิองค์ก่อนจะทำลายพวกเขาไปไม่น้อย แต่ก็ยังส่งกองกำลังมาได้มากถึงเพียงนี้ แถมยังมีขั้นจักรพรรดิยุทธการอยู่หลายคนอีกด้วย
ตอนนี้ขั้นจักรพรรดิยุทธการถือเป็นกองกำลังแนวหน้าในนครหลวงแล้ว
“อืม ดีมาก ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องหวังพึ่งพวกเจ้าในที่นี้แล้ว ข้าได้เตรียมห้องหับเอาไว้ให้ มั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไกลแน่นอน จงไปพักเสียเถิด” อวี่อ๋องเอ่ย
หญิงสาวหุ่นอวบอัดที่สุดในบรรดาสตรีห้าคนจากสำนักสุขสามัคคีในชุดเบาบางสีชมพู เผยให้เห็นขาและแขนขาวเรียวยาว มองอวี่อ๋องด้วยสายตายั่วยวน “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าอวี่อ๋องนั้นทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม การได้มาชื่นชมพระปรีชาของอวี่อ๋องในวันนี้ ทำให้สตรีผู้ต่ำต้อยอย่างข้ารู้สึกประทับใจในตัวองค์ชายยิ่งเพคะ”
ใบหน้าของหญิงสาวเป็นสีแดงเรื่อเล็กน้อยขณะเอื้อนเอ่ย นางดูขวยเขินขณะพูดต่อ “ข้าสงสัยว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่อวี่อ๋องจะมอบพระเกียรติมาสนทนากับสตรีผู้ต่ำต้อยอย่างข้าในคืนนี้”
“คิๆๆ! เหวยเซียงซื่อ นางขี้อ่อยแพศยา ต่อหน้าอวี่อ๋องเจ้ายังกล้าทำตัวลามกจกเปรต คนอย่างท่านอวี่อ๋องหรือจะปรายตามองเจ้า ให้ข้าไปนั่งแลกเปลี่ยนสนทนากับเจ้าแทนไม่ดีกว่ารึ”
เสียงหัวเราะแหลมสูงดังมาจากชายที่นำทัพสำนักวังกระดูกขาวมา เขาเริ่มลวนลามร่างสวยของเหวยเซียงซื่อด้วยสายตาหื่นกระหาย
สีหน้าของเหวยเซียงซื่อเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นางปรายตามองชายจากสำนักวังกระดูกขาวก่อนยิ้มเยาะ “ราชากระดูกดูเหมือนจะมีอารมณ์ แต่สตรีผู้ต่ำต้อยคนนี้ไม่ได้มีอารมณ์เหมือนท่านหรอกนะเจ้าคะ ร่างกายของท่านทั้งผอมทั้งอ่อนแอ สตรีผู้ต่ำต้อยคนนี้เกรงว่าท่านจะนกเขาไม่ขัน”
ทันทีที่พูดจบ เสียงหัวเราะคิกคักก็ระเบิดออกมาจากฝั่งสำนักสุขสามัคคี ราชากระดูกโกรธมากเสียจนมองนางด้วยสายตาสังหาร พลังปราณเที่ยงแท้ไหลบ่าออกจากร่าง ราวกับแค่ผิดใจกันนิดเดียวก็พร้อมจะสู้กันได้ทันที
หุนเชียนอวิ่นไม่ได้พูดอะไร เปลวไฟวิญญาณภายใต้ชุดคลุมของเขาเต้นตุบเล็กน้อย
อวี่อ๋องกวาดตามองทั้งสองอย่างไร้อารมณ์ มุมปากของเขายกขึ้น พร้อมเอนตัวไปข้างหนึ่ง เอามือขึ้นมาเท้าศีรษะ ดวงตาของอวี่อ๋องมองคนทั้งคู่อย่างเย็นชา
เบื้องหลังอวี่อ๋อง ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีผู้ใดรู้ ร่างนั้นหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอากาศที่ว่างเปล่า พออวี่อ๋องดีดนิ้ว พลันร่างที่ว่าก็พุ่งไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าคู่อริทั้งสองทันที
กริชสองเล่มที่ทำให้พวกเขาเสียวสันหลังวาบนาบมาที่คอของเหวยเซียงซื่อและราชากระดูก
“ข้าให้รางวัลผู้ที่ช่วยเหลือข้าเสมอ แต่หากพวกเจ้า… กล้ามาเล่นจำอวดกันต่อหน้าข้าละก็ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งทุกคน จำใส่กะโหลกเอาไว้ ข้าคืออวี่อ๋อง ส่วนพวกเจ้า… เป็นแค่สวะจากสำนัก”
เสียงเย็นชาชวนขนหัวลุกดังขึ้น พร้อมด้วยพลังน่ากลัวที่ระเบิดออกจากร่างอวี่อ๋อง พลังปราณเที่ยงแท้พัดโหมรอบกายเขาอย่างรุนแรง
บรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักต่างสูดลมหายใจเข้าลึก รูม่านตาหดแคบ อวี่อ๋อง… บรรลุปราณระดับหกขั้นจักพรรดิยุทธการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
…
ทางเข้าจวนเซียวปิดเอาไว้แน่นหนา ลมหนาวพัดผ่านพาให้เกล็ดหิมะขาวสะอาดหมุนวนในอากาศ
ร่างที่สวมหมวกไม้ไผ่พร้อมด้วยผ้าคลุมหน้ายืนอยู่เงียบๆ ในระยะไกล ดวงตามองไปที่จวนเซียวอย่างสงบนิ่ง ย้อนนึกไปถึงอดีต
“เป็นอะไร คิดถึงบ้านรึ” เสียงอ่อนโยนของจีเฉิงเสวี่ยดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเดินมายืนข้างๆ เซียวเยวี่ย
เซียวเยวี่ยตอบกลับเสียงห้าว “ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟัง นางเคยถามท่านพ่อว่าหากวันหนึ่งท่านจักรพรรดิสวรรคต ท่านพ่อจะสนับสนุนองค์ชายพระองค์ใด”
จีเฉิงเสวี่ยเหลือบมองชายข้างตัวเล็กน้อย “อ้อ แล้วเขาตอบว่าอะไรเล่า”
เซียวเยวี่ยไม่ได้ตอบทันที แต่เริ่มหัวเราะนำมาก่อน เขาถอดหมวกไม้ไผ่ออก จ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยแล้วเอ่ย “คำตอบก็คือ… ท่านแม่ของข้ายังคงหลับอยู่ ส่วนข้าเองก็มายืนอยู่เบื้องหน้าท่านอย่างไรเล่า”
……………….