ดวงตาดำขลับบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเยวี่ยขณะมองไปที่จีเฉิงเสวี่ยดูเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่พร่างพราวด้วยดวงดาวระยิบระยับ จีเฉิงเสวี่ยชะงักทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้า คิ้วแหลมของเขามุ่นเข้าหากันจนแทบกลายเป็นเส้นเดียว จากนั้นองค์ชายสามก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเป็นไอขาว พัดเกล็ดหิมะให้กระจายออกไป “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” จีเฉิงเสวี่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นกว่าเก่า จีเฉิงเสวี่ยไม่เคยเข้าใจเลยว่าเหตุใดเซียวเยวี่ยจึงทำร้ายจีรู่เอ๋อร์มารดาของตนเอง แม้อีกฝ่ายจะจดจ่ออยู่กับการฝึกวิชากระบี่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น แต่เขาก็ดูไม่ได้คลั่งไคล้ในวิชาจนจะกระทำการเช่นนั้นได้แม้แต่น้อย… เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่เซียวเยวี่ยแทงหัวใจมารดาตนเองจนแตกด้วยกระบี่ จัดว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากเสียยิ่งกว่าการตีตนออกห่างและไปเข้าพวกกับสำนักกระบี่มหาสูญด้วยซ้ำไป ก่อนหน้านี้จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกโกรธแค้นเป็นอันมาก เนื่องจากจีรู่เอ๋อร์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ทั้งยังเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เขามีในวังหลวง นางเป็นคนที่ชายหนุ่มพึ่งพามาตลอด เปรียบเสมือนที่พักใจเพียงหนึ่งเดียวในเวลาที่เขาต้องพบเจอกับความโหดร้ายของชีวิต ตอนที่จีรู่เอ๋อร์จะแต่งงานนั้น ตัวเขาทำกระทั่งชี้ดาบไปที่หน้าอกของเซียวเหมิง เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายกล่าวคำสาบาน แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเด็ก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพี่สาวของเขาสำคัญกับเขามากเพียงใด หลังจากที่มารดาของพวกเขาเสียชีวิตลง จีรู่เอ๋อร์ก็กลายมาเป็นคนในครอบครัวที่เขาให้ความสำคัญและรักมากที่สุด สามปีก่อน ตอนที่จีเฉิงเสวี่ยพบว่าจีรู่เอ๋อร์กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหลังจากถูกเซียวเยวี่ยทำร้าย ตัวเขาติดตามไล่ล่าเซียวเยวี่ยด้วยกระบี่ข้ามคืน หมายมุ่งที่จะสังหารอีกฝ่ายให้จงได้ แม้เขาจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเขารักพี่สาวมากเพียงใดด้วยเช่นกัน ในการออกปฏิบัติภารกิจทางทหารครั้งล่าสุดนั้น เซียวเยวี่ยเป็นคนมาหาจีเฉิงเสวี่ยเอง ในช่วงเวลาอันตราย อีกฝ่ายได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จีเฉิงเสวี่ยงุนงงเป็นที่สุด จนต้องการคำอธิบายจากเซียวเยวี่ย “ท่านน้าของข้า ท่านอาจจะไม่เชื่อคำอธิบายข้า แต่หากข้าบอกท่านว่าทุกอย่างที่ท่านแม่ทำก็เพื่อท่านและความอยู่รอดของตระกูลเซียวเล่า” เซียวเยวี่ยถอนหายใจออกมา เขาหลุบตามองต่ำเล็กน้อย เผยให้เห็นความเศร้าสร้อยที่อยู่ภายใน “พลังปราณของท่านพ่อนั้นยากหาผู้ใดเทียบเทียม ขั้นนักพรตยุทธการในนครหลวงนั้นจัดว่าสูงส่งมาก หากท่านพ่อต้องการจะสังหารข้า ข้าคงไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย… ทว่าข้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” เซียวเยวี่ยถาม ตอนที่เขาสู้กับเซียวเหมิงในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง เซียวเหมิงมีโอกาสโจมตีให้เขาถึงตายมากมายแต่ก็ไม่ทำ เซียวเยวี่ยเข้าใจว่าบิดาผู้แสนทรงพลังและฉลาดล้ำลึกของเขาคงค้นพบบางสิ่งเข้า ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยหรี่ลง พร้อมทำท่าให้เซียวเยวี่ยพูดต่อ นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ความสงสัยทั้งหมดของเขาจะถูกคลี่คลายลงก็ได้ แต่เซียวเยวี่ยเองก็ไม่ได้อธิบายละเอียดไปกว่านั้น เขาหันหน้ามาหาจีเฉิงเสวี่ยแล้วพูดต่อ “ท่านแม่หวังว่าท่านพ่อจะสนับสนุนท่าน หลังจากที่ท่านจักรพรรดิสวรรคต นางหวังว่าท่านจะได้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป” “น่าเสียดายที่ท่านพ่อปฏิเสธ ท่านพ่อจะไม่สนับสนุนองค์ชายองค์ใด ท่านต้องการรับใช้จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนซื่อตรงเกินไป… จนอาจทำให้ตระกูลเซียวถึงคราอวสานได้” จีเฉิงเสวี่ยหรี่ตาลง เขามองเซียวเยวี่ยด้วยสายตามีความหมาย และค้นพบว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม “แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับการแทงหัวใจมารดาตนเองด้วยเล่า เจ้าพูดมาเสียยืดยาว ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่” สายตาของจีเฉิงเสวี่ยคมกริบเหมือนกระบี่ เขาซักให้เซียวเยวี่ยคายความลับออกมาให้หมด ชายหนุ่มหันหน้ามาพูดต่อ “นางต้องการให้ท่านประสบความสำเร็จและปกป้องตระกูลเซียวไปในเวลาเดียวกัน… ท่านคงเข้าใจการทำผลงานข้ามหน้าข้ามตาผู้มีอำนาจใช่หรือไม่ หากนี่ยังเป็นรัชสมัยของจักรพรรดิจีฉางเฟิ่งผู้ปกครองอาณาจักรด้วยความยิ่งใหญ่น่ายำเกรง ตระกูลเซียวย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย จักรพรรดิองค์ใหม่ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลเซียวคงอยู่ต่อไปแน่ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายรัชทายาทหรืออวี่อ๋อง ตระกูลเซียวจะถูกมองเป็นหอกข้างแคร่ทันทีที่คนใดคนหนึ่งขึ้นครองราชย์ ท่านเป็นคนเดียวที่จะไม่ทำลายตระกูลเซียวเพราะท่านแม่” “สมแล้วที่เป็นพี่สาวข้า นางฉลาดหลักแหลมเสียยิ่งกว่าใคร นางอ่านสถานการณ์ออกทะลุปรุโปร่ง แปลว่านางบังคับให้เจ้าแทงหัวใจนางเพื่อให้เจ้าเข้าใจวิถีแห่งกระบี่ จากนั้นก็บังคับให้เจ้าตั้งตนเป็นกบฏต่ออาณาจักร และเข้าร่วมกับสำนักกระบี่มหาสูญเช่นนั้นรึ นางทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน” จีเฉิงเสวี่ยถาม “นางต้องการให้ข้าเป็นตัวแทนตระกูลเซียวที่สนับสนุนท่าน” เซียวเยวี่ยพูดอย่างสงบราบเรียบ จิตใจของเขาเปรียบเสมือนน้ำในบ่อที่ไม่มีแรงกระเพื่อมแม้แต่น้อย “น่าขันสิ้นดี… สตรีอย่างนางจะไปเข้าใจอะไร! นางคิดว่าจะต้องสละตนเองเพื่อการนี้หรือ กล้าดีอย่างไรมาตัดสินใจโดยพลกาลโดยไม่แม้แต่จะมาปรึกษาข้าก่อน! นางไม่คิดบ้างหรือว่าสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้ข้ารู้สึกแย่เพียงใด แล้วเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไปสมรู้ร่วมคิดเรื่องบ้านี่กับนางกัน” นี่เป็นครั้งแรกที่จีเฉิงเสวี่ยควบคุมความสุขุมของตนเองเอาไว้ไม่ได้จนกลายเป็นบ้าไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำขณะดุว่าเซียวเยวี่ยพร้อมชี้นิ้วใส่ทีละประโยค หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็เหนื่อยไปเองในที่สุด “ตอนนี้ท่านพ่อก็จากไปเพราะโรคที่รุมเร้าแล้ว เจ้ามาที่นี่เพื่อสนับสนุนให้ข้าเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป แต่ข้าเทียบชั้นพี่ชายทั้งสองไม่ได้หรอกนะ แล้วเจ้าก็เป็นตัวแทนตระกูลเซียวไม่ได้เช่นกัน… ข้าจะไปแข่งขันกับพวกเขาได้อย่างไรเล่า สิ่งที่นางทำ มีผลสรุปเดียวคือทำให้นางทนทุกข์ทรมานก็เท่านั้น” จีเฉิงเสวี่ยถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้จีเฉิงเสวี่ยคิดมาตลอดว่าความไม่รู้จักพอของเซียวเยวี่ยทำให้จีรู่เอ๋อร์ต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้ เขาไม่ได้คิดเลยว่าทุกอย่างเป็นแผนการที่นางวางเอาไว้ เพื่อให้ตัวเขาก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป เมื่อชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงความทรงจำในวัยเด็กและภาพดวงตาอันแสนอ่อนโยนของพี่สาวทุกครั้งที่เขาต้องเจอมรสุมชีวิต ความต้องการที่จะชิงบัลลังก์กับพี่ชายทั้งสองของจีเฉิงเสวี่ยก็เพิ่มมากขึ้น เขาไม่ได้ทำเพื่อเหตุผลอื่น นอกจากเพื่อตอบแทนความหวังดีของพี่สาวตนเพียงเท่านั้น … ค่ำคืนแห่งฤดูหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว หิมะหยุดตกในที่สุด ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายเจิดจรัส จันทร์เสี้ยวทั้งสองดวงฉายแสงล้อกันอยู่บนฟากฟ้า ส่งประกายเย็นสีเงินยวงไปทั่วทุกสารทิศ ได้เวลาปิดร้านแล้ว ปู้ฟางจึงเริ่มเอาไม้กระดานมาปิดทางเข้า เจ้าดำที่นอนอยู่หน้าร้านหาวออกมาหวอดใหญ่ มันพึมพำกับตนเองสักพักก่อนจะหลับต่อไป ปู้ฟางเหลือบตามองเจ้าดำแล้วก็ต้องยิ้มออกมา เจ้าสุนัขนี่ยังขี้เกียจอยู่วันยังค่ำ ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากปากทางเข้า ร่างร่างหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืดมิด ปู้ฟางมองร่างที่คุ้นตานั้นด้วยความงุนงง สงสัยว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงมาที่ร้านในเวลานี้กัน “เถ้าแก่ปู้ ปิดร้านแล้วหรือ” เซียวเยวี่ยถามเสียงห้าว ยิ้มบางให้ชายหนุ่มเจ้าของร้าน ปู้ฟางมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งเรียบ ก่อนเอ่ยตอบ “วันนี้หมดเวลาเปิดร้านแล้ว ข้าก็ต้องปิดสิ” เซียวเยวี่ยพยักหน้า จากนั้นกล่องไม้จันทน์ก็ปรากฏขึ้นในมือเขาพร้อมแสงสว่างวาบ ภายนอกกล่องตกแต่งอย่างสวยงามวิจิตร ทั้งยังมีกลิ่นหอมของสมุนไพรลอยออกมาจากภายใน ชายหนุ่มมองปู้ฟางด้วยสีหน้าจริงจังพอๆ กับน้ำเสียง “เถ้าแก่ปู้ ข้า… มีเรื่องจะขอร้อง อาหารโอสถทิพย์น้ำแกงไก่สมุนไพรปักษาเพลิงของท่านมีฤทธิ์ยอดเยี่ยมเป็นอันมาก ท่านสามารถทำอาหารโอสถทิพย์ชนิดอื่นได้อีกหรือไม่” “ทำได้ตราบใดที่เจ้าหาวัตถุดิบมาให้” ปู้ฟางตอบด้วยความมั่นใจ สายตาจ้องไปที่เซียวเยวี่ยด้วยความสงสัยใคร่รู้ หรือว่าหมอนี่มาเพื่อขอให้เขาทำอาหารโอสถทิพย์ให้กันนะ “นี่คือสมุนไพรพลังปราณระดับหกกล้วยไม้หัวใจพลอยม่วง กับอสูรเวทสมุทรหอยเป๋าฮื้อปราณนภา ข้าอยากให้เถ้าแก่ปู้ทำอาหารโอสถทิพย์ให้… แน่นอนว่าข้ายินดีจ่ายค่าจ้างอยู่แล้ว” เซียวเยวี่ยพูดอย่างจริงใจขณะมองปู้ฟางด้วยสายตามีความหวัง ปู้ฟางเลิกคิ้วขึ้น เขามองหอยเป๋าฮื้อตัวใหญ่เท่าสองฝ่ามือแล้วก็ต้องสูดลมเข้าปอดด้วยความตกใจ ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าเซียวเยวี่ยจะสามารถนำวัตถุดิบหายากถึงเพียงนี้มาได้ ปู้ฟางรู้สึกได้ถึงความจริงใจในสายตาของอีกฝ่าย แม้เขาจะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าวางแผนจะเอาอาหารโอสถทิพย์ไปทำอะไร แต่ก็รู้ได้ว่าวัตถุดิบนี้มีไว้เพื่อช่วยชีวิตคน ปู้ฟางไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้าแล้วรับวัตถุดิบเหล่านั้นมา หลังจากเก็บเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บเรียบร้อย เขาก็พูดต่อ “ในเมื่อเจ้าเอาวัตถุดิบมาพอสำหรับจานเดียว ข้าก็รับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จ หากข้าทำพลาด… ข้าจะไม่เก็บเงินค่าจ้างก็แล้วกัน” เซียวเยวี่ยอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ายอมรับ เขาเข้าใจดีว่าการทำอาหารโอสถทิพย์นั้นยากยิ่ง จึงไม่ได้ซักไซ้ให้ปู้ฟางรับประกันผลลัพธ์ แต่วัตถุดิบนี้หายากเลือดตาแทบกระเด็น จนเขานำมาได้เพียงพอสำหรับจานเดียวเท่านั้น “ถ้าเช่นนั้นข้าขอขอบคุณเถ้าแก่ปู้ล่วงหน้า หากท่านทำสำเร็จ จะให้ข้ามารับไปเมื่อไหร่รึ” ชายหนุ่มถาม หลังจากที่ปู้ฟางเก็บวัตถุดิบไปแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงเอาไม้กระดานปิดทางเข้าเท่านั้น เสียงตอบลอดออกมาจากหลังแผ่นไม้ “หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน อีกสามวันก็กลับมารับแล้วกัน” เซียวเยวี่ยพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป งานพระศพของจักรพรรดิจะเกิดขึ้นในอีกสามวัน… …………………..
ดวงตาดำขลับบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเยวี่ยขณะมองไปที่จีเฉิงเสวี่ยดูเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่พร่างพราวด้วยดวงดาวระยิบระยับ
จีเฉิงเสวี่ยชะงักทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้า คิ้วแหลมของเขามุ่นเข้าหากันจนแทบกลายเป็นเส้นเดียว จากนั้นองค์ชายสามก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเป็นไอขาว พัดเกล็ดหิมะให้กระจายออกไป
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” จีเฉิงเสวี่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นกว่าเก่า
จีเฉิงเสวี่ยไม่เคยเข้าใจเลยว่าเหตุใดเซียวเยวี่ยจึงทำร้ายจีรู่เอ๋อร์มารดาของตนเอง แม้อีกฝ่ายจะจดจ่ออยู่กับการฝึกวิชากระบี่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น แต่เขาก็ดูไม่ได้คลั่งไคล้ในวิชาจนจะกระทำการเช่นนั้นได้แม้แต่น้อย…
เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่เซียวเยวี่ยแทงหัวใจมารดาตนเองจนแตกด้วยกระบี่ จัดว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากเสียยิ่งกว่าการตีตนออกห่างและไปเข้าพวกกับสำนักกระบี่มหาสูญด้วยซ้ำไป
ก่อนหน้านี้จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกโกรธแค้นเป็นอันมาก เนื่องจากจีรู่เอ๋อร์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ทั้งยังเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เขามีในวังหลวง นางเป็นคนที่ชายหนุ่มพึ่งพามาตลอด เปรียบเสมือนที่พักใจเพียงหนึ่งเดียวในเวลาที่เขาต้องพบเจอกับความโหดร้ายของชีวิต
ตอนที่จีรู่เอ๋อร์จะแต่งงานนั้น ตัวเขาทำกระทั่งชี้ดาบไปที่หน้าอกของเซียวเหมิง เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายกล่าวคำสาบาน แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเด็ก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพี่สาวของเขาสำคัญกับเขามากเพียงใด
หลังจากที่มารดาของพวกเขาเสียชีวิตลง จีรู่เอ๋อร์ก็กลายมาเป็นคนในครอบครัวที่เขาให้ความสำคัญและรักมากที่สุด
สามปีก่อน ตอนที่จีเฉิงเสวี่ยพบว่าจีรู่เอ๋อร์กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหลังจากถูกเซียวเยวี่ยทำร้าย ตัวเขาติดตามไล่ล่าเซียวเยวี่ยด้วยกระบี่ข้ามคืน หมายมุ่งที่จะสังหารอีกฝ่ายให้จงได้ แม้เขาจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเขารักพี่สาวมากเพียงใดด้วยเช่นกัน
ในการออกปฏิบัติภารกิจทางทหารครั้งล่าสุดนั้น เซียวเยวี่ยเป็นคนมาหาจีเฉิงเสวี่ยเอง ในช่วงเวลาอันตราย อีกฝ่ายได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จีเฉิงเสวี่ยงุนงงเป็นที่สุด จนต้องการคำอธิบายจากเซียวเยวี่ย
“ท่านน้าของข้า ท่านอาจจะไม่เชื่อคำอธิบายข้า แต่หากข้าบอกท่านว่าทุกอย่างที่ท่านแม่ทำก็เพื่อท่านและความอยู่รอดของตระกูลเซียวเล่า” เซียวเยวี่ยถอนหายใจออกมา เขาหลุบตามองต่ำเล็กน้อย เผยให้เห็นความเศร้าสร้อยที่อยู่ภายใน
“พลังปราณของท่านพ่อนั้นยากหาผู้ใดเทียบเทียม ขั้นนักพรตยุทธการในนครหลวงนั้นจัดว่าสูงส่งมาก หากท่านพ่อต้องการจะสังหารข้า ข้าคงไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย… ทว่าข้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” เซียวเยวี่ยถาม ตอนที่เขาสู้กับเซียวเหมิงในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง เซียวเหมิงมีโอกาสโจมตีให้เขาถึงตายมากมายแต่ก็ไม่ทำ
เซียวเยวี่ยเข้าใจว่าบิดาผู้แสนทรงพลังและฉลาดล้ำลึกของเขาคงค้นพบบางสิ่งเข้า
ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยหรี่ลง พร้อมทำท่าให้เซียวเยวี่ยพูดต่อ นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ความสงสัยทั้งหมดของเขาจะถูกคลี่คลายลงก็ได้
แต่เซียวเยวี่ยเองก็ไม่ได้อธิบายละเอียดไปกว่านั้น เขาหันหน้ามาหาจีเฉิงเสวี่ยแล้วพูดต่อ “ท่านแม่หวังว่าท่านพ่อจะสนับสนุนท่าน หลังจากที่ท่านจักรพรรดิสวรรคต นางหวังว่าท่านจะได้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป”
“น่าเสียดายที่ท่านพ่อปฏิเสธ ท่านพ่อจะไม่สนับสนุนองค์ชายองค์ใด ท่านต้องการรับใช้จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนซื่อตรงเกินไป… จนอาจทำให้ตระกูลเซียวถึงคราอวสานได้”
จีเฉิงเสวี่ยหรี่ตาลง เขามองเซียวเยวี่ยด้วยสายตามีความหมาย และค้นพบว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม
“แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับการแทงหัวใจมารดาตนเองด้วยเล่า เจ้าพูดมาเสียยืดยาว ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่” สายตาของจีเฉิงเสวี่ยคมกริบเหมือนกระบี่ เขาซักให้เซียวเยวี่ยคายความลับออกมาให้หมด
ชายหนุ่มหันหน้ามาพูดต่อ “นางต้องการให้ท่านประสบความสำเร็จและปกป้องตระกูลเซียวไปในเวลาเดียวกัน… ท่านคงเข้าใจการทำผลงานข้ามหน้าข้ามตาผู้มีอำนาจใช่หรือไม่ หากนี่ยังเป็นรัชสมัยของจักรพรรดิจีฉางเฟิ่งผู้ปกครองอาณาจักรด้วยความยิ่งใหญ่น่ายำเกรง ตระกูลเซียวย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย จักรพรรดิองค์ใหม่ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลเซียวคงอยู่ต่อไปแน่ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายรัชทายาทหรืออวี่อ๋อง ตระกูลเซียวจะถูกมองเป็นหอกข้างแคร่ทันทีที่คนใดคนหนึ่งขึ้นครองราชย์ ท่านเป็นคนเดียวที่จะไม่ทำลายตระกูลเซียวเพราะท่านแม่”
“สมแล้วที่เป็นพี่สาวข้า นางฉลาดหลักแหลมเสียยิ่งกว่าใคร นางอ่านสถานการณ์ออกทะลุปรุโปร่ง แปลว่านางบังคับให้เจ้าแทงหัวใจนางเพื่อให้เจ้าเข้าใจวิถีแห่งกระบี่ จากนั้นก็บังคับให้เจ้าตั้งตนเป็นกบฏต่ออาณาจักร และเข้าร่วมกับสำนักกระบี่มหาสูญเช่นนั้นรึ นางทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน” จีเฉิงเสวี่ยถาม
“นางต้องการให้ข้าเป็นตัวแทนตระกูลเซียวที่สนับสนุนท่าน” เซียวเยวี่ยพูดอย่างสงบราบเรียบ จิตใจของเขาเปรียบเสมือนน้ำในบ่อที่ไม่มีแรงกระเพื่อมแม้แต่น้อย
“น่าขันสิ้นดี… สตรีอย่างนางจะไปเข้าใจอะไร! นางคิดว่าจะต้องสละตนเองเพื่อการนี้หรือ กล้าดีอย่างไรมาตัดสินใจโดยพลกาลโดยไม่แม้แต่จะมาปรึกษาข้าก่อน! นางไม่คิดบ้างหรือว่าสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้ข้ารู้สึกแย่เพียงใด แล้วเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไปสมรู้ร่วมคิดเรื่องบ้านี่กับนางกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่จีเฉิงเสวี่ยควบคุมความสุขุมของตนเองเอาไว้ไม่ได้จนกลายเป็นบ้าไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำขณะดุว่าเซียวเยวี่ยพร้อมชี้นิ้วใส่ทีละประโยค หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็เหนื่อยไปเองในที่สุด
“ตอนนี้ท่านพ่อก็จากไปเพราะโรคที่รุมเร้าแล้ว เจ้ามาที่นี่เพื่อสนับสนุนให้ข้าเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป แต่ข้าเทียบชั้นพี่ชายทั้งสองไม่ได้หรอกนะ แล้วเจ้าก็เป็นตัวแทนตระกูลเซียวไม่ได้เช่นกัน… ข้าจะไปแข่งขันกับพวกเขาได้อย่างไรเล่า สิ่งที่นางทำ มีผลสรุปเดียวคือทำให้นางทนทุกข์ทรมานก็เท่านั้น” จีเฉิงเสวี่ยถอนหายใจออกมา
ก่อนหน้านี้จีเฉิงเสวี่ยคิดมาตลอดว่าความไม่รู้จักพอของเซียวเยวี่ยทำให้จีรู่เอ๋อร์ต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้ เขาไม่ได้คิดเลยว่าทุกอย่างเป็นแผนการที่นางวางเอาไว้ เพื่อให้ตัวเขาก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
เมื่อชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงความทรงจำในวัยเด็กและภาพดวงตาอันแสนอ่อนโยนของพี่สาวทุกครั้งที่เขาต้องเจอมรสุมชีวิต ความต้องการที่จะชิงบัลลังก์กับพี่ชายทั้งสองของจีเฉิงเสวี่ยก็เพิ่มมากขึ้น เขาไม่ได้ทำเพื่อเหตุผลอื่น นอกจากเพื่อตอบแทนความหวังดีของพี่สาวตนเพียงเท่านั้น
…
ค่ำคืนแห่งฤดูหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว หิมะหยุดตกในที่สุด ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายเจิดจรัส จันทร์เสี้ยวทั้งสองดวงฉายแสงล้อกันอยู่บนฟากฟ้า ส่งประกายเย็นสีเงินยวงไปทั่วทุกสารทิศ
ได้เวลาปิดร้านแล้ว ปู้ฟางจึงเริ่มเอาไม้กระดานมาปิดทางเข้า เจ้าดำที่นอนอยู่หน้าร้านหาวออกมาหวอดใหญ่ มันพึมพำกับตนเองสักพักก่อนจะหลับต่อไป
ปู้ฟางเหลือบตามองเจ้าดำแล้วก็ต้องยิ้มออกมา เจ้าสุนัขนี่ยังขี้เกียจอยู่วันยังค่ำ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากปากทางเข้า ร่างร่างหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืดมิด
ปู้ฟางมองร่างที่คุ้นตานั้นด้วยความงุนงง สงสัยว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงมาที่ร้านในเวลานี้กัน
“เถ้าแก่ปู้ ปิดร้านแล้วหรือ” เซียวเยวี่ยถามเสียงห้าว ยิ้มบางให้ชายหนุ่มเจ้าของร้าน
ปู้ฟางมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งเรียบ ก่อนเอ่ยตอบ “วันนี้หมดเวลาเปิดร้านแล้ว ข้าก็ต้องปิดสิ”
เซียวเยวี่ยพยักหน้า จากนั้นกล่องไม้จันทน์ก็ปรากฏขึ้นในมือเขาพร้อมแสงสว่างวาบ ภายนอกกล่องตกแต่งอย่างสวยงามวิจิตร ทั้งยังมีกลิ่นหอมของสมุนไพรลอยออกมาจากภายใน
ชายหนุ่มมองปู้ฟางด้วยสีหน้าจริงจังพอๆ กับน้ำเสียง “เถ้าแก่ปู้ ข้า… มีเรื่องจะขอร้อง อาหารโอสถทิพย์น้ำแกงไก่สมุนไพรปักษาเพลิงของท่านมีฤทธิ์ยอดเยี่ยมเป็นอันมาก ท่านสามารถทำอาหารโอสถทิพย์ชนิดอื่นได้อีกหรือไม่”
“ทำได้ตราบใดที่เจ้าหาวัตถุดิบมาให้” ปู้ฟางตอบด้วยความมั่นใจ สายตาจ้องไปที่เซียวเยวี่ยด้วยความสงสัยใคร่รู้ หรือว่าหมอนี่มาเพื่อขอให้เขาทำอาหารโอสถทิพย์ให้กันนะ
“นี่คือสมุนไพรพลังปราณระดับหกกล้วยไม้หัวใจพลอยม่วง กับอสูรเวทสมุทรหอยเป๋าฮื้อปราณนภา ข้าอยากให้เถ้าแก่ปู้ทำอาหารโอสถทิพย์ให้… แน่นอนว่าข้ายินดีจ่ายค่าจ้างอยู่แล้ว” เซียวเยวี่ยพูดอย่างจริงใจขณะมองปู้ฟางด้วยสายตามีความหวัง
ปู้ฟางเลิกคิ้วขึ้น เขามองหอยเป๋าฮื้อตัวใหญ่เท่าสองฝ่ามือแล้วก็ต้องสูดลมเข้าปอดด้วยความตกใจ ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าเซียวเยวี่ยจะสามารถนำวัตถุดิบหายากถึงเพียงนี้มาได้
ปู้ฟางรู้สึกได้ถึงความจริงใจในสายตาของอีกฝ่าย แม้เขาจะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าวางแผนจะเอาอาหารโอสถทิพย์ไปทำอะไร แต่ก็รู้ได้ว่าวัตถุดิบนี้มีไว้เพื่อช่วยชีวิตคน
ปู้ฟางไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้าแล้วรับวัตถุดิบเหล่านั้นมา หลังจากเก็บเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บเรียบร้อย เขาก็พูดต่อ “ในเมื่อเจ้าเอาวัตถุดิบมาพอสำหรับจานเดียว ข้าก็รับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จ หากข้าทำพลาด… ข้าจะไม่เก็บเงินค่าจ้างก็แล้วกัน”
เซียวเยวี่ยอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ายอมรับ เขาเข้าใจดีว่าการทำอาหารโอสถทิพย์นั้นยากยิ่ง จึงไม่ได้ซักไซ้ให้ปู้ฟางรับประกันผลลัพธ์ แต่วัตถุดิบนี้หายากเลือดตาแทบกระเด็น จนเขานำมาได้เพียงพอสำหรับจานเดียวเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอขอบคุณเถ้าแก่ปู้ล่วงหน้า หากท่านทำสำเร็จ จะให้ข้ามารับไปเมื่อไหร่รึ” ชายหนุ่มถาม
หลังจากที่ปู้ฟางเก็บวัตถุดิบไปแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงเอาไม้กระดานปิดทางเข้าเท่านั้น เสียงตอบลอดออกมาจากหลังแผ่นไม้ “หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน อีกสามวันก็กลับมารับแล้วกัน”
เซียวเยวี่ยพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป
งานพระศพของจักรพรรดิจะเกิดขึ้นในอีกสามวัน…
…………………..