เซียวเสี่ยวหลงยืนอยู่หน้าทางเข้าตรอกด้วยความกังวลเป็นล้นพ้น เขาแทรกตัวผ่านฝูงชนไปไม่ได้เนื่องจากพื้นที่ในตรอกแคบๆ แน่นขนัดเกินไป ทั้งยังมีคนมามุงดูจำนวนมากอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นในโลกนี้หรือในโลกไหน ย่อมมีผู้อยากรู้อยากเห็นมายืนมุงดูสถานการณ์เสมอ ถือเป็นพฤติกรรมปกติสามัญของมนุษยชาติ ในบรรดาคนที่มามุงดูนั้นหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เพียงแค่มายืนกระจุกกันเฉยๆ เพราะความสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน
ขณะที่เซียวเสี่ยวหลงกำลังคิดหาวิธีแทรกตัวผ่านฝูงชนไปนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีคนมาแตะที่ไหล่ตน จึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ
ชายหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยกำลังจ้องมองเขาอยู่ ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวประณีตหรูหรา และหมวกที่ถักทอจากด้ายทองคำ เขาสวมเข็มขัดหน้าตาประหลาดปักลายอสูรเริงระบำทั้งยังห้อยจี้หยกไว้ที่เอว ชายผู้นี้ดูเป็นบุรุษผู้กล้าหาญโอบอ้อมอารีและสูงศักดิ์เป็นที่สุด
ทันทีที่เซียวเสี่ยวหลงเห็นชายผู้นี้ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ทั้งดวงตาและริมฝีปากเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“อะ… อะ…” เซียวเสี่ยวหลงพูดติดอ่างอยู่สักพักแต่ก็ยังเอ่ยคำที่หมายมั่นออกไปไม่ได้
ชายหนุ่มผู้นั้นยกมือขึ้นห้ามเซียวเสี่ยวหลงไม่ให้พูดต่อ เขาพยักหน้าเบาๆ รับคำ “เรียกข้าแค่นายน้อยสามก็ได้ เจ้ากำลังดูอะไรอยู่หรือ เหตุใดคนจึงเนืองแน่นเช่นนี้”
“นายน้อยสามขอรับ ไอ้ซุนฉีเซี่ยงมันกำลังข่มเหงชาวบ้านอีกแล้วขอรับ” เซียวเสี่ยวหลงถอนหายใจอย่างโล่งอก และกลับมารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอีกครั้ง ชายหนุ่มตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่คนธรรมดา
“ซุนฉีเซี่ยงรึ เจ้าลูกชายอันธพาลของเสนาบดีกรมคลัง ซุนชิงน่ะหรือ” นายน้อยสามคิดอยู่สักพักก่อนเอ่ยตอบ
เซียวเสี่ยวหลงพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยถามด้วยความปีติ “แล้วนายน้อยสามกลับมาที่นครหลวงเมื่อใดกันขอรับ ข้าไม่เห็นรู้เลย… แล้วพี่สาวของข้าเล่ารู้หรือไม่”
นายน้อยสามหัวเราะเล็กน้อย “ข้าถูกเรียกกลับมากะทันหัน คราวนี้เลยไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากนัก แม้แต่เยียนอวี่เองก็ไม่รู้ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
เซียวเสี่ยวหลงขยับตัวไปมาอย่างกระอักกระอ่วน พร้อมด้วยรอยยิ้มเขินอายและแก้มแดงเรื่อ
นายน้อยสามหันกลับไปมองฝูงชนอีกครั้ง แล้วก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมเอื้อนเอ่ย “เสี่ยวหลงตามข้ามา เราเข้าไปใกล้กันอีกเถิด”
จากนั้นชายหนุ่มก็แทรกตัวผ่านฝูงชนเข้าไป แต่หากจะพูดให้ถูกแล้วละก็ เขาเพียงแต่เดินเข้าหาฝูงชนเท่านั้น ทุกก้าวที่ชายหนุ่มเยื้องย่าง จะมีพลังที่มองไม่เห็นแหวกฝูงชนให้หลีกทางออกเพื่อตัวเขาและเซียวเสี่ยวหลง
“ระดับห้าขั้นราชันยุทธการนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แม้แต่กำแพงมนุษย์ก็หยุดท่านไม่ได้!” เซียวเสี่ยวหลงพึมพำด้วยความอิจฉา ขณะมองตามนายน้อยสามผู้สง่างามแล้วรีบเดินตามอีกฝ่ายไป
ทั้งสองมายืนอยู่เบื้องหน้าฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทันได้เห็นฉากที่ซุนฉีเซี่ยงสั่งให้ลูกน้องทุบทำลายร้านอาหารพอดิบพอดี
……
แสงแดดอบอุ่นอาบไล้ร่างกายของปู้ฟาง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขี้เกียจเล็กน้อย แม้จะมีชายฉกรรจ์เป็นร้อยคนอัดแน่นอยู่ในตรอก และกำลังขู่ทำลายร้านอาหารของเขาอยู่ แต่เถ้าแก่ประจำร้านกลับมีพฤติกรรมนิ่งจนน่าแปลก
ปู้ฟางใจเย็นสงบนิ่งอย่างแท้จริง และไม่ได้เป็นกังวลแม้แต่น้อยกับภาพตรงหน้า
สีหน้านิ่งเฉยของปู้ฟางทำให้ซุนฉีเซี่ยงบันดาลโทสะมากขึ้นอีก ชายฉกรรจ์หลายสิบคนพุ่งเข้าหาปู้ฟางด้วยท่าทางดุร้ายตามคำสั่งของเจ้านายตน
เมื่อเซียวเสี่ยวหลงเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกกระวนกระวายและอยากเข้าไปช่วยทันที
แต่เขาก็ต้องงุนงงเมื่อชายหนุ่มข้างกายดึงตัวเขาไว้
“นายน้อย หยุดข้าไว้ทำไมขอรับ”
“ดูเหมือนเจ้าของร้านจะมั่นใจและไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย ข้าอยากรู้ว่าเขาจะมีไพ่ตายอันใดซ่อนไว้” นายน้อยสามพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ปู้ฟางเดินกลับเข้าไปนั่งในร้าน ขณะที่ชายฉกรรจ์หลายสิบคนกำลังกระโจนเข้าทำร้ายเขา คนหนึ่งเข้ามาในร้านได้สำเร็จ และกำลังโบกไม้หน้าสามหมายจะตีหัวปู้ฟาง
บ่าวไพร่เหล่านี้เคยทำเรื่องชั่วช้ามากมายภายใต้การนำของซุนฉีเซี่ยง จึงไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดเนื่องจากเคยชินกับการทำความชั่วเสียแล้ว
“ปัง!”
ไม้หน้าสามที่กำลังฟาดแหวกอากาศถูกปัดลอยคว้างไป ก่อนตกลงบนพื้นเสียงดังปัง
ข้ารับใช้ที่กำลังประทุษร้ายชายหนุ่มเจ้าของร้านชะงักทันที เมื่อเห็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัดกลัวระคนประหลาดใจ
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบปริบ ร่างอวบอ้วนของมันเข้ามาขวางระหว่างกลุ่มอันธพาลและปู้ฟางเอาไว้ ทั้งกายเรืองแสงโลหะระยิบระยับ
เจ้าขาวเป็นหุ่นยนต์ที่ระบบสร้างขึ้นเพื่อดูแลความปลอดภัยของร้านและคอยกำจัดของเสีย โดยปกติแล้วถ้าไม่มีลูกค้าก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัย แต่ในเมื่อมีชายฉกรรจ์กว่าร้อยคนมาก่อเรื่องในร้าน เจ้าขาวก็ต้องก้าวออกมาปกป้องร้านของมัน
“ห้ามต่อสู้กันในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ใครก็ตามที่ทำผิดกฎจะต้องโดนจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี”
เสียงจักรกลดังออกจากปากเจ้าขาว มันฟังดูน่าขันเล็กน้อยขณะที่ดังกังวานก้องไปทั่วตรอกแคบ
กลุ่มบ่าวไพร่เงียบงันทันที “ไอ้เศษเหล็กนี่มันออกมาจากไหนกัน กล้ามาขวางทางคนเป็นร้อยเชียวรึ”
แม้พลังปราณเฉลี่ยของทั้งกลุ่มจะจัดว่าอ่อนแอ โดยคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงระดับหนึ่งขั้นนักรบเท่านั้น แต่จำนวนคนก็ยังมีมากอยู่ดี
แม้พลังการต่อสู้ของผู้ฝึกตนระดับหนึ่งและระดับสองจะต่างกันพอสมควร แต่จำนวนที่มากกว่าก็ย่อมทำให้ผู้ฝึกตนระดับสองขั้นเจ้ายุทธการเสียท่าได้ไม่ยาก
เนื่องจากหุ่นยนต์ตรงหน้าไม่ได้ส่งไอของพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากร่างแม้แต่น้อย พวกเขาจึงไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด
“ก็แค่เศษเหล็ก ฉีกมันให้เป็นชิ้น!”
เมื่อซุนฉีเซี่ยงเห็นเจ้าขาว ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยโทสะ “บังอาจพูดคำว่าแก้ผ้ารึ!”
เหล่าบ่าวไพร่เดินอาดๆ เข้าหาร้านอีกครั้งหลังได้รับคำสั่งจากซุนฉีเซี่ยง
แต่ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็ทำให้พวกเขาถึงกับชะงัก ลูกกะจ๊อกที่เข้าไปโจมตีคนแรกถูกโยนออกจากร้านในสภาพเกือบเปลือย เหลือเพียงผ้าเตี่ยวหนึ่งผืนกันอุจาดเท่านั้น
จากนั้นก็ตามมาด้วยคนที่สอง และสาม…
เหล่าบ่าวไพร่ที่เดินอาดๆ เข้าร้านไปด้วยเสื้อผ้าเต็มยศ ถูกโยนออกจากร้านทีละคนในสภาพถูกแก้ผ้าใกล้ล่อนจ้อน ต่างหกคะมำหน้าทิ่มอยู่ในตรอก
“อุจาดตาเหลือเกิน” หนึ่งในผู้มุงดูที่เป็นสตรีอายหน้าแดง พร้อมเอามือสองข้างปิดใบหน้าของตนไว้กันภาพบัดสี กระนั้นนิ้วมือของนางก็ยังเปิดช่องพอให้ดวงตามองลอดออกมาได้… ใบหน้าแดงก่ำเหมือนลูกมะเขือเทศ
ซุนฉีเซี่ยงมองบ่าวไพร่ในสภาพเปล่าเปลือยลอยออกจากร้านที่ละคนสองคน เขาโกรธมากเสียจนหน้าเกือบม่วง
“ไอ้พวกปัญญาอ่อน! โง่จนคิดไม่ออกหรืออย่างไรว่าให้เข้าไปโจมตีพร้อมกันทีเดียว! จะเข้าไปทีละคนทำซากอะไร!”
เสียงโกรธเกรี้ยวของเขาทำให้บ่าวไพร่รู้สึกตัวตื่นทันที ต่างพากันมองหน้าเลิ่กลั่กไปมา แล้วกระโจนเข้าใส่เจ้าขาวพร้อมโบกไม้หน้าสามในมือไหวๆ ลูกน้องห้าคนกระโดดเข้าร้านแคบๆ พร้อมกันในคราวเดียว แต่ผลที่ออกมาก็ยังคงเดิม
ไม่ว่าจะเข้าไปมากเท่าไร คนที่ถูกโยนออกมาก็มีจำนวนเท่าเดิมเสมอ เสื้อผ้าของลูกกะจ๊อกทุกคนถูกเจ้าขาวเก็บเอาไว้ในท้อง ที่เดียวกับที่มันเอาไว้เก็บขยะ
ชายฉกรรจ์หนึ่งร้อยคนนอนโอดโอยอยู่บนพื้นภายในพริบตา
ซุนฉีเซี่ยงยืนขาสั่น ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเกิดเหตุอาเพศอะไรขึ้นกันแน่…
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับสามขั้นคลั่งยุทธการยังเผ่นหนีหากเจอเข้ากับคู่ต่อสู้ที่เป็นชายหนุ่มนับร้อย ชายหนุ่มไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าร้านอาหารเล็กๆ ในตรอกห่างไกลแห่งนี้ จะมีหุ่นเชิดเหล็กที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ปู้ฟางนั่งอย่างสงบนิ่งอยู่เบื้องหลังเจ้าขาว มองดูภาพที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาเพียงแต่ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางขี้เกียจและหาวออกมาหนึ่งที หลังจากที่บ่าวไพร่ทั้งหมดถูกกำราบเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินออกมายืนหน้าร้านเล็กๆ ของเขา ก้มลงมองซุนฉีเซี่ยงที่กำลังมีสีหน้าบูดบึ้งถึงขีดสุด แล้วพูดสั่งเบาๆ “เจ้าขาว จับไอ้หมอนี่แก้ผ้าด้วย ไอ้นี่มันทำให้วันนี้ข้าหมดอารมณ์ทำอาหาร และคงกลับมาอารมณ์ดีไม่ได้หากไม่ได้สั่งสอนมันเสียหน่อย”
“รับทราบนายท่าน!”
เสียงจักรกลของเจ้าขาวดังตอบรับ สีหน้าของซุนฉีเซี่ยงเปลี่ยนไปทันที เขารีบหันหลังกลับเตรียมวิ่งหนี แต่แขนของเจ้าขาวกลับหลุดออกจากลำตัว พุ่งตรงไปสามสี่จั้งจับเอาเสื้อของซุนฉีเซี่ยงไว้ แล้วลากเข้าร้าน
“พวกที่เข้ามาก่อความไม่สงบในร้านเล็กๆ ของฟางฟางจะต้องโดนจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี” เจ้าขาวพูดด้วยเสียงจักรกล
ซุนฉีเซี่ยงอยากร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเองกำลังโดนป้ายสี “เจ้าลากข้าเข้าร้านมาเองไม่ใช่รึ”
“ป้าบ!”
ร่างเปล่าเปลือยของซุนฉีเซี่ยงถูกโยนออกจากร้านหน้าจิ้มดินอีกครั้ง ชายฉกรรจ์ร่างเปลือยเปล่านับร้อยกองสุมกันเป็นทัศนียภาพ… อันแสนงดงาม
“โอ้… บัดสีเหลือเกิน!” สตรีคนเดิมที่ยังมุงอยู่มองภาพตรงหน้าผ่านซอกนิ้วของนาง แก้มแดงด้วยความเคอะเขิน…
ซุนฉีเซี่ยงอับอายเกินกว่าจะนอนพังพาบอยู่ตรงนั้น เขาอุตส่าห์พาพรรคพวกกว่าร้อยคนมาแก้แค้น แต่ผลกลับ…
กลายเป็นโศกนาฏกรรมไปเสียได้
กลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากที่เดินมาถึงสถานที่เกิดเหตุอย่างองอาจ พากันกลับไปในสภาพที่องอาจเสียยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากได้แสดงความเป็นชายภายใต้ผ้าเตี่ยวให้ทุกคนได้ประจักษ์อย่างชัดแจ้ง เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วนครหลวง ขณะที่พวกเขาเดินกลับผ่านถนนสายหลัก ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนก็พากันมายืนมุงดู แม้แต่ยวดยานที่สัญจรไปมาก็หยุดชะงักชั่วครู่เพื่อสังเกตการณ์
ฝูงชนในตรอกเริ่มบางตาลงจนหายไปในที่สุด มีเพียงคนที่สนใจร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้เท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่
“ในตรอกนี้มีร้านอาหารอยู่ด้วยหรือนี่ ข้าอยู่ที่นครหลวงมาหลายต่อหลายปี ยังไม่รู้เรื่องเลย!” สตรีนางหนึ่งอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ดูเหมือนว่าร้านนี้จะมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง มิเช่นนั้นคงไม่กล้าจับนายน้อยซุนแก้ผ้าแน่!” ชายชราเอ่ย
“เจ้าหุ่นเชิดตัวนั้นน่ารักจัง! เข้าไปดูข้างในกันเถอะ!” สาวน้อยกลุ่มหนึ่งดูเหมือนจะหลงเสน่ห์เจ้าขาวเข้าให้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ลูกค้าหลายต่อหลายคนจึงเดินเข้าร้านไปด้วยความชื่นชม
ปู้ฟางเดินกลับเข้าครัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่เมื่อเข้ามาข้างใน ปากของเขาก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความขบขัน
“หวังว่าจะไม่ตกใจเพราะเห็นราคาไปเสียก่อนนะ”
…………………………………