ในเมื่อต้องร่วมมือกัน พวกนางก็ต้องแสดงความสามารถให้อวี่อ๋องประจักษ์ เพื่อที่เขาจะได้ให้ความสำคัญกับพวกนางมากขึ้น แต่ในนครหลวงนั้นไม่ได้มีโอกาสให้พวกนางแสดงความสามารถมากนัก เมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับร้านใจไม้ไส้ระกำที่ทำให้หุนเชียนอวิ่นพ่ายแพ้หมดรูป นางจึงคิดว่าเป็นโอกาสงามที่จะได้แสดงแสนยานุภาพให้ผู้คนได้ชื่นชม
ด้วยเหตุนี้เหวยเซียงซื่อจึงมาที่ร้านพร้อมลูกน้องขั้นราชันยุทธการสองคน
ในสายตาเหวยเซียงซื่อ หุนเชียนอวิ่นที่ดูจากสารรูปแล้วแทบจะแหย่ขาข้างหนึ่งเข้าไปในหลุมศพนั้นพ่ายแพ้ก็เพราะเขาอ่อนเอง แต่แค่เพราะตาแก่นั่นแพ้ ไม่ได้แปลว่าพวกนางจะแพ้ไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเถ้าแก่ร้านนี้เป็นผู้ชาย
พวกนางต่างคิดว่าไม่มีชายใดทานทนเสน่ห์ของพวกนางได้
สำนักสุขสามัคคีเป็นหนึ่งในสำนักนอกรีตของสิบสำนักใหญ่ สมาชิกสำนักส่วนใหญ่เป็นสตรีที่มีความสามารถในการรับพลังหยางเข้ามาบำรุงพลังหยินของตนเองเพื่อเพิ่มระดับพลังปราณ วิชานี้จัดเป็นอวิชชาในการฝึกปราณ
ทว่าสำนักสุขสามัคคีก็จัดเป็นสำนักที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเช่นกัน พวกเขามีเงินทองมากมาย นอกจากนี้ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายนับไม่ถ้วน เหวยเซียงซื่อและลูกน้องทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันเพื่อใช้ร่างของพวกนางสร้างวงแหวนปราณ พลังปราณไหลออกจากร่าง พร้อมด้วยหมอกสีชมพูที่ไหลเวียนไปมาระหว่างคนทั้งสาม
หมอกสีชมพูหนามีกลิ่นประหลาด ทำให้ใครก็ตามที่ได้สูดเข้าไปหมดสติทันที
ปู้ฟางขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นนั้น ดวงตาเบื้องลึกมีรอยเย็นปรากฏขึ้น ร้านของเขานั้นมีกลิ่นอาหารหลากหลายรายการปะปนกัน เมื่อผสมเข้ากับกลิ่นนี้ บรรยากาศภายในร้านจึงเหม็นหึ่งราวกับอุจจาระหนูในหม้ออาหาร
“เจ้าขาว จับพวกนี้โยนออกไป” ปู้ฟางสั่งเสียงเย็น ชายหนุ่มหมดความอดทนในที่สุด
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบ มันหายตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่ทันทีหลังจากรับคำสั่งของปู้ฟาง
“เจ้าคิดจริงหรือว่าไอ้เศษเหล็กอ้วนนี่จะจัดการพวกเราสามคนได้ รู้สึกไหมเล่าว่าเลือดในกายเจ้ามันเริ่มเดือด รู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่” เหวยเซียงซื่อถามด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงยั่วยวน
นางจับกระแสปราณจากเจ้าขาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จึงคิดว่าเจ้าหุ่นยนต์ไม่น่าจะมีอะไรเป็นพิเศษ และดูแคลนมันอย่างสิ้นเชิง
ทว่าอึดใจต่อมา เหวยเซียงซื่อก็เห็นดวงตาของเจ้าขาวใหญ่ขึ้น ขณะที่ร่างของมันปรากฏขึ้นเบื้องหน้านางในพริบตา
เหวยเซียงซื่อตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็พบว่าตนเองกำลังลอยอยู่ในอากาศเสียแล้ว…
แควก!
ตอนที่หญิงสาวกำลังลอยอยู่ในอากาศนั้นเอง นางก็รู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวที่พุ่งเข้าใส่ร่าง ฉีกชุดบางเบาสีชมพูของนางออกเป็นชิ้นๆ เหลือไว้เพียงผ้าผูกหน้าอกแบบโบราณและกางเกงใน
ปัง!
พลังปราณที่สตรีทั้งสามสร้างขึ้นถูกลมพายุรุนแรงที่เจ้าขาวก่อด้วยการสะบัดแขนทำลายไป เหวยเซียงซื่อและลูกสมุนถูกโยนออกจากร้านทันทีด้วยสภาพกึ่งเปลือย
เสียงของหนักสามชิ้นตกกระทบพื้นหิมะดังปุติดๆ กัน
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงจากในกองหิมะขาว เหวยเซียงซื่อคลานออกจากหิมะในชุดผ้ารัดหน้าอกและกางเกงใน ขาขาวเรียวยาวของนางขาวเหมือนหิมะ ร่างกายโค้งเว้าน่ามองเปิดเผยออกมาเต็มที่
เหวยเซียงซื่อหยิบชุดบางออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บแล้วสวมเข้าไปอีกครั้ง ใบหน้าของนางเย็นเยียบ
นางถูกจับแก้ผ้าโยนออกจากร้าน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีขนาดนี้มาก่อน นางอายเสียจนอยากตายแล้วเกิดใหม่ให้รู้แล้วรู้รอด
เหวยเซียงซื่อกระทืบเท้าบอบบางลงบนพื้น พลังปราณหลั่งไหลออกจากร่าง พัดเกล็ดหิมะรอบกายให้ปลิวกระจาย จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ร้านพร้อมด้วยผมที่ปลิวไสวอยู่เบื้องหลัง
เจ้าขาวยืนมองอยู่ที่ปากทางเข้าร้าน เมื่อเห็นว่าเหวยเซียงซื่อกำลังพุ่งเข้าใส่ตน ดวงตาของมันก็กะพริบแสงวาบก่อนที่จะปล่อยหมัดออกไป
ตูม! เหวยเซียงซื่อกระเด็นไปด้านหลัง กระแทกเข้ากับกำแพงอย่างจังจนร่างฝังเข้าไปในเศษอิฐ…
“พวกที่เข้ามาก่อความไม่สงบ… ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก” เจ้าขาวพูดด้วยเสียงจักรกล จากนั้นดวงตาของมันก็กะพริบแสงสีม่วงวาบหนึ่งครั้ง ทำให้เหวยเซียงซื่อที่กำลังคลานออกซากกำแพงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ…
น… น่ากลัวอะไรเช่นนี้!
ใบหน้าสวยของเหวยเซียงซื่อเปลี่ยนเป็นขาวซีด ดวงตาที่เหมือนนกปักษาเพลิงของนางดูหวาดกลัว หากนางยังมองไม่ออกว่าเจ้าขาวน่ากลัวเพียงใด ก็คงโง่บัดซบสิ้นดี…
ร้านใจไม้ไส้ระกำนี้น่ากลัวจริงเสียด้วย แค่หุ่นเชิดตัวเดียวก็อัดนางเสียจนหมอบกระเจิงสู้ไม่ได้แล้ว
ในตรอกเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจของเหวยเซียงซื่อที่กำลังทนต่อแรงกดดันจากตัวเจ้าขาวเท่านั้นที่ดังให้ได้ยิน ในตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น
ที่ปากทางเข้าตรอก ร่างหนึ่งค่อยๆ เดินมาอย่างสบายอารมณ์
เหวยเซียงซื่อหันหน้าไปมองอย่างยากลำบาก เมื่อนางเห็นคนที่กำลังเดินมานั้น รูม่านตาก็พลันหดแคบ นั่งสูดลมเย็นเข้าปอดลึก
“อวี่อ๋อง!”
อวี่อ๋องสวมชุดคลุมปักลายพร้อมมงกุฎสีม่วงบนศีรษะ เข็มขัดที่เรียงรายด้วยพลอยเลอค่ามากมายรัดอยู่บนเอวเผยให้เห็นร่างกายกำยำ ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เดินเอามือไพล่หลัง คิ้วมุ่นเข้าหากันขณะมองเหวยเซียงซื่อในชุดกระเซอะกระเซิง
“กลับไปเสียเถิด อย่าทำให้ตนเองอับอายไปมากกว่านี้อีกเลย” อวี่อ๋องพูดเสียงแผ่วก่อนเดินผ่านสตรีทั้งสามนางเข้าร้านไป
เจ้าขาวไม่ได้กันชายหนุ่มไว้แต่ปล่อยให้เดินเข้าไปในร้าน เมื่อก้าวออกจากโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะเข้าสู่บรรยากาศอบอุ่นภายในร้าน ความอุ่นสบายก็พุ่งเข้าโอบร่างกายของเขาเอาไว้ทันที
แต่อวี่อ๋องก็หายจากอาการนี้อย่างรวดเร็ว และหันไปเจอจีเฉิงเสวี่ยที่กำลังเอาเนื้อตุ๋นตำรับจีนเข้าปาก
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยเห็นว่าอวี่อ๋องกำลังมองตนเองอยู่จึงหัวเราะหึๆ ออกมา เขายกเนื้อตุ๋นตำรับจีนขึ้นทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะกลืนเข้าไปในคำเดียว จากนั้นก็ดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งตามเข้าไปแล้วจึ๊ปาก
“เถ้าแก่ปู้ ข้าเอาเนื้อตุ๋นตำรับจีนกับสุราหัวใจหยกเยือกแข็งด้วยก็แล้วกัน” อวี่อ๋องพูดกลั้วหัวเราะพร้อมพยักหน้าให้ปู้ฟาง เขาไม่เหมือนนางโง่เหวยเซียงซื่อนั่น อวี่อ๋องรู้ดีว่าร้านนี้น่ากลัวเพียงใด หุ่นเชิดนั่นไม่ใช่ไพ่ตายของร้านอย่างแน่นอน ไพ่ตายที่แท้จริงของร้านคือสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่ด้านหน้าต่างหาก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกไม่ก่อเรื่องภายในร้าน เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อหาเรื่องใครเช่นกัน
ปู้ฟางมองอวี่อ๋องแล้วพยักหน้าก่อนเดินเข้าครัวไป
พอปู้ฟางจากไปแล้ว อวี่อ๋องก็มายืนอยู่ตรงหน้าจีเฉิงเสวี่ยแล้วก้มลงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่เหนือกว่า ดวงตาของเขาดูจงใจกดองค์ชายสามเป็นอย่างมาก
“เจ้ากลับมาทำไม หากอยู่ที่โลกภายนอกเหมือนเดิมทุกอย่างก็คงปกติดีแล้ว… เจ้าตั้งใจกลับมาเพื่อสิ่งใดกัน” อวี่อ๋องถาม
จีเฉิงเสวี่ยวางตะเกียบลง เขายกเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งขึ้นมารินน้ำสุราใสแจ๋วลงไปในจอก กลิ่นหอมของสุราพร้อมเสียงน้ำไหลดังไปทั่วร้าน
“ท่านพ่อสวรรคต ท่านกะจะไม่ให้ข้ามาไว้อาลัยในฐานะบุตรชายเลยรึ” จีเฉิงเสวี่ยพูดเสียงเบา หลังจิบสุราในจอกเสร็จ
“ไว้อาลัยรึ พร้อมกองทัพของเจ้าที่ตั้งค่ายประชิดกำแพงเมืองอยู่น่ะหรือ” อวี่อ๋องตอบกลับพร้อมยิ้มเยาะ เขานั่งลงตรงข้ามองค์ชายสาม ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
จีเฉิงเสวี่ยกลับมาพร้อมกองทัพที่ตนเองนำออกไปทำภารกิจทางทหาร เจตนาของเขาดูน่าสงสัยสมควรแก่การจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปแล้วจีเฉิงเสวี่ยในฐานะแม่ทัพต้องกลับมาตัวคนเดียวเพื่อเข้าร่วมพิธีไว้อาลัย เมื่อทำพิธีเสร็จ เขาก็ควรกลับไปหากองทัพของตน แต่นี่กลับนำทหารมาหมดทุกกองร้อย แปลว่าเจตนาของเขาในคราวนี้ไม่ได้ตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้น
โอวหยางเสี่ยวอี้เบิกตากว้าง รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศภายในร้านประหลาดชอบกล เด็กหญิงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างครัว
อวี่อ๋องและจีเฉิงเสวี่ยผลัดกันถามตอบเหมือนกำลังนั่งเล่นพูดคุยกันตามประสา แต่โอวหยางเสี่ยวอี้กลับรู้สึกว่าทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ไม่นานนักปู้ฟางก็เดินออกมาจากครัวพร้อมด้วยจานเนื้อตุ๋นตำรับจีนกลิ่นหอมหวน อีกมือก็ถือเหยือกสุราเอาไว้
ชายหนุ่มวางอาหารและเหล้าลงตรงหน้าอวี่อ๋อง จากนั้นก็พยักหน้าให้
จีเฉิงเสวี่ยที่เมาเล็กน้อยลุกขึ้นยืนหลังจากกินเสร็จ เขากระดกสุราจอกสุดท้ายจนหมด จากนั้นก็ยื่นผลึกให้ปู้ฟาง แล้วหยิบเสื้อกันหนาวของตัวเองขึ้นมาใส่ ก่อนเตรียมตัวออกจากร้าน
“ในเมื่อเจ้ายืนยันจะเข้าร่วมด้วย ก็คงยินดีที่จะจ่ายผลที่ตามมาในราคาแสนแพงสินะ… ราคานั้นอาจจะเกินกว่าที่เจ้าจะจ่ายไหว”
จีเฉิงเสวี่ยเดินไปถึงทางเข้าพอดีตอนที่อวี่อ๋องเปรยขึ้นมา เขาหยุดพลางผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้ากลับไปหาพี่ชายแล้วถามพร้อมรอยยิ้มหยัน “ราคาอะไร ชีวิตข้าน่ะรึ”
จากนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะลั่นแล้วก้าวออกจากร้าน หายไปท่ามกลางพายุหิมะขาวโพลน
……………………..