หิมะพัดหมุนวนร่วงหล่นจากฟากฟ้า พร้อมด้วยเสียงลมฤดูหนาวกรรโชกหวีดหวิว ณ ส่วนลึกของจวนตระกูลเซียว มีทางเดินขนาดเล็กที่ตัดผ่านระหว่างจวนสองหลังซึ่งมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ที่เงียบสงบ
ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าสวยงาม สว่างไสวและอบอุ่นด้วยแสงเทียนและแสงจากเตาผิง มีกระถางธูปวางอยู่ตรงหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปล่อยควันหอมกระจายไปทั่วห้อง
ร่างบอบบางในชุดคลุมขนสัตว์บนบ่านั่งอยู่ข้างๆ กระถางธูป นิ้วยาวสวยไร้ที่ติของนางกำลังบรรเลงพิณอย่างคล่องแคล่วเหมือนภูติจากต่างมิติ
เสียงพิณหวานไพเราะเสนาะหูราวเสียงหยดน้ำฝนตกกระทบใบบัว ทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังตกอยู่ในภวังค์
ใบหน้าของเซียวเยียนอวี่มีแววความเศร้าสร้อย นิ้วเรียวสวยของนางยังคงดีดพิณ แปรเปลี่ยนความรู้สึกออกมาเป็นบทเพลง ลูกผมปรกดวงตาของนาง บดบังใบหน้าที่สวยงามเหมือนเทพธิดาไปกว่าครึ่ง
เซียวเสี่ยวหลงเดินเข้ามาในห้อง พร้อมปัดเกล็ดหิมะที่ค้างอยู่บนเสื้อผ้าออกไป แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่หญิง ท่านเล่นพิณในห้องท่านแม่อีกแล้ว ไม่กลัวว่าจะรบกวนการนอนของท่านแม่รึ”
เสียงพิณหยุดลง ตามมาด้วยเสียงทอดถอนใจ “หากเสียงพิณของข้ารบกวนการนอนของท่านแม่จริง ข้าคงมาเล่นทุกวันเป็นแน่”
เซียวเยียนอวี่เหลือบมองเซียวเสี่ยวหลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจ้านี่ ท่านพ่อไม่ได้ให้เจ้าฝึกปราณรึ เหตุใดยังมานั่งคุยเล่นสนุกสนานอยู่อีก”
“”ฮี่ๆ วันนี้ท่านพ่อไปหาองค์ชายสาม เลยให้ข้าพักได้ ช่วงนี้ข้าฝึกแต่ปราณจนปวดกระดูกไปหมดแล้ว เออจริงสิ เราไปกินอาหารที่ร้านเถ้าแก่ปู้กันไหม ไม่ได้ไปนานแล้วนะ ข้าอยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว” เซียวเสี่ยวหลงเอ่ย
เซียวเยียนอวี่กลอกตาใส่น้องชาย นี่คงเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่อีกฝ่ายมาหานางสินะ ใครบอกว่าไอ้หมอนี่เป็นนักฝึกปราณมากพรสวรรค์กัน ความจริงแล้วก็เป็นแค่คนตะกละเท่านั้นละ
“เจ้านี่มัน… หือ นั่นใครน่ะ!” ตอนที่เซียวเยียนอวี่กำลังดุเซียวเสี่ยวหลงอยู่นั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
ท่ามกลางพายุหิมะภายนอก ร่างร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่บนสระน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชุดคลุมสีดำของเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรงในสายลมหนาว หมวกไม้ไผ่บดบังใบหน้าเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดเห็น
แต่เมื่อเซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงเห็นร่างนั้น รูม่านตาของทั้งสองก็หดแคบเล็กน้อย…
เซียวเยวี่ยก้าวเข้ามาในห้อง เขาถอดหมวกไม้ไผ่พร้อมพ่นไอขาวออกจากปาก สายตามองเซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงที่กำลังจ้องมาด้วยความตื่นตะลึง จากนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน” เสียงแหบห้าวของเซียวเยวี่ยดังขึ้น
แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นกระแสพลังปราณที่พุ่งเข้ามาใส่ตัว
ใบหน้าของเซียวเยียนอวี่เต็มไปด้วยโทสะขณะจ้องมองเซียวเยวี่ย ส่วนเซียวเสี่ยวหลงก็จ้องชายหนุ่มตรงหน้าอย่างระแวดระวังเช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่าเซียวเยวี่ยบุกมาที่จวนตระกูลเซียวเพราะอะไร
“เจ้ากลับมาทำไม! ยังมีหน้ากลับมาอีกรึ!” เซียวเยียนอวี่ตะโกน
รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวเยวี่ยหายไปทันที เขามองเซียวเยียนอวี่ด้วยสายตาไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วเอาปลายเท้าแตะพื้นเพื่อกระโจนออกไปข้างหน้า ไปปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเซียวเยียนอวี่พร้อมลมแรงที่เกิดขึ้นตามการเคลื่อนไหว
ร่างของหญิงสาวแข็งทื่อไปทันที นางรู้สึกราวกับว่าพลังปราณเที่ยงแท้ในกายถูกพลังกระบี่จำนวนมหาศาลสกัดไว้ จนทำให้ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงจ้องเซียวเยวี่ยด้วยสายตาโกรธแค้นเท่านั้น
เซียวเยวี่ยยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ เขายื่นมือออกไปลูบศีรษะน้องสาว จากนั้นก็ค่อยๆ เดินผ่านนางไปหาสตรีที่นอนอยู่บนเตียง
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” ผิวขาวของเซียวเสี่ยวหลงเปลี่ยนเป็นสีแดง เขารีบพุ่งเข้ามาขวางเซียวเยวี่ยเอาไว้
“หือ เจ้าเด็กนี่ก็โตขึ้นเหมือนกันนะ… กล้ามาขวางทางข้าด้วยรึ” เซียวเยวี่ยยิ้มเผล่
รูม่านตาของเซียวเสี่ยวหลงหดแคบ พลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกจากกาย พลังปราณขั้นสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับสามขั้นคลั่งยุทธการพวยพุ่งออกมา เขายกมือขึ้นตั้งท่าพร้อมต่อสู้…
เซียวเยวี่ยเอียงคอมองน้องชายที่กำลังกระโจนเข้าใส่ด้วยสีหน้าขบขัน จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นจิ้มไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย
ร่างของเซียวเสี่ยวหลงที่กำลังกระโจนเข้ามาหยุดชะงักทันที ดวงตาเบิกกว้างขณะเซถลาไปด้านหลังแล้วล้มลงกับพื้น
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้มาร้าย” เสียงแหบห้าวของเซียวเยวี่ยสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
เซียวเยียนอวี่ไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย แต่ก็ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้… นางรู้สึกกระวนกระวายใจแทบบ้า จนอยากตะโกนออกมาด้วยความเคียดแค้น
เซียวเยวี่ยหยุดลงที่ข้างเตียง ควันจากธูปหอมฟุ้งกระจาย ร่างของสตรีผู้สง่างามนอนหลับตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงตรงหน้า
สตรีผู้นั้นมีใบหน้าที่งดงาม เมื่อดูใกล้ๆ แล้วเหมือนเซียวเยียนอวี่ยิ่งนัก
ดวงตาของเซียวเยวี่ยแสดงอารมณ์สับสนออกมา ก่อนถอนหายใจเบาๆ เขาถอดเสื้อคลุมหนาหนักออกจากบ่า แล้วห่มลงบนตัวสตรีผู้นั้น
“เจ้า… จะเอานางไปไหน!” เซียวเสี่ยวหลงยันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล แต่เซียวเยวี่ยก็ยกมือขึ้นส่งพลังกดดันทับลงไปที่ตัวอีกฝ่ายอีกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มหกล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้น เซียวเสี่ยวหลงทำได้เพียงมองเซียวเยวี่ยนำตัวจีรู่เอ๋อร์ผู้เป็นมารดาของตนเองไปด้วยสายตาแดงก่ำ
ร่างของเซียวเยียนอวี่สั่นสะท้าน นางกัดปากของตนเองอย่างแรง ความโกรธแค้นต่อเซียวเยวี่ยอัดแน่นอยู่ในดวงตา
เซียวเยวี่ยแบกจีรู่เอ๋อร์เอาไว้บนหลัง พอเดินไปถึงประตู เขาก็หันหลังกลับมาหาน้องทั้งสองของตน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนพวกเจ้าสองคนเคยน่ารักกว่านี้เยอะ ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้จะทำร้ายท่านแม่ เพียงแต่จะปลุกให้นางตื่นขึ้นเท่านั้น”
พอพูดจบ เซียวเยวี่ยก็สวมหมวกไม้ไผ่อีกครั้งแล้วกระโจนไปในอากาศ หายลับไปจากสายตา เหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของลมหนาวที่สะท้อนก้องอยู่ตรงโถงทางเดินเท่านั้น
ทันทีที่พลังงานจากกระบี่ซึ่งกดร่างของนางไว้สลายหายไปพร้อมเสียงดังสนั่น เซียวเยียนอวี่ก็ตัวสั่นอยู่สักพัก ก่อนจะรีบพุ่งไปที่โถงทางเดิน นางจ้องไปที่พายุหิมะด้านนอก แต่ร่างของผู้เป็นพี่ชายก็หายไปเสียแล้ว
ปัง!
ไม่นานนัก ร่างหนึ่งก็เดินเหยียบอากาศเข้ามา หิมะที่พัดอยู่ในอากาศหยุดไปชั่วขณะ ใบหน้าของเซียวเหมิงดูหดหู่ขณะหยั่งเท้าลงบนพื้นสนามหญ้าขนาดเล็ก เมื่อเห็นเซียวเสี่ยวหลงนั่งอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ที่พื้น และเซียวเยียนอวี่ที่กำลังน้ำตารื้น เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ… ท่านแม่ถูกพาตัวไปแล้วเจ้าค่ะ!” เมื่อเซียวเยียนอวี่เห็นเซียวเหมิง ความโศกเศร้าในใจของนางก็พรั่งพรูออกมา
“ไอ้เซียวเยวี่ย!” ความโกรธวาบเข้ามาในดวงตาของเซียวเหมิง แต่เขากลับรู้สึกสงสัยมากกว่า จีเฉิงเสวี่ยเรียกเขาไปคุยเรื่องสำคัญที่จวน และเซียวเยวี่ยก็มาถึงทันทีหลังจากที่ตัวเขาออกจากบ้านไป… เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ทันใดนั้นแม่ทัพใหญ่ก็หันหลังกลับแล้วกระโจนออกจากจวนตระกูลเซียว เขาพุ่งขึ้นไปในอากาศพลางมองพื้นที่โดยรอบ
“หือ” เซียวเหมิงตกใจเล็กน้อย ก่อนก้าวไปข้างหน้าแล้วพุ่งหายไปลิบตา
เซียวเยวี่ยกำลังแบกจีรู่เอ๋อร์ผู้เป็นมารดาของตนเอาไว้บนหลัง เขาใช้พลังปราณปกป้องร่างของนางจากหิมะ เพื่อไม่ให้นางหนาวเหน็บจากอากาศเย็น ชายหนุ่มค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังตรอกเล็ก
ทันใดนั้น เสียงดังลั่นก็ดังมาจากด้านหลังจนทำให้เซียวเยวี่ยสะดุ้งตกใจ พลังกระบี่ทะลักออกจากร่าง เปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวที่ฟาดไปด้านหลัง
ปัง…
พลังกระบี่ของเซียวเยวี่ยสลายหายไปพร้อมเสียงดังลั่น ร่างของเขาสั่นสะท้านอยู่สักพัก จากนั้นชายหนุ่มก็เพิ่มความเร็วมากขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังตรอกให้เร็วที่สุด ร้านเล็กๆ ของฟางฟางอยู่ไม่ไกลแล้ว
ใบหน้าของผู้เป็นพ่อถมึงทึงด้วยความโกรธขณะเหยียบลงบนพื้น มองเซียวเยวี่ยที่กำลังวิ่งหนีอยู่ไกลๆ พร้อมตะโกนด้วยโทสะ “ไอ้ลูกชั่ว จะหนีไปไหน!”
เซียวเหมิงก้าวออกไปข้างหน้า พื้นดินดูเหมือนจะหดสั้นลงจนทำให้เขาเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นในอึดใจ ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาให้ดูต่างหน้า
พลังกดดันน่ากลัวคืบเข้าใกล้เซียวเยวี่ยเรื่อยๆ เหมือนกระแสคลื่นร้ายที่ผลักหิมะในอากาศให้แหวกออก
ชายหนุ่มหันหลังกลับมา ชักกระบี่ออกจากฝักเผยให้เห็นคมกระบี่ระยิบระยับ เขาตั้งผนึกมือวิชากระบี่ เปลี่ยนกระบี่ยาวให้มีสี่เล่มเพื่อสร้างวงแหวนปราณกระบี่ เซียวเยวี่ยทำท่าส่งพลังไปข้างหน้า เพื่อให้วงแหวนปราณกระบี่พุ่งเข้าใส่เซียวเหมิง
คราวนี้เซียวเหมิงไม่ได้ออมมือแม้แต่น้อย เขาส่งฝ่ามือออกไปทำลายวงแหวนปราณทันที
เซียวเยวี่ยคำรามก่อนใช้แรงกระแทกนั้นส่งตนเองให้พุ่งไปที่หน้าร้าน แล้วเข้าไปในร้านได้สำเร็จในที่สุด
เซียวเหมิงที่กำลังถูกความโกรธบังตาถึงขีดสุดรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ในมือ หมายจะทำลายร้านให้ราบเป็นหน้ากลอง…
แต่สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่หน้าร้านก็เหลือบตามองเขาแล้วพ่นลมเยาะ มันสะบัดอุ้งมือสวยนุ่มนิ่มน่ารักเบาๆ ปัดพลังปราณที่กำลังส่องประกายในมือเซียวเหมิงให้สลายหายไปพร้อมเสียงดังลั่น แม่ทัพรู้สึกถึงพลังกดดันรุนแรงที่ทับลงมาบนร่าง ทำให้เขาเซถลาไปด้านหลัง
เซียวเหมิงรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นหนึ่งกะละมังราดลงมาบนศีรษะ ทำให้ตื่นจากความหน้ามืดตามัวทันที เป็นตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าลูกชายคนโตหนีเข้าไปในร้านของปู้ฟาง
………………….