อาหารจานนี้ส่องแสงเรืองรอง!
เซียวเหมิงและเซียวเยวี่ยอึ้งเป็นอันมาก ทั้งสองจ้องไปที่อาหารเรืองแสงที่มีกลิ่นหอมตรงหน้า แสงสว่างเจิดจ้าสาดออกมาจากหม้อดินเผา ทำให้ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสวยงามน่าดูชม
แสงนั้นคงอยู่ได้เพียงลมหายใจเดียวก็สลายหายไป ไอน้ำลอยออกจากหม้อดินเผาทำให้ดูราวกับกลิ่นนั้นมองเห็นด้วยตาได้
เซียวเยวี่ยกลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนอาการบาดเจ็บจากการโจมตีของเซียวเหมิงหายเป็นปลิดทิ้งทันทีในตอนนั้น เขาไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่อาหารภายในหม้อดินเผา
น้ำแกงหอยเป๋าฮื้อปราณพลอยม่วงไม่ใช่น้ำแกงข้น ต่างจากน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงโดยสิ้นเชิง น้ำแกงไม่ได้มันแต่กลับดูสดชื่นเป็นอย่างมาก สีของน้ำแกงใสแจ๋วเหมือนน้ำจากบ่อน้ำพุบนเทือกเขา แม้แต่หอยเป๋าฮื้อปราณนภาที่นอนอยู่ก้นหม้อก็ยังเห็นได้ชัดเจน
หอยเป๋าฮื้อปราณนภาสุกเรียบร้อยดี เนื้อด้านในของมันโผล่ออกมาให้เห็นผ่านรอยบาก และกำลังส่งกลิ่นหอมเข้มออกมา น้ำแกงนั้นดูใสบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ส่วนกล้วยไม้หัวใจพลอยม่วงเองก็ละลายหายไปในน้ำแกงโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ดูต่างหน้าเลย
ราวกับว่าน้ำแกงหอยเป๋าฮื้อปราณพลอยม่วงนี้ทำมาจากหอยเป๋าฮื้อปราณนภาและน้ำสะอาดบริสุทธิ์จากเทือกเขาเทียนซานโดยแท้
ปู้ฟางหยิบถ้วยกระเบื้องศิลาดลใบเล็กออกมา แล้วใช้ช้อนศิลาดลตักน้ำแกงใส่ถ้วย สีของน้ำแกงสะอาดใส หากไม่ได้มีกลิ่นหอมโชยออกมาแล้วละก็ พวกเขาคงคิดว่าเป็นชามใส่น้ำสะอาดต้มเป็นแน่
เซียวเยวี่ยรับชามน้ำแกงมาจากปู้ฟาง เขาหายจากอาการประหลาดใจแล้วและเข้าประคองมารดาให้นั่งหลังตรงพิงเก้าอี้ เซียวเหมิงรีบรุดเข้ามารับชามน้ำแกงไปจากมือของเซียวเยวี่ยทันที
สีหน้าสงบนิ่งสำรวมของผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นมลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความระมัดระวังและความไม่แน่ใจเท่านั้น
มือของเขาสั่นขณะตักน้ำแกงขึ้นมาหนึ่งช้อน แล้วค่อยๆ ป้อนจีรู่เอ๋อร์ เขารู้สึกเหมือนหัวใจขึ้นมาเต้นอยู่ในลำคอ ขณะจ้องใบหน้าซีดเซียวของนางไม่กะพริบตา
ทันใดนั้นดวงตาของเซียวเหมิงก็ฉายแสงวาบ เขาเห็นว่าใบหน้าของจีรู่เอ๋อร์ที่เคยซีดเซียวไร้สีเลือด กลับมามีเลือดฝาดอีกครั้งหลังจากดื่มน้ำแกงเข้าไปหนึ่งช้อน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
มันได้ผล! น้ำแกงนี้ใช้ได้ผล!
เซียวเหมิงตื่นเต้นมากเสียจนเกือบทำชามน้ำแกงในมือหก เขารีบสงบจิตใจลงแล้วป้อนน้ำแกงให้ภรรยาต่อไป
เขาบรรจงป้อนน้ำแกงให้นางช้อนแล้วช้อนเล่า ราวกับกำลังดูแลสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต
ปู้ฟางมองคนทั้งสอง ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบหอยเป๋าฮื้อปราณนภาออกมาจากก้นหม้อ แล้วคว้าเปลือกของหอยเป๋าฮื้อเอาไว้ วงแหวนปราณบนเปลือกหอยทอแสงสว่างเรืองรอง ทำให้รู้สึกร้อนเล็กน้อยเมื่อสัมผัส เนื้อของหอยสั่นระริกอยู่ภายใน
กลุ่มควันสีเขียวหมุนวนรอบฝ่ามือก่อนที่มีดทำครัวกระดูกมังกรทองจะปรากฏขึ้น พอหมุนมีดทำครัวในมือเสร็จ ปู้ฟางก็หั่นเนื้อหอยเป๋าฮื้อปราณนภาเป็นชิ้นเล็กๆ
“ป้อนมันให้นางด้วย นางได้รับฤทธิ์ยาจากกล้วยไม้หัวใจพลอยม่วงและสมุนไพรอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว วงแหวนปราณบนเปลือกหอยจะช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาการฟื้นตัวในร่างกายให้เร็วยิ่งขึ้น ฤทธิ์การรักษาของหอยเป๋าฮื้อปราณนภาจะดีขึ้นเป็นทวีคูณหลังจากที่ดื่มน้ำแกงหมด” ปู้ฟางพูดพร้อมส่งเนื้อหอยเป๋าฮื้อที่หั่นเรียบร้อยให้เซียวเหมิง
เซียวเหมิงมองปู้ฟางด้วยสายตาขอบคุณ ก่อนป้อนเนื้อหอยเป๋าฮื้อเข้าปากจีรู่เอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ร่างกายของนางไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย แต่พอได้กินเข้าไป นางก็ตัวสั่นสะท้านทันที นางอ้าปาก แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
ลมหายใจนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณจำนวนมาก ทั้งยังส่งกลิ่นหอมหวนกระจายไปทั่วร้านอีกด้วย
เซียวเหมิงยิ่งตื่นเต้นมากเข้าไปใหญ่ เขาเฝ้าดูแพขนตายาวของจีรู่เอ๋อร์สั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น…
…
เมื่ออากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ เกล็ดหิมะที่สะสมอยู่บนพื้นก็หนาขึ้นเป็นเงาตามตัว สองข้างทางของถนนสายหลักแห่งนครหลวงปกคลุมไปด้วยหิมะ
ร่างสองร่างกำลังเดินไปบนถนนสายหลักอย่างช้าๆ จีเฉิงเสวี่ยสวมชุดคลุมสีขาวมีเสื้อคลุมขนสัตว์พาดบนบ่า ร่างหนาของชายผู้ดูกำยำแข็งแรงในชุดผ้าป่านแขนสั้นเดินอยู่ข้างกายเขาท่ามกลางพายุหิมะ ชายผู้นี้มีหนวดยาวรุงรังทั่วใบหน้า ส่วนดวงตาก็ใหญ่โตเหมือนระฆังทองแดง
ทั้งสองค่อยๆ ก้าวเดินไป ทิ้งรอยเท้าไว้เป็นทางเบื้องหลัง
“องค์ชายพะย่ะค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันจัดพิธีศพองค์จักรพรรดิแล้ว แต่หัวหน้าขันทีเหลียนกลับเชิญองค์ชายทุกพระองค์มาพบในวันนี้ หรือเขาจะประกาศราชโองการพินัยกรรมขององค์จักรพรรดิกัน” ชายร่างหนาหน้าครึ้มด้วยหนวดเคราถามเสียงทุ้ม
จีเฉียงเสวี่ยมองชายข้างกาย ก่อนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าราชโองการพินัยกรรมจะเขียนว่าอะไร… พี่ชายทั้งสองของข้าก็คงเผชิญหน้ากันจนเห็นดำเห็นแดงเป็นแน่”
ชายหนวดดกมององค์ชายสามแล้วถามขึ้นมาทันที “พระองค์ไม่คิดว่าองค์จักรพรรดิจะมอบบัลลังก์ให้ตนเองบ้างหรือพะย่ะค่ะ”
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยได้ยินคำถามนั้น เขาก็ชะงักไป ชายหนุ่มหยุดเดิน นิ่งอึ้งอยู่กับที่ หิมะรอบกายพัดหมุนวนในอากาศพร้อมด้วยสายลมหวีดหวิว
“เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีเหตุอะไรที่ท่านพ่อจะเลือกข้า นั่นเพราะ… ข้าเป็นบุตรชายที่ท่านชิงชังที่สุดอย่างไรเล่า” จีเฉิงเสวี่ยตอบเสียงอ่อนโยน แม้เสียงนั้นจะเจือด้วยความเหินห่างและโศกเศร้าอาดูรก็ตาม
จากนั้นองค์ชายสามก็ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ พร้อมด้วยชายร่างหนาหนวดดกที่ค่อยๆ เดินตามเขาไปเงียบๆ มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงหลวง
ที่ประตูมายาสวรรค์ อวี่อ๋องยืนอยู่อย่างอารมณ์ดี เขาสวมมงกุฎสีม่วงบนศีรษะ และคาดเข็มขัดแพรวพราวด้วยหินมีค่าบนเอง ชายวัยกลางคนท่าทางเคารพนบนอบเดินตามเขาพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง ดูปราดเดียวก็รู้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นคนคล่องแคล่วอยู่เป็น
ชายผู้นี้คือเสนาบดีคลังซุนชิง ผู้รับหน้าที่ดูแลกิจการการเงินของนครหลวงนั่นเอง
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยปรากฎตัวให้เห็นอยู่ไกลๆ อวี่อ๋องก็เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มเยาะกว้าง จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ ก้าวเข้าประตูมายาสวรรค์ เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ท้องพระโรงหลวง
ประตูมายาสวรรค์นั้นใหญ่โตมโหฬารมาก พื้นของจัตุรัสถูกหิมะสีขาวสะอาดปกคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น มีอนุสาวรีย์สลักรูปสองอันตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัส ด้านบนสุดของอนุสาวรีย์ทั้งสองเต็มไปด้วยหิมะ ภาพของทุกอย่างในบริเวณเป็นสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
บนลานจัตุรัสประตูมายาสวรรค์มีขันทียืนอยู่ประปราย ต่างกำลังกวาดหิมะที่สะสมอยู่บนพื้น งานพระศพของจักรพรรดิจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ และพิธีนั้นต้องมีการเดินผ่านจัตุรัสนี้เพื่อมุ่งหน้าไปสู่สุสานหลวง ด้วยเหตุนี้หิมะจึงเป็นอุปสรรคที่ต้องจัดการให้สะอาดเอี่ยม
กลุ่มคนที่ถูกเรียกมากำลังรวมตัวกันอยู่ในท้องพระโรงขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด ทุกคนดูกระสับกระส่าย คนเหล่านี้คือขุนนางชั้นสูงและข้าราชบริพารมากมาย ต่างเป็นบุคคลที่เป็นที่นับหน้าถือตาในจักรวรรดิวายุแผ่ว
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจัง สวมชุดเครื่องแบบขุนนาง ดวงตาปิดลงเล็กน้อยเหมือนกำลังพักสายตาอยู่
ตระกูลโอวหยาง ตระกูลหยาง เสนาบดีคลัง และขุนนางระดับสูงคนอื่นๆ ต่างยืนอยู่อย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกัน ทุกคนรอให้หัวหน้าขันทีเหลียนปรากฏตัวขึ้น พวกเขารู้ดีว่าวันนี้ไม่ใช่วันธรรมดาอย่างแน่นอน
ในที่สุดราชโองการพินัยกรรมของจักรพรรดิผู้ล่วงลับก็จะถูกอ่านเสียที หลังจากที่เก็บเป็นความลับมานาน และเนื้อหาในราชโองการพินัยกรรมย่อมต้องระบุผู้สืบราชบัลลังก์คนต่อไปอย่างแน่นอน
จะเป็นองค์ชายรัชทายาท หรือว่าจะเป็นอวี่อ๋องกัน บรรดาขุนนางระดับสูงมากมายต่างพากันหวั่นใจถ้วนหน้า
สำหรับองค์ชายสามนั้น… ไม่มีผู้ใดคิดว่าจะมีโอกาสได้ร่วมศึกชิงบัลลังก์ เนื่องจากจักรพรรดิองค์ก่อนไม่ค่อยโปรดปรานหรือสนใจใยดีลูกชายคนสุดท้องนัก ด้วยเหตุนี้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ตัวจีเฉิงเสวี่ยเอง จึงคิดว่าโอกาสที่เขาจะได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปนั้นต่ำที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสามคนของจักรพรรดิ
องค์ชายทั้งสามยืนอยู่ภายในท้องพระโรง บนยกพื้นสูงเบื้องหน้ามีบัลลังก์มังกรทำจากทองคำแท้ตั้งตระหง่านอยู่ พวกเขาเพียงแค่ต้องก้าวขึ้นไปก้าวเดียวเท่านั้น ก็จะได้ยืนอยู่เหนือทุกคนในที่แห่งนี้
ทันใดนั้นท้องพระโรงที่เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงกระซิบก็พลันเงียบลงในพริบตา ฝูงชนแหวกออกเป็นทางให้เหลียนฟู่ที่เดินมาจากด้านนอกด้วยก้าวที่มั่นคงเข้ามา ในมือของเขาถือราชโองการพินัยกรรมเอาไว้ด้วยท่าทางเคารพสูงสุด สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังและทรงเกียรติ ทำให้ผู้คนที่รายล้อมอยู่รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
นั่นเพราะเขามีปราณถึงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ จัดเป็นขั้นปราณที่อารมณ์ซึ่งเปลี่ยนผันของเขาส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างด้วยเช่นกัน
“ท่านขันที นั่น… ราชโองการพินัยกรรมของท่านพ่อรึ” องค์ชายรัชทายาทอดไม่ได้ที่จะถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง ขณะมองไปที่ม้วนกระดาษในมือเหลียนฟู่
เหลียนฟู่หันไปมององค์ชายรัชทายาทแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
องค์ชายรัชทายาทรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที เนื่องจากเขาคิดว่าโอกาสที่ท่านพ่อจะเลือกตนนั้นมีมากที่สุด นั่นเพราะเขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานมากที่สุดของจักรพรรดิผู้ล่วงลับอีกด้วย
เหลียนฟู่จีบนิ้วโป้งและนิ้วกลางเข้าหากัน จากนั้นก็ค่อยๆ กางม้วนกระดาษออก เขายืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์มังกร พร้อมด้วยม้วนราชโองการพินัยกรรมที่อยู่ในมือ เตรียมพร้อมจะอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นให้ทั้งห้องได้ฟัง
ทุกคนเบื้องล่างต่างกลั้นหายใจแล้วจ้องมาที่เหลียนฟู่ผู้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์มังกรเป็นตาเดียว รอให้ชื่อของจักรพรรดิองค์ต่อไปถูกประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน
……………………….