เหลียนฟู่คลี่ราชโองการพินัยกรรมแล้วกระแอมออกมาเบาๆ เสียงกระแอมสะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นรู้สึกกระสับกระส่ายทันที ต่างพากันจ้องมองเขาเป็นตาเดียวด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป
ใบหน้าขององค์ชายรัชทายาทเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ดวงตาเป็นประกายวาววับราวกับชัยชนะอยู่ในเงื้อมมือแล้ว ส่วนสีหน้าของอวี่อ๋องนั้นดูไร้ความรู้สึกราวกับไม่สนใจว่าราชโองการพินัยกรรมจะบอกอะไรแม้แต่น้อย ด้านจีเฉิงเสวี่ยก้มหน้าเล่นนิ้วตนเอง
เจ้ามู่เฉิงยืนอยู่กับที่พร้อมหรี่ตาแคบ ร่างกายโอนไปเอนมาเล็กน้อย ส่วนผู้เฒ่าหยางเม้มปากจ้องไปที่เหลียนฟู่เขม็ง…
ทุกคนในท้องพระโรงหลวงต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไปทั้งสิ้น แต่จิตใจของพวกเขาล้วนจดจ่อไปที่ทุกการกระทำของเหลียนฟู่ พร้อมเงี่ยหูตั้งใจฟังประกาศในราชโองการพินัยกรรมที่หัวหน้าขันทีกำลังจะอ่านทุกถ้อยคำ
เสียงแหลมสูงของเหลียนฟู่สะท้อนก้องอยู่ในท้องพระโรง เนื้อหาในราชโองการพินัยกรรมนั้นไม่ได้ยาว ตรงช่วงแรกเป็นการกล่าวถึงชัยชนะทางการทหารของจักรพรรดิฉางเฟิ่ง ทุกคนในที่แห่งนั้นรู้ดีทุกถ้อยคำอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ แต่อยู่ที่ช่วงท้ายของราชโองการพินัยกรรม ทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่จักรพรรดิองค์ก่อนได้เลือกไว้ ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาปกครองจักรวรรดิเป็นคนต่อไป
จะเป็นองค์ชายรัชทายาท หรืออวี่อ๋องกัน
“องค์ชายสาม เฉิงเสวี่ย เป็นผู้มีจิตใจเป็นธรรมเที่ยงตรงเหมือนตัวข้าเป็นอย่างยิ่ง และเป็นผู้ที่จะสามารถดูแลจักรวรรดิของข้าได้อย่างแน่นอน ข้าจึงขอแต่งตั้งให้องค์ชายสาม เฉิงเสวี่ย เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ และเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของจักรวรรดิวายุแผ่ว”
เมื่อเหลียนฟู่อ่านจบ ทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงเข็มตกกระทบพื้น ทุกคนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก
คนที่จักรพรรดิ… เลือกให้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไป… คือองค์ชายสามเช่นนั้นรึ
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางท้องพระโรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นนิ่งอึ้งไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว
สีหน้าขององค์ชายรัชทายาทแข็งทื่อไม่ขยับ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาดูไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินแม้แต่น้อย ปากอ้านิดๆ ดูเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าตนเองได้ยินถูกหรือไม่
อวี่อ๋องเองก็ตกใจเช่นกัน เขาหันไปมองจีเฉิงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ความไม่อยากเชื่อหมุนวนอยู่ในเบื้องลึกของดวงตา
เจ้ามู่เฉิงที่หรี่ตาอยู่เมื่อครู่ลืมตาตื่นเต็มที่แล้วในตอนนี้ ผู้เฒ่าตระกูลโอวหยางแทบทึ้งหนวดตัวเองออกมาเป็นกระจุก รอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้าของเสนาบดีคลังแข็งทื่อไปทันที เขาแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตาย…
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ไม่มีใครคิดจินตนาการเลยว่าองค์ชายผู้ถูกจักรพรรดิองค์ก่อนส่งไปปฏิบัติภารกิจเฉียดตายนอกราชอาณาจักรตลอดเวลาและถูกเมินจนถึงขั้นไม่พึงใจนั้น จะกลายมาเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไป
“ฮ่าๆๆ!”
ขณะที่ท้องพระโรงเงียบกริบเหมือนป่าช้านั่นเอง เสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นก็วาบขึ้นมาทำลายความเงียบ ชายหนวดดกที่ยืนอยู่ข้างจีเฉิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ไอ้ความยโสโอหังก่อนหน้านี้มันหายไปไหนหมดแล้วเล่า ทีนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วสินะว่าใครกันที่หัวเราะทีหลังดังกว่า ดูหน้าที่งงเป็นไก่ตาแตกของอวี่อ๋องสิ… ก่อนหน้านี้เชิดคางเสียจนจมูกแทบทิ่มฟ้า ไม่ทำต่อแล้วรึ” ชายหน้าหนวดคิด
เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอันมากขณะมองใบหน้าเหมือนท้องผูกขององค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋อง จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังคับห้อง ก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งสองยังอยู่หน้าประตูมายาสวรรค์ เขารู้สึกหงุดหงิดกับสายตาเหยียดหยามของอวี่อ๋องเป็นอันมาก
จีเฉิงเสวี่ยเองก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน แต่หลังจากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขายื่นมือไปตบบ่าชายหนวดดกแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “หยุดเถิด เรายังอยู่ในท้องพระโรงกันอยู่นะ”
ชายหน้าหนวดหยุดหัวเราะทันที แต่ยังคงหุบยิ้มไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ตาม
แม้เหลียนฟู่จะเป็นคนอ่านประกาศให้ทุกคนฟัง แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้มาก่อนว่าในนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง เขาเองก็รู้พร้อมคนอื่นขณะอ่านเช่นกัน และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เหลียนฟู่ตกใจเป็นอันมาก “ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่า… องค์จักรพรรดิจะเลือกองค์ชายสามเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป” ผู้เป็นขันทีคิด
จากนั้นจีเฉิงเสวี่ยก็จัดเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไปรับราชโองการพินัยกรรมด้วยสีหน้าเคารพเคร่งขรึมเป็นอย่างสูง
องค์ชายรัชทายาทพ่นลมด้วยความโกรธ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าซีดขาว
ส่วนอวี่อ๋องก็หันมามองจีเฉิงเสวี่ยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความนัย แล้วจากไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
ผลที่ออกมาเหนือความคาดหมายของทุกคน ทำให้บรรดาขุนนางชั้นสูงยังไม่หายจากอาการตกใจดีนัก ทุกคนในที่แห่งนั้นอยู่ในอารมณ์หดหู่พอตัว เนื่องจากได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดเลือกข้างถูกเลยแม้แต่คนเดียว
เจ้ามู่เฉิงจากไปนานแล้ว แต่ก่อนไป เขาก็หันมามองจีเฉิงเสวี่ยอยู่นานด้วยสายตาจริงจัง ความคิดมากมายแล่นอยู่เบื้องหลังสายตาคู่นั้น
…
หลังออกจากท้องพระโรงผ่านประตูมายาสวรรค์ ร่างของคนคู่เดิมก็กำลังเดินอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาไม่ขาดสาย จีเฉิงเสวี่ยเงียบอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่เดินผ่านประตูเข้าไปโดยสิ้นเชิง
ชายหนวดดกหัวเราะร่า ใบหน้ายิ้มแป้น ดูมีความสุขล้นปรี่ เขาดีใจกับองค์ชายสามเป็นอันมาก
บนถนนไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมามากนัก หิมะหมุนวนในอากาศ ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิวในหู
กรุ๊งกริ๊งๆ กรุ๊งกริ๊งๆ
เสียงกระพรวนหวานใสดังก้องสะท้อนบนถนนสายหลัก จีเฉิงเสวี่ยและชายหนวดดกหยุดเดิน ยืนนิ่งอยู่กับที่
เบื้องหน้าทั้งสองคือสาวงามหุ่นอวบอัดห้าคนในชุดบางเบาโปร่งแสง พวกนางกำลังเดินเข้ามาหา กระพรวนรอบข้อเท้าขาวบอบบางดังไปตามจังหวะฝีเท้าที่ก้าวเดิน เสียงนั้นดูเหมือนมีพลังวิเศษบางอย่างที่ทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจสั่นไหว
ชายหนวดดกก้าวไปข้างหน้าเพื่อยืนบังจีเฉิงเสวี่ยเอาไว้ เขามองหญิงสาวทั้งห้าด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนออกมาด้วยโทสะ “เจ้าพวกนางมารร้ายแห่งสำนักสุขสามัคคี ไสหัวไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้!”
เสียงของเขาเหมือนสายฟ้าดังลั่น เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นกระแสพลังที่พุ่งตัดหิมะที่หมุนวนอยู่รอบกาย ครอบงำได้แม้กระทั่งอำนาจของเสียงกระพรวน
เหวยเซียงซื่อและผู้ติดตามทั้งสี่คนที่อยู่เบื้องหลังหยุดเดิน ร่างของพวกนางโยกไปมา พลังปราณสีชมพูกระจายออกจากร่าง เปลี่ยนเป็นสายพลังปราณที่ลอยวนอยู่รอบกาย
“อวี่อ๋อง ไอ้ชาติหมานี่! กล้าดีอย่างไรถึงสมรู้ร่วมคิดกับสำนักนอกรีตมาลอบสังหารผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่องค์จักรพรรดิเลือกไว้! มันตั้งใจจะกบฏรึ!” ชายหนวดหนาคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
เบื้องหลังจีเฉิงเสวี่ยและชายหนวดหนามีเสียงฝีเท้าเบาดังขึ้นอีก หุนเชียนอวิ่นปรากฏตัวขึ้นในชุดคลุมสีดำ เปลวไฟวิญญาณเต้นตุบๆ อยู่ในเบ้าตา
“หากองค์ชายไม่ได้รับเลือกให้สืบทอดราชบัลลังก์ อวี่อ๋องก็คงไม่ส่งพวกข้ามา หากท่านอยากจะโทษสิ่งใด ก็จงโทษโชคชะตาของตนเองที่ถูกรับเลือกให้เป็นผู้ครองอาณาจักรคนต่อไปเถิด” เสียงแหบพร่าของหุนเชียนอวิ่นดังขึ้น จากนั้นพลังปราณก็ไหลทะลักออกจากตัว พุ่งเข้าใส่จีเฉิงเสวี่ยทันที
“คิๆๆ! ในที่สุดพวกเราก็ได้ลงมือทำอะไรเสียที! ข้าเบื่อจนจะเน่าตายอยู่แล้ว!” ราชากระดูกหัวเราะขณะปีนออกมาจากด้านหลังกำแพงตึกข้างๆ ราวกับเป็นกิ้งก่า
นี่ถือเป็นสถานการณ์เข้าตาจนของจีเฉิงเสวี่ย ดูจากที่อวี่อ๋องกล้าส่งผู้ฝึกตนจากสำนักนอกรีตที่สมคบคิดกันมายาวนาน ออกมาโจมตีจีเฉิงเสวี่ยกลางวันแสกๆ กลางถนนสายหลักของนครหลวง ก็รู้แล้วว่าอวี่อ๋องยินดีเทหมดหน้าตักเพื่อการนี้…
ทั้งสามสำนักไม่ได้มาเพื่อคุยเล่นกับจีเฉิงเสวี่ย แต่มาเพื่อปลิดชีวิตเขาจริงๆ รังสีสังหารที่พุ่งกรีดแทรกอากาศหนาวมาทำให้จีเฉิงเสวี่ยขนลุกซู่ไปทั้งตัว
นี่เป็นแผนดักซุ่มโจมตีที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อกำจัดเขา
ชายหนวดดกระเบิดหัวเราะดังลั่น ก่อนที่ดวงตาของเขาจะปูดโปนออกมาจนเหมือนระฆังขนาดใหญ่ พลังปราณอันน่ากลัวของผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการระเบิดทะลักออกจากร่าง
“ไอ้พวกโง่สมองหมาปัญญาควาย ในเมื่อพวกเจ้ามารนหาที่ตายเอง ข้าก็จะสนองให้! องค์ชาย พระองค์รีบหนีไปเถิดพะย่ะค่ะ!”
เขาคำรามก้อง จากนั้นเสื้อป่านก็ฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ กล้ามเนื้อของชายหนุ่มขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างยืดสูงขึ้นกลายเป็นยักษ์ปักหลั่นในพริบตา พลังปราณที่ไหลเวียนอยู่รอบกายเขาเดือดปุดร้อนฉ่าเสียจนหิมะที่ตกกระทบร่างละลายหายไปทันที
เขากระทืบเท้าลงบนพื้น พลันหิมะที่สะสมอยู่บนพื้นก็แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ พื้นกระเบื้องเองก็แตกหักยุบลงไปตามแรงกระทืบเช่นกัน ชายหนวดดกกลายร่างไปเป็นยักษ์ตัวใหญ่ พุ่งกระโจนเข้าหาเหวยเซียงซื่อและผู้ติดตามที่ขวางทางอยู่ทันที
สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยเครียดขึงขณะแตะปลายเท้าลงบนพื้น เขากระโจนตามชายหนวดดกร่างยักษ์ไปอย่างรวดเร็วชายหนุ่มส่งหมัดที่เต็มไปด้วยโทสะเหมือนวัวกระทิงพิโรธออกไป สร้างกระแสลมรุนแรงที่แน่นด้วยพลังปราณ ทุบทำลายเส้นพลังปราณที่ห้อมล้อมเหวยเซียงซื่อและผู้ติดตามไปเสียสิ้น พลังมหาศาลกระแทกเข้าใส่สตรีทั้งห้า ทำให้พวกนางกรีดร้องเสียงแหลมออกมา
จากนั้นชายหนวดดกก็หันกลับมา ร่างกายเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนขณะบอกองค์ชายสาม “องค์ชาย ข้าจะคุ้มกันพระองค์เอง! รีบหนีไปเร็ว!”
จีเฉิงเสวี่ยขมวดคิ้ว พลางมองชายหนวดดกและตัดสินใจได้ในที่สุด เขากัดฟันหันหลังกลับ แล้วกระโจนจากไป
หุนเชียนอวิ่นและคนอื่นๆ รีบกระโจนตามไปทันทีเพื่อจัดการจีเฉิงเสวี่ยตามใบสั่ง แต่ชายหนวดดกก็ก้าวไปด้านข้างแล้วกระทืบเท้าลงบนพื้น ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา เขากระแทกหมัดสองข้างเข้าหากันจากนั้นก็คำรามเสียงดังลั่น “สารเลว ไอ้พวกสวะ! หากพวกเหลือเดนอย่างเจ้าอยากสังหารองค์ชาย ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถิด!”
หุนเชียนอวิ่นและคนอื่นๆ ต่างโกรธเกรี้ยวแล้วพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายทันที กระแสพลังปราณกระจายออกจากร่าง พุ่งตรงเข้าหาชายหนวดดกที่พลันจมลงในกระแสพลังปราณปริมาณมหาศาล
…
จีเฉิงเสวี่ยชะลอฝีเท้าที่กำลังออกวิ่งเต็มข้อของตนเองลง สุดท้ายเขาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ใช่เพราะไม่อยากไปต่อ แต่เพราะมีร่างหนึ่งยืนขวางอยู่ไม่ไกลพร้อมเอามือไพล่หลังไว้
อวี่อ๋องค่อยๆ หันหลังกลับมามองจีเฉิงเสวี่ยด้วยสายตาสงบนิ่ง
“ข้าไม่ได้คาดคิดเลย… ว่าสุดท้ายแล้วท่านพ่อจะเลือกเจ้า” จีเฉิงอวี่พูดเสียงเบา เสียงของเขานิ่งเหมือนสายน้ำลึก ทว่าความนิ่งนั้นกลับทำให้จีเฉิงเสวี่ยขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงเบื้องหน้าตน
………………….