ปริมาณพลังปราณที่ไหลออกจากตัวอวี่อ๋องค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชุดคลุมสีดำสนิทของเขาโบกสะบัดแม้ไม่มีลมพัด พลังปราณไหลเวียนรอบกายปัดหิมะให้กระจายออกจากตัว
รูขุมขนทั้งร่างของจีเฉิงเสวี่ยขยายตัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระแสพลังปราณของอวี่อ๋อง ด้วยความที่ชายหนุ่มมีปราณอยู่เพียงระดับห้าขั้นราชันยุทธการ เขาจึงทำอะไรไม่ได้มากเมื่อเผชิญหน้ากับขั้นจักรพรรดิยุทธการ
“เจ้าอยากปลิดชีพข้ารึ” จีเฉิงเสวี่ยถามอย่างใจเย็น
สายตาของอวี่อ๋องเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ เขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่น้อยขณะมองไปที่จีเฉิงเสวี่ย “ข้าก็เตือนเจ้าไปแล้วอย่างไร ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นราคาที่เจ้าต้องจ่ายนั้นจะมากเกินกว่าที่จะรับไหว…
“เป็นความผิดของเจ้าเองที่พูดไม่รู้ความ”
จีเฉิงเสวี่ยฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นก็ถอดชุดคลุมหนาหนักออก ประกายมุ่งร้ายสว่างวาบขึ้นบนใบหน้าที่อ่อนโยนมาตลอด ความพยาบาทนี้ทำให้เขาดูร้ายกาจขึ้นมาทันที
“ตั้งแต่เรายังเด็ก เจ้าก็ทำตัวสูงส่งถืออำนาจบาตรใหญ่มาตลอด คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นนักสินะ หากอยากจะสู้ก็มาลองดูสักตั้ง ถึงอย่างไรเราก็ต้องห้ำหั่นกันอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมยิ้มเยาะ
พลังปราณเที่ยงแท้ลอยวนอยู่รอบกายของชายหนุ่ม เขากระทืบเท้าลงบนพื้น ทำให้หิมะที่สะสมอยู่กระจายออกทันที
“ในบรรดาพวกเราทั้งสามคนข้ามีขั้นปราณสูงสุด เจ้าคิดว่าจะต่อกรกับข้าอย่างไรรึ” อวี่อ๋องยิ้มออกมาก่อนกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ปัง ปัง ปัง!
ร่างทั้งสองพุ่งเข้าต่อกรกันพัลวัน การปะทะก่อให้เกิดกระแสพลังปราณทะลักเข้าท่วมพื้นที่โดยรอบ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
ทว่าจีเฉิงเสวี่ยนั้นมีปราณเพียงระดับห้าขั้นราชันยุทธการ สุดท้ายผลจึงออกมาว่าเขาย่อมเทียบอวี่อ๋องไม่ได้ ชายหนุ่มกระอักเลือดกระเซ็นไปในอากาศ ร่างของเขาค่อยๆ ถอยร่นไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็พุ่งเข้ากระแทกกำแพงอย่างแรง จนทำให้กำแพงพังลงทั้งแนว
อวี่อ๋องยิ้มอย่างเลือดเย็น ขณะรวบรวมพลังปราณในฝ่ามือแล้วเอ่ย “ลาก่อน น้องชายข้า”
สายตาของอวี่อ๋องไร้ซึ่งความรู้สึกขณะดันฝ่ามือเข้าหาจีเฉิงเสวี่ยที่นอนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง หากการโจมตีนี้สำเร็จ อวี่อ๋องมั่นใจว่าจีเฉิงเสวี่ยจะต้องตายอย่างแน่นอน
จีเฉิงเสวี่ยจ้องอวี่อ๋องพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น ถึงจะมีคำพูดที่ว่าในหมู่ราชวงศ์นั้นไม่มีคำว่าญาติมิตร แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าอวี่อ๋องจะเลือดเย็นถึงเพียงนี้
แต่ในตอนที่อวี่อ๋องกำลังจะสังหารจีเฉิงเสวี่ยด้วยพลังบนฝ่ามือ กระแสพลังปราณรุนแรงก็ปรากฏขึ้น ทำให้ร่างของอวี่อ๋องแข็งทื่อ พลังที่มาใหม่นั้นดับพลังปราณบนฝ่ามือของเขาจนสลายหายไปด้วยเช่นกัน
ร่างใหม่ที่ปรากฏขึ้นก้าวเดินอยู่ในอากาศ มาหยุดลงระหว่างอวี่อ๋องและจีเฉิงเสวี่ย
“เซียวเหมิง?! เจ้าตั้งใจจะมาขวางรึ” รูม่านตาของอวี่อ๋องหดแคบ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อขณะมองไปที่ก้างขวางคอชิ้นใหญ่
“เซียวเหมิงเคยบอกไม่ใช่หรือว่าตนเองจะไม่สนับสนุนองค์ชายองค์ใด เหตุใดจึงโผล่มาตอนนี้เพื่อช่วยจีเฉิงเสวี่ยกัน” อวี่อ๋องคิด รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขารู้ว่าการที่เซียวเหมิงปรากฏตัวย่อมแปลว่าตนเองสังหารจีเฉิงเสวี่ยไม่สำเร็จเสียแล้ว
“วันนี้ข้าเข้ามายุ่งเพราะเหตุผลส่วนตัว” เซียวเหมิงจ้องอวี่อ๋องด้วยสายตาไร้อารมณ์แล้วเอ่ยตอบ “ถึงอย่างไร… ข้าก็เป็นพี่เขยเขา”
“เจ้า…” อวี่อ๋องโกรธเป็นอันมากเมื่อได้ยิน “มันเอาข้ออ้างมั่วซั่วบังหน้า! หากเอยากช่วยจีเฉิงเสวี่ยก็พูดออกมาเลยเสียดีกว่า! มาเล่นบทครอบครัวแสนสุขไปเพื่ออะไรกัน!” เขาคิด
“เฉิงเสวี่ย ไปเสีย ข้าอยากคุยกับอวี่อ๋องเสียหน่อย” เซียวเหมิงเอ่ย
จีเฉิงเสวี่ยลุกขึ้นจากพื้น เขามองเซียวเหมิงด้วยสายตานิ่งเฉยอยู่นานพร้อมเช็ดเลือดออกจากมุมปาก ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าเซียวเหมิงมาปรากฏตัวในช่วงเวลานี้ทำไม
“ไม่ต้องกังวลไป พี่หญิงของเจ้าฟื้นตัวดี” เซียวเหมิงพูดเสียงเบาทั้งที่ยังหันหลังให้จีเฉิงเสวี่ย
องค์ชายสามสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของชายหนุ่มก็พลันเปลี่ยนเป็นมีความสุขล้น ราวกับว่าอาการบาดเจ็บในร่างกายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
คำพูดของเซียวเหมิงเผยให้เขารู้ว่าพี่หญิงของตนตื่นจากอาการนิทราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายเลือกเข้ามาขัดขวางอวี่อ๋องในคราวนี้
จีเฉิงเสวี่ยมีความสุขมากเสียจนหัวเราะออกมา จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปจากที่แห่งนั้น
อวี่อ๋องก้าวออกมาข้างหน้า รู้สึกทนไม่ได้ที่ตนเองพ่ายแพ้ขณะมองจีเฉิงเสวี่ยจากไป แต่ทันทีที่ชายหนุ่มขยับตัว สายตาของเซียวเหมิงก็หันมาสบลงที่เขา พร้อมด้วยพลังกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้หัวใจขององค์ชายสองตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
…
“พี่หญิงตื่นแล้ว… ช่างดีอะไรเช่นนี้! ดูเหมือนว่าวัตถุดิบที่เซียวเยวี่ยนำไปให้เถ้าแก่ปู้จะปรุงเป็นอาหารโอสถทิพย์ได้สำเร็จสินะ สมแล้วที่เป็นเถ้าแก่ปู้ ช่างยอดเยี่ยมไร้เทียมทานจริงๆ!” จีเฉิงเสวี่ยคิด เขาเอามือกุมหน้าอกตนเองด้วยความเจ็บปวด แต่ก็รู้สึกมีความสุขล้นไปในเวลาเดียวกัน
คนที่ชายหนุ่มเป็นห่วงที่สุดคือพี่หญิงของเขา หลังจากที่รู้แผนการของจีรู่เอ๋อร์แล้ว เขาก็เฝ้ารอให้นางตื่นจากนิทรามากขึ้นไปอีก
ตอนนี้พี่หญิงของเขาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกมีความสุขมากเสียจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
ทันใดนั้นองค์ชายสามก็ต้องสะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มมองขึ้นไปแล้วเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะมากมาย แต่กลับไม่มีหิมะใดร่วงหล่นลงมาตรงบริเวณที่เขาอยู่เลยแม้แต่เกล็ดเดียว ราวกับว่าชายหนุ่มถูกกักเอาไว้ด้วยครอบแก้วที่แยกตัวเขาออกจากหิมะและอากาศด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้นกัน” จีเฉิงเสวี่ยคิด รู้สึกได้ถึงลางร้ายที่คืบเข้ามาใกล้ เขาค่อยๆ ลดระดับสายตาลง แล้วก็มองเห็นร่างร่างหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาหาจากระยะไกล
แสงสีทองที่รู้สึกสงบเป็นมิตรและอบอุ่นหมุนวนรอบตัวเจ้ามู่เฉิงทุกครั้งที่ก้าวเดิน ลำแสงแต่ละวงสว่างเจิดจ้าระยิบระยับเหมือนดอกบัวสีทองที่กำลังเบ่งบาน
รูม่านตาของจีเฉิงเสวี่ยหดแคบทันที เขารู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบเอาไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็นจนหายใจไม่ออก
เสียงสวดมนต์เบาๆ ลอยมาเข้าหู ดวงตาของชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากแสงสว่างเจิดจ้า ราวกับว่าแสงแห่งพระพุทธองค์ได้อาบไล้ห่อหุ้มร่างกายของจีเฉิงเสวี่ยเอาไว้จนหมดสิ้น
“เจ้ามู่เฉิง!” จีเฉิงเสวี่ยพลันกัดลิ้นตนเอง รสชาติเหมือนสนิมกระจายอยู่ในปาก ความเจ็บนั้นทำให้เขาดึงสติกลับมาได้ และเห็นคนที่กำลังคืบเข้ามาใกล้ได้แจ่มชัดอีกครั้ง
สีหน้ามีไมตรีจิตของเจ้ามู่เฉิงเต็มไปด้วยความสำรวมเหมือนพระพุทธองค์ เขายังคงยิ้มขณะมองจีเฉิงเสวี่ยอย่างสงบนิ่ง
“องค์ชายรัชทายาทส่งเจ้ามาฆ่าข้ารึ” จีเฉิงเสวี่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาด
เจ้ามู่เฉิงถือหางองค์ชายรัชทายาท ทั้งยังปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลานี้ คำอธิบายเดียวก็คือองค์ชายรัชทายาทส่งอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับอวี่อ๋อง
ราชโองการพินัยกรรมฉบับเดียวทำให้พี่น้องพ่อเดียวกันทั้งสองถึงกับตั้งใจประหัตประหารเขาเลยทีเดียว จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความโกรธที่ทวีคูณออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจและพุ่งขึ้นครอบงำศีรษะ
เจ้ามู่เฉิงส่ายหน้า ดวงตาของเขายังคงสงบนิ่ง “ท่านจักรพรรดิชาญฉลาดและจับตาดูข้าอย่างใกล้ชิดมาตลอด ข้าคิดว่าท่านจักรพรรดิจะทรงเลือกอวี่อ๋องขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์แต่กลับกลายเป็นว่าเลือกเจ้าแทน แต่ไม่ว่าพระองค์จะเลือกใคร… คนเดียวที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์สุดท้ายแล้วต้องเป็นองค์ชายรัชทายาทเท่านั้น”
“เจ้านี่ช่างจงรักภักดีถวายหัวเสียจริง! วิธีการฝึกปราณของเจ้ามาจากเกาะมหายานแท้ๆ แต่เจ้ากลับเป็นห่วงอาณาจักรนี้เสียได้ จับปลาสองมือเช่นนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร” จีเฉิงเสวี่ยถามพร้อมยิ้มเยาะ
เจ้ามู่เฉิงมองจีเฉิงเสวี่ยที่กำลังเย้ยตนด้วยสายตาไร้อารมณ์ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ส่งพลังปราณเที่ยงแท้ให้หลั่งไหลออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นพระพุทธรูปที่ทอแสงอ่อนโยนเรืองรองอยู่ตรงหน้า
เจ้ามู่เฉิงค่อยๆ พนมมืออย่างช้าๆ จากนั้นก็ส่งมือไปด้านหน้า พระพุทธรูปสีทองลอยขึ้นบนฟากฟ้า ก่อนค่อยๆ ลดระดับลงมาโอบล้อมตัวของจีเฉิงเสวี่ยเอาไว้
“จงรักภักดีเช่นนั้นรึ หากองค์ชายรัชทายาทเป็นคนทะเยอทะยานเหมือนอวี่อ๋องแล้วละก็ ข้าคงไม่มีวันช่วยเขาแน่นอน ข้าสนับสนุนองค์ชายรัชทายาทก็เพราะเขาอ่อนแอ เจ้า… ไม่เข้าใจหรืออย่างไร” เจ้ามู่เฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเพียงแต่ต้องการหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น…”
ตุ้บ!
หลังจากที่ฟังจบ ร่างของจีเฉิงเสวี่ยที่ถูกพระพุทธรูปโอบล้อมเอาไว้ก็สั่นสะท้าน เขาทรุดตัวลงกับพื้น เลือดไหลทะลักออกจากโพรงจมูกและปาก วาระสุดท้ายของชีวิตอยู่ไม่ไกลแล้ว
เจ้ามู่เฉิงค่อยๆ เดินเข้าไปหาจีเฉิงเสวี่ย พร้อมถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนา
ทันใดนั้นเสียงตะโกนของสตรีก็ดังขึ้นมาจากฟากฟ้า จากนั้นยันต์หยกทอแสงเจิดจ้าก็พลันกระแทกลงมาบนตัวเจ้ามู่เฉิง
ฟึ่บ!
รูม่านตาของเจ้ามู่เฉิงหดแคบ เขาพนมมือขึ้นก่อนผลักฝ่ามือออกไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วเพื่อปัดป้องยันต์ให้พ้นตัว ยันต์หยกสั่นอยู่สักพักก่อนปล่อยแสงสว่างออกมาสร้างวงแหวนปราณอย่างง่าย พลังปราณปริมาณมากไหลทะลักออกจากวงแหวนปราณนั้น บังคับเจ้ามู่เฉิงให้ต้องล่าถอยไปข้างหลังสองสามก้าว
“วงแหวนปราณวิญญาณพยากรณ์… ของสำนักความลับแห่งสวรรค์!” เจ้ามู่เฉิงพึมพำ ดวงตาหรี่เล็ก
ร่างในชุดคลุมหลวมลดตัวจากฟ้าลงมายืนข้างจีเฉิงเสวี่ย นางโบกมือเรียวขาว จากนั้นพระพุทธรูปก็เริ่มปริแตก ก่อนแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อึดใจถัดมานางก็ยกร่างของจีเฉิงเสวี่ยขึ้นมาด้วยมือเดียว
“ตาแก่ โหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่ดีเลยนะ…” พอพูดจบ หนี่หยันก็ยิ้มให้เจ้ามู่เฉิง ก่อนกระโจนหายลับตาไป
…
ที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ปู้ฟางนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ กำลังจิบน้ำร้อนจากถ้วยในมืออย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในร้าน หนี่หยันมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาแล้วโยนร่างโชกเลือดลงบนพื้น
“เถ้าแก่ปู้ หมอนี่จะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของจักรวรรดิวายุแผ่ว แต่ดูเหมือนเขากำลังจะตายแล้ว รีบช่วยชีวิตเร็วเข้า”
……………………..