เช้าวันต่อมา ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า พร้อมด้วยเสียงหวานของแตรทองเหลืองที่ดังมาจากวังหลวง ตามมาด้วยเสียวกระดิ่งหม่นเศร้า
ราวกับว่านครหลวงที่กำลังหลับใหลตื่นขึ้นมาในตอนนั้น แสงจากทุกหลังคาเรือนสว่างขึ้นทันที ประชาชนหลายคนเดินออกจากบ้านในชุดกันหนาวหนาหลายชั้น ทุกคนพ่นลมหายใจสีขาวออกมา ต่างพากันเดินไหล่งุ้มก้มหน้าไปยังประตูมายาสวรรค์
ทุกคนต่างเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่เดินไปยังประตูมายาสวรรค์ด้วยความเศร้าสร้อย
พวกเขาทำได้เพียงรู้สึกเป็นทุกข์กับความโหดร้ายของเวลาและอาลัยให้กับความเสื่อมถอยของชีวิตมนุษย์ การสวรรคตของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถือเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับจักรวรรดิวายุแผ่วเลยทีเดียว
ประชาชนทุกคนต่างเคารพยำเกรงจักรพรรดิฉางเฟิ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ เนื่องจากจักรพรรดิผู้นี้พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะปกครองอาณาจักรให้ผาสุกร่มเย็น พวกเขาต่างรู้สึกขอบคุณที่จักรพรรดินำพาช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์มาให้อาณาจักร ทำให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปราศจากอันตราย
ในวันพิธีศพของจักรพรรดิฉางเฟิ่ง บรรดาพสกนิกรในนครหลวงต่างตื่นแต่เช้าเพื่อมาส่งพระองค์ไปสู่สวรรค์ มีคนมากมายจากนอกนครหลวงที่เดินทางเข้าเมืองมาเพื่อส่งจักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน
เสียงกระดิ่งแสนเศร้าทำให้บรรยากาศตกอยู่ในความอาดูร นอกประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เริ่มมีผู้คนหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่มีทหารเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าจึงทำให้ไม่มีใครเข้าไปข้างในได้ แต่ผู้ที่ยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด พวกเขาตั้งใจมารอที่ทางเข้า เพื่อเคารพโลงศพของจักรพรรดิฉางเฟิ่งที่จะถูกแบกออกมาตามพิธีเท่านั้น
ที่ลานจัตุรัสของประตูมายาสวรรค์ เหล่าขันทีแสนขยันกรุยทางที่มีหิมะตกหนาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ขบวนพระศพผ่านไปได้โดยง่าย
องค์ชายรัชทายาทใส่ชุดไว้ทุกข์แล้วกำลังหันไปมองที่ท้องพระโรงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ด้านหลังเขามีข้าราชการและทหารมากมาย ทุกคนสวมเสื้อสีขาวทับชุดเครื่องแบบเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังไว้ทุกข์กับการจากไปของจักรพรรดิองค์ก่อน
อวี่อ๋องเองก็มีสีหน้าจริงจังเช่นกัน เขาอยู่ในชุดไว้ทุกข์เช่นเดียวกับองค์ชายรัชทายาท ด้านหลังเขาก็มีข้าราชการและทหารยืนเรียงแถวอยู่ แต่มีผู้ฝึกตนจากสำนักต่างๆ ที่แฝงตัวเป็นองครักษ์ในวังรวมอยู่ด้วย แม้แต่คนพวกนี้ก็ยังเคารพยำเกรงในตัวจักรพรรดิฉางเฟิ่ง เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนนอกอาณาจักรรู้สึกหวัดกลัว
ทั้งสองกลุ่มนี้ยืนอยู่ห่างกัน กลุ่มนักดนตรีหลวงในชุดไว้ทุกข์ค่อยๆ เดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ขณะบรรเลงดนตรีทวงทำนองแสนโศก
เซียวเหมิงสวมเสื้อสีขาวทับชุดเครื่องแบบทหาร คอยประคองจีรู่เอ๋อร์ภรรยาที่บอบบางของตนเอาไว้
จีรู่เอ๋อร์มีสีหน้าสับสนปนเปไปหมด ดวงตาพร่าเลือนด้วยน้ำตา หลังจากที่หลับไปนานถึงสามปี นางก็ตื่นขึ้นมาเพียงเพื่อจะพบว่าบิดาของตนได้จากโลกนี้ไปแล้ว
กระนั้นนางก็ยังคงมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างของจีเฉิงเสวี่ย แต่ก็พบว่าน้องชายของตนไม่ได้อยู่ที่ลานจัตุรัสของประตูมายาสวรรค์แต่อย่างใด…
“เฉิงเสวี่ยอยู่ที่ใดรึ เหตุใดจึงยังไม่มาอีก” จีรู่เอ๋อร์พูดเสียงอ่อนแรงกับเซียวเหมิงผู้เป็นสามี
เซียวเหมิงเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน เมื่อวานนี้จีเฉิงเสวี่ยหนีรอดจากอันตรายไปได้ เหตุใดจึงยังไม่ปรากฏตัวในวันสำคัญเช่นนี้อีก
ในฐานะผู้ที่ถูกเลือกให้รับช่วงต่อในพินัยกรรม จีเฉิงเสวี่ยควรกระตือรือร้นมากกว่านี้!
“หรือว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น” เซียวเหมิงคิด ดวงตาเป็นกังวลกับความไม่แน่นอน แต่สุดท้ายเขาก็บังคับตนเองให้ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก เฉิงเสวี่ยอาจจะติดธุระสำคัญเลยมาช้าก็เป็นได้ เดี๋ยวเขาก็มา ก็เขาได้รับ… ตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์นี่นะ”
แม้จีรู่เอ๋อร์จะรู้สึกกระสับกระส่ายชอบกล แต่รอยยิ้มอ่อนโยนของเซียวเหมิงก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นได้ นางยิ้มบางแล้วพยักหน้าตอบรับ
เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงที่ยืนอยู่ด้านหลังรู้สึกมีความสุขเอ่อล้น เมื่อเห็นบิดาและมารดาของตนพูดคุยกันด้วยความรัก
เซียวเยียนอวี่มองไปรอบๆ แต่ก็หาร่างที่คุ้นเคยไม่เจอ… จากที่บิดาของนางได้เล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่าคนที่ทำให้มารดาตื่นขึ้นก็คือเซียวเยวี่ยพี่ชายของพวกเขาเอง
ยิ่งไปกว่านั้น มารดายังเล่าความจริงให้ทั้งสองฟังแล้ว ทำให้ความจงเกลียดจงชังที่มีต่อเซียวเยวี่ยสลายหายไป เปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดแทน
นักดนตรีหลวงเดินเรียงแถวกันออกมาจากท้องพระโรง เหลียนฟู่ในชุดไว้ทุกข์ก็ค่อยๆ เดินตามออกมาเช่นกัน ใบหน้าของเขาดูซูบซีด ผมเผ้าหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง
เหลียนฟู่ดูเหนื่อยจนแทบขาดใจ ถุงใต้ตาของเขาห้อยลงมา ส่วนดวงตาก็เป็นเส้นเลือดแดงก่ำ พลังปราณที่แผ่ออกจากร่างดูไม่เสถียรชอบกล
แต่ก็ไม่มีใครสงสัยอะไร เพราะเขาอาจกำลังจมอยู่ในความเศร้าก็เป็นได้
อย่างไรเสียเหลียนฟู่ก็เป็นคนสนิทของจักรพรรดิฉางเฟิ่ง
“องค์ชายสามอยู่ที่ใดกัน” เหลียนฟู่ถามเสียงแหลมสูง โบกสะบัดแส้หางม้าในมือเล็กน้อย
แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ องค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋องกลับก้าวออกมาแทนเพื่อประสานฝ่ามือและกำปั้นคารวะ
เหลียนฟู่มองทั้งสองด้วยสายตามีความหมาย ก่อนจะเริ่มดำเนินพิธีการก่อนการฝังพระศพต่อไป พิธีนี้เป็นพิธีที่เข้มงวดและจริงจัง ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในราชวงศ์ผู้ปกครองจักรวรรดิวายุแผ่ว องค์ชายทุกคนจะต้องปฏิบัติตามประเพณีนี้อย่างเคร่งครัด
“ต่อไปจะเป็นพิธีรับโลงพระศพ” เหลียนฟู่เอ่ยพร้อมสะบัดแส้ในมืออีกครั้ง
ทันทีที่พูดจบ บรรดาข้าราชการและทหารเบื้องล่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
มุมปากของเจ้ามู่เฉิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่งสำรวม
อวี่อ๋องและองค์ชายรัชทายาทก้าวออกมาอีกครั้ง อวี่อ๋องเอ่ย “หัวหน้าขันทีเหลียน เราจะพลาดฤกษ์ที่วางไว้ไปไม่ได้ ให้ข้าเป็นผู้รับโลงพระศพแทนเถิด”
“เหตุใดต้องเป็นเจ้าด้วย หากจะมีใครควรเป็นผู้รับโลงพระศพ… ก็ต้องเป็นข้าสิถึงจะถูก” องค์ชายรัชทายาทพูดพร้อมปรายตามองอวี่อ๋องด้วยสายตาเย็นชา
บรรยากาศตึงเครียดระหว่างองค์ชายทั้งสองกลับมาอีกครั้ง
เหลียนฟู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ องค์ชายทั้งสองตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพี่น้องโจ่งแจ้งเกินไป ความจริงที่ว่าองค์ชายสามไม่อยู่ในที่แห่งนี้ด้วยก็อาจเป็นไปได้มากว่าเขาโดนสกัดดาวรุ่งไปแล้ว มิเช่นนั้นทั้งอวี่อ๋องและองค์ชายรัชทายาทคงไม่กระโจนออกมาด้วยท่าทางราวกับว่าองค์ชายสามจะไม่โผล่มาอีกแล้ว และแย่งกันเป็นผู้รับโลงศพเช่นนี้แน่
แต่ในสถานการณ์นี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนหนึ่งเป็นผู้รับไปแทนเพื่อให้พิธีเดินหน้าต่อได้ เหลียนฟู่เองก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน
“ขันทีเหลียน โปรดตัดสินใจเถิด… ท่านพ่อไว้ใจท่านที่สุดในยามที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่” อวี่อ๋องเอ่ยพร้อมมองหน้าเหลียนฟู่
“องค์ชายโปรดระวังคำพูดด้วยพะย่ะค่ะ การรับโลงพระศพนี้เป็นกิจที่สำคัญมากเกินกว่าจะมาคิดตัดสินใจกันได้ง่ายๆ เช่นนี้ เรารอกันอีกหน่อยเถิด หากองค์ชายสามยังไม่มา องค์ชายทั้งสองจะเป็นผู้รับโลงพระศพไปพร้อมกัน” เหลียนฟู่เอ่ย
อวี่อ๋องจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะในลำคอ จีเฉิงเสวี่ยไม่มาอย่างแน่นอน จึงไม่มีเหตุอันใดให้ต้องรอ ทำเช่นนี้จะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ กระนั้นอวี่อ๋องก็ทำได้แค่คิด เขายังคงต้องปั้นหน้าทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไป
องค์ชายรัชทายาทเองก็คิดเช่นเดียวกัน ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะเบือนหน้าไปคนละทาง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเหล่าข้าราชการและทหารเริ่มกระสับกระส่าย ต่างพากันกระซิบกระซาบเป็นระยะ
เหลียนฟู่เหลือบมองคนเหล่านั้นก่อนหันไปมองทางอื่นแล้วลอบถอนใจอยู่ภายใน
“หัวหน้าขันทีเหลียน ป่านนี้น้องสามยังไม่มาเลย ทำเช่นนี้ข้าว่าเป็นการไม่เคารพท่านพ่อ แล้วคนแบบนี้จะมาสืบทอดราชบัลลังก์ต่อได้อย่างไรกัน การรับโลงพระศพเป็นเรื่องสำคัญที่ควรให้ข้าทำแทน” องค์ชายรัชทายาทเปิดปากพูดอีกครั้ง
อวี่อ๋องเองก็เถียงกลับไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน
แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังทุ่มเถียงกันอยู่นั้น มุมปากของเหลียนฟู่ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อมองไปที่ระยะไกล ร่างสองร่างปรากฏขึ้นที่ทางเข้าประตูมายาสวรรค์ และกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ
“พี่ชายทั้งสองของข้า ข้าขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่การรับโลงพระศพนี้พวกท่านไม่จำเป็นต้องลำบากทำหรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าก็แล้วกัน ไหนๆ… ข้าก็เป็นผู้ที่ได้รับเลือกให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อนี่นะ”
เสียงเย็นดังจากที่ไกลๆ มาเข้าหูองค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋อง เสียงนั้นเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดใส่คนทั้งสอง พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย
รูม่านตาของเจามู่เฉิงหดแคบ เขารู้สึกงุนงงเป็นอันมาก จนต้องหันไปมองจีเฉิงเสวี่ยด้วยตาตนเอง
เซียวเยวี่ยเดินตามจีเฉิงเสวี่ยมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งสองใส่ชุดไว้ทุกข์ กำลังเดินเข้ามาใกล้ท้องพระโรงเรื่อยๆ
ไม่นานนักจีเฉิงเสวี่ยก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเหลียนฟู่ องค์ชายสามพยักหน้าให้หัวหน้าขันทีอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมององค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋อง
“ข้ายังไม่ตาย… ท่านพี่ทั้งสองคนแปลกใจนักหรือ”
……………..