“อร่อยหรือไม่” เซียวเยียนอวี่ถามอย่างลุกลี้ลุกลน ดวงตาของนางเป็นประกายสว่างกว่าเดิม ขณะมองปู้ฟางกินขนมอบสัปปะรดหัวใจหยก
ปู้ฟางขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาเคี้ยวขนมสัปปะรด รู้สึกได้ถึงรสชาติประหลาดจนสีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นปุเลี่ยน… “นี่คนเดียวกันทำจริงๆ น่ะหรือ ต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ไม่ปาน…”
“ขนมนี่… ไม่อร่อยเลย หวานเกินไป แถมไส้ยังแข็งเพราะนึ่งนานเกินไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น…”
ปู้ฟางเริ่มร่ายยาวว่าขนมนี้ผิดที่ตรงไหนบ้าง เขาจริงจังเสมอเมื่อเป็นเรื่องอาหาร ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพ่นคำวิจารณ์ออกมาไม่หยุดราวห่ากระสุน
เซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้ตะลึงงัน มุมปากของคนทั้งคู่กระตุกขณะมองปู้ฟางที่พูดอย่างเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆ…
“ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว! ถ้าจะรสชาติแย่ขนาดนั้น!” ใบหน้าสวยน่ารักของเซียวเยียนอวี่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที แก้มของนางเป็นปื้นแดงเข้ม ไม่ว่าจะโกรธหรืออาย เซียวเยียนอวี่ก็ยังคงงดงามยากหาผู้ใดเทียบเทียมเสมอ
นางฉกขนมอบสัปปะรดหัวใจหยกไปจากมือปู้ฟาง แล้วใส่กลับเข้ากล่องด้วยท่าทางปั้นปึ่ง
ปู้ฟางตกใจเป็นอันมาก เขาคิด “เกิดอะไรขึ้นกัน ข้าประเมินอะไรผิดไปเช่นนั้นรึ ไม่น่าใช่นะ… ก็ขนมสัปปะรดนี่รสชาติแย่จริงๆ นี่นา ชิมดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนไม่มีประสบการณ์ทำ”
ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับขนมชนิดก่อนหน้าแม้แต่น้อย…
“เดี๋ยวนะ… ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันรึ” ปู้ฟางคิดแล้วเหม่อไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองเซียวเยียนอวี่ เขาสังเกตเห็นแววความชิงชังในดวงตาของนางทันที
ปู้ฟางไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่นานนักเขาก็ปะติดปะต่อเรื่องได้ ขนมสัปปะรดนี้เซียวเยียนอวี่เป็นคนทำ ไม่ใช่มารดาของนาง… รสชาติจึงต่างกันราวฟ้ากับเหวถึงเพียงนี้
เซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้เห็นใบหน้าอับอายของปู้ฟาง และสายตากินเลือดกินเนื้อของเซียวเยียนอวี่ แล้วก็อดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
“เถ้าแก่ปู้ แค่พี่หญิงข้าลุกขึ้นมาเข้าครัวทำอาหารก็แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นแล้วในชาตินี้ แต่ท่านกลับวิพากษ์วิจารณ์ขนมอบที่นางตั้งใจทำแทบตายเสียจนเละไม่มีชิ้นดี คราวนี้ข้าว่าท่านข้ามเส้นจนนางโกรธจริงๆ แล้วละ” เซียวเสี่ยวหลงพูดกลั้วหัวเราะ
ปู้ฟางเม้มปาก ขนมสับปะรดนั้นรสชาติแย่อย่างที่เขาพูดทุกประการ ถึงจะเป็นฝีมือเซียวเยียนอวี่ แต่เขาก็ไม่ใช่คนมีนิสัยชอบยกยอปอปั้นผู้อื่นด้วยคำโป้ปดมดเท็จ…
แต่ความจริงที่ว่าทั้งสามอุตส่าห์มาเยี่ยมเขาในคืนนี้ ก็ทำให้จิตใจที่เคยเหี่ยวเฉาของชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ปู้ฟางจึงคิดว่าตนเองต้องตอบแทนความเอื้ออาทรของคนทั้งสามเสียหน่อย
“ทำอาหารให้สามคนนี่กินดีไหมนะ” ปู้ฟางคิดก่อนจะส่ายหน้าแล้วโยนความคิดนั้นทิ้งไป ทั้งสามมาอุดหนุนร้านเขาเป็นประจำ จึงคุ้นเคยกับรายการอาหารในร้านเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้หากทำแค่อาหารในร้านที่รู้กันอยู่แล้วให้กินก็จะดูไม่จริงใจพอ
“คืนนี้เป็นคืนก่อนวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเทียบได้กับคืนก่อนวันขึ้นปีใหม่บนโลก” ปู้ฟางคิดอยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปภายในร้าน
“ขอเวลาสักครู่ ข้าจะเตรียมอะไรมาฉลองโอกาสนี้เสียหน่อย” ปู้ฟางพูดพร้อมเดินไปทางครัว
เถ้าแก่ปู้จะทำอาหารให้พวกเขากินหรือ ดวงตาของเซียวเยียนอวี่ เซียวเสี่ยวหลง และโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นประกายขึ้นพร้อมเพรียงกันทันที
ความสามารถในการทำอาหารของปู้ฟางนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง เมื่อได้ชิมอาหารที่เขาทำก็ยากที่จะลืมเลือนรสชาตินั้นไปได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเสนอว่าจะทำอาหารให้พวกเขากินโดยไม่คิดเงิน… แน่นอนว่าทั้งสามต้องตั้งหน้าตั้งตารออยู่แล้ว
หลังจากผ่านไปครู่เดียว ปู้ฟางก็เดินออกมาจากครัวพร้อมกะละมังขนาดใหญ่ในมือ
ทั้งสามพลันรู้สึกงุนงง เถ้าแก่ปู้จะทำอะไรกันนะ
ปู้ฟางไม่ได้อธิบายอะไร เขาเพียงวางกะละมังใบใหญ่ลงตรงหน้าคนทั้งสามเท่านั้น
กะละมังนั้นดูหนักพอตัว ภายในเต็มไปด้วยแป้งข้าวเจ้าสีสว่างใสเหมือนผงผลึกล้ำค่า
ปู้ฟางเทน้ำจากบ่อน้ำพุบนยอดเขาลงไปในกะละมัง จากนั้นก็ใช้มือกวน
“เถ้าแก่ปู้ ท่านจะทำอะไรรึ” เซียวเสี่ยวหลงถามขณะมองชายหนุ่มด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มเจ้าของร้านเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยตอบ “ไม่ต้องพูดอะไร แค่ดูก็พอ”
จากนั้นเขาก็ยกกำปั้นขึ้น ส่งกระแสพลังปราณเที่ยงแท้ให้ไหลกรรโชกออกจากเส้นปราณเข้ามาห่อหุ้มมือข้างนั้นเอาไว้ราวกับเป็นถุงมือ
ปัง! เสียงดังลั่นปะทุขึ้นเมื่อหมัดของชายหนุ่มกระแทกลงไปที่กองแป้งเปียกๆ ซึ่งกำลังหมุนวนในกะละมัง ด้วยความที่เขาสามารถควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้ได้อย่างแม่นยำ แป้งจึงสั่นสะท้านอยู่สักพัก
เขายกหมัดขึ้นแล้วต่อยลงไปในกะละมังอีกครั้งหนึ่ง เกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วเหมือนเสียงกระจกแตก
ทั้งสามจ้องภาพที่ปู้ฟางกำลังอัดแป้งเปียกๆ ในกะละมังอย่างไม่ออมมือด้วยใบหน้าตกใจ “นี่เขากำลังทำอาหารอยู่เช่นนั้นรึ ไม่ได้แค่ระบายอารมณ์ใช่ไหม ถ้าต่อยคนเป็นๆ ด้วยหมัดนั้นละก็มีหวัง…”
หลังจากที่ต่อยแป้งในกะละมังไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ชายหนุ่มก็เริ่มเบามือขึ้นจนเรียกได้ว่าเกือบจะอ่อนโยนเลยทีเดียว กระนั้นทุกหมัดที่เขากระแทกลงไปก็ยังคงส่งเสียงดังกึกก้องออกมาเหมือนเดิม
“นี่มัน… สวรรค์ช่วย!” เซียวเสี่ยวหลงร้องออกมาด้วยความตกใจ สายตาจ้องไปที่หมัดของปู้ฟางซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณ เขาเห็นเส้นด้ายสีขาวเหมือนเส้นไหมติดอยู่กับพลังปราณบนมือชายหนุ่ม
ปู้ฟางยกมือขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นเส้นด้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่เชื่อมอยู่กับหมัดของเขา เส้นด้ายทุกเส้นเป็นประกายเงางาม บางเบาโปร่งแสงและนุ่มเนียนเสียยิ่งกว่าผ้าไหมที่แพงที่สุด
ปัง
หลังจากที่ต่อยหมัดสุดท้ายลงไปเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หยุดเคลื่อนไหวแล้วสลายพลังปราณบนมือทิ้งไป เขายกมือขึ้น เส้นด้ายที่ติดอยู่เมื่อครู่ก็หายไปแล้วเช่นกัน สหายทั้งสามเดินมาก้มดูในกะละมังด้วยความสงสัยใคร่รู้ จากนั้นก็พบว่ากลางกะลังมีก้อนแป้งข้าวเจ้าสีใสเหมือนผลึกก้อนใหญ่กำลังส่งควันร้อนออกมาอยู่
แม้จะไม่มีกลิ่นโชยออกมา แต่ทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเอื๊อก…
“นายท่านตัวเหม็น… นี่คืออาหารที่ทำจากหมัดของท่านรึ กินได้หรือเปล่าน่ะ” โอวหยางเสี่ยวอี้เอ่ยถาม
“กินได้ แต่จะอร่อยมากขึ้นหลังจากนึ่งแล้ว” ปู้ฟางตอบ “พวกเจ้าลองกลับไปทำดูเองที่บ้านก็ได้นะ ถ้าควบคุมกระแสพลังปราณได้สม่ำเสมอก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“อาหารจานนี้มาชื่อว่าอะไรหรือ” เสียงหวานของเซียวเยียนอวี่ดังขึ้น
“ขนมไหว้พระจันทร์ผ้าไหมพันชั้น” ชายหนุ่มตอบ
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมา ควงมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหั่นขนมออกเป็นสี่ชิ้นเท่าๆ กัน
เขาเดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้งแล้ววางขนมทั้งสี่ชิ้นลงในจานกระเบื้องสีฟ้าขาว ก่อนจะนำไปใส่ในซึ้งไม้ไผ่
“เข้ามาสิ” ปู้ฟางตะโกนเรียกทั้งสามที่ยังนั่งอยู่ที่ทางเข้าร้าน
ทั้งสามเดินเข้าร้านมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นและเห็นขนมไหว้พระจันทร์ผ้าไหมพันชั้นบนโต๊ะทันที
หน้าตาของมันดูเรียบง่ายแสนธรรมดา จนบอกไม่ได้ว่ามีอะไรแตกต่างไปจากเดิมบ้าง
แต่กลิ่นนั้น… เป็นกลิ่นหอมเข้มของแป้งข้าวเจ้า พร้อมด้วยกลิ่นหวานหอมของขนมที่เข้ามาลูบไล้ปลายจมูกของพวกเขาเหมือนผ้าไหมเลอค่า
กลิ่นหวานนั้นไม่ได้หวานจนเลี่ยนและไม่ได้จืดจางเช่นกัน แต่กลับทำให้พวกเขารู้สึกอยากกินกำลังดี จนน้ำลายสอออกมาโดยไม่รู้สึกตัว
“ลองชิมดู ขนมนี้ต้องกินในคืนก่อนวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เพื่อเป็นเคล็ดให้ปีหน้าเป็นปีที่ดียิ่งขึ้นไปอีก” ชายหนุ่มเอ่ยเชื้อเชิญ
วัตถุดิบที่ใช้ทำขนมไหว้พระจันทร์ผ้าไหมพันชั้นนั้น เขาซื้อมาจากระบบโดยใช้ผลึกของตัวเองจ่าย แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้สนใจในจุดนี้
ความเอาใจใส่เอื้ออาทรของคนทั้งสามที่อุตส่าห์มาหาเขาในวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะวัดมูลค่าเป็นผลึกได้ ทางเดียวที่จะแสดงความขอบคุณให้คนเหล่านี้รู้ คือการทำอาหารให้กินเท่านั้น
เซียวเยียนอวี่ใช้ตะเกียบคีบขนมไหว้พระจันทร์ผ้าไหมพันชั้นขึ้นมาด้วยท่วงท่าสง่างาม ริมฝีปากอ่อนบางเป็นเงาของนางแยกออกจากกัน เผยให้เห็นฟันสีขาวที่กัดลงไปบนขนมอย่างอ่อนโยน
จากนั้นดวงตาคู่สวยของเซียวเยียนอวี่ก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
ที่ชายหนุ่มบอกว่าเป็นผ้าไหมพันชั้น… ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย!
………………….