รุ่งเช้าของวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ควันไฟลอยออกจากปล่องควันของบ้านเรือนหลายหลังในนครหลวง บรรดาประชาชนที่ทำงานหนักมาตลอดปีต่างพากันตื่นเช้ามาเตรียมอาหารมื้อใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่
ณ ประตูทางเข้านครหลวง ทหารเฝ้าประตูกำลังหาวหวอดใหญ่ พลางมองภาพผู้คนในนครหลวงที่เริ่มครึกครื้นด้วยสายตาอิจฉา แม้วันนี้จะเป็นวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ แต่ทหารรักษาเมืองก็ยังต้องทำหน้าที่ตามปกติโดยไม่ได้หยุดพัก ถึงแผนการของจักรพรรดิองค์ก่อนจะทำลายการก่อกบฏของสำนักไปได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ายังมีสมาชิกของสำนักซ่อนตัวอยู่ภายในนครหลวงอีกหรือไม่
ในฐานะทหาร หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องอธิปไตยของจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้เหล่าทหารทุกนายต่างพากันนึกถึงเตียงอุ่นๆ ภรรยาแสนสวย และลูกๆ ที่น่ารัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารเช้าประจำเทศกาลฤดูใบไม้ผลิชุดใหญ่ร้อนฉ่าจากเตาที่เหล่าภรรยาเตรียมเอาไว้ให้
ทันใดนั้นดวงตาที่กำลังง่วงงุนของทหารเฝ้ายามคนหนึ่งซึ่งกำลังฝันถึงภาพแสนหวานที่บ้าน ก็เปลี่ยนไปจับจ้องที่ภาพหนึ่งตรงหน้า เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที สายตามองไปในระยะไกลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ไกลออกไปนั้น สองร่างอ้วนผอมกำลังเดินมายังนครหลวงอย่างช้าๆ เหล่าทหารรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่ทั้งสองปล่อยออกมาได้ทันที จนทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ขั้นราชันยุทธการสองคนรึ” ทหารเฝ้าประตูผู้นั้นรู้สึกตกใจเป็นอันมาก ขั้นราชันยุทธการนั้นถือว่าเกินกำลังที่พวกเขาจะรับมือไหว
“กร้วม กร้วม”
เสียงฟันขบกระดูกดังลอยมาแต่ไกล ควบคู่ไปกับเสียงเคี้ยวดังแจ๊บๆ เสียงทั้งสองนี้ทำให้ทหารเฝ้ายามสองคนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ทั่วร่างกาย รู้สึกได้ถึงความน่าขนลุกที่ใกล้เข้ามา
“พี่ใหญ่ เรามาถึงนครหลวงแล้ว” เสียงอู้อี้ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเคี้ยวกระดูกอีกครั้ง
“ไอ้อ้วนเอ๊ย ไม่พูดไปกินไปมันจะตายหรือ!” อีกเสียงฟังดูรำคาญปนรังเกียจ
“กร้วมๆ ได้… ได้สิ… เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกก็แล้วกันนะ แจ๊บๆ” เสียงหัวเราะที่ฟังดูทั้งจริงใจและทึ่มไปในเวลาเดียวกันพร้อมเสียงเคี้ยวกระดูกดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงกัดฟันกรอดก่นด่าด้วยความเอือมระอาปนโมโหร้ายของอีกฝ่าย
ทหารเฝ้าประตูนครหลวงทั้งสองคนเห็นภาพชายร่างอ้วนผอมที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ชัดขึ้น
เมื่อภาพของพวกเขาปรากฏสู่สายตา รูม่านตาของทหารทั้งสองก็พลันหดแคบ
ผู้มาเยือนคนหนึ่งมีร่างสูงอ้วนท้วน ส่วนอีกคนผอมและเตี้ย คนที่ตัวสูงกว่านั้นอ้วนเป็นอันมาก ร่างทั้งร่างจ้ำม่ำไปด้วยก้อนเนื้อจนดวงตาเล็กหยีแทบจะปิดมิด
ส่วนคนที่เตี้ยนั้นผอมหนังหุ้มกระดูก ปากของเขายื่นออกมา กรามก็เป็นเส้นคมชัด ดูค่อนข้างน่าขบขันไม่น้อย
ชายตัวอ้วนใส่ผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่พร้อมกระเป๋าเย็บปะอยู่ด้านหน้า เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบน่องไก่หอมฉุยเป็นประกายจากไขมันออกมา ก่อนยัดทั้งน่องเข้าปาก ไม่แม้แต่จะพ่นกระดูกออกมาแต่กลืนเข้าไปทั้งหมดหลังจากเคี้ยวสองสามครั้ง
คนที่เตี้ยนั้นก็ไม่ได้ดูปกติเช่นกัน ถึงร่างเขาจะไม่สูงแต่กลับแบกกระทะขนาดใหญ่เบ้อเริ่มเอาไว้บนหลัง กระทะนั้นเกือบจะใหญ่กว่าตัวเขาเสียด้วยซ้ำ ทำให้ดูเหมือนเต่าแบกกระดองไม่มีผิด
“พวกเจ้าสองคน… หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้!” ทหารเฝ้าประตูหยุดทั้งสองเอาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
มองปราดเดียวก็รู้ว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา ด้วยหน้าที่ของการเป็นทหารเฝ้าเมือง พวกเขาต้องหยุดคนทั้งคู่ไว้แล้วสอบถามว่ามาที่นครหลวงด้วยกิจอะไร
“พี่ใหญ่ คนนี้ไม่ให้เราเข้า… กร้วมๆ” ชายอ้วนพูดพร้อมหยิบน่องไก่ออกมาจากกระเป๋าหน้าแล้วโยนเข้าปากอีกครั้ง เริ่มเขียวตุ้ยๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ สายตาจ้องไปที่พี่ใหญ่ร่างเตี้ย
ชายร่างเตี้ยเหลือบมองชายร่างอ้วนด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนหันมาหาทหารเฝ้ายามแล้วเอ่ย “ไม่เอาน่าสหาย พวกเราสองคนเป็นพ่อครัวที่จะมาเข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัวประจำปีนี้ มาจากเมืองอาทิตย์ขจี”
ทหารผู้นั้นชะงักไปชั่วคราว “ชายประหลาดสองคนนี้เป็นพ่อครัวเช่นนั้นรึ… เหตุใดพ่อครัวสมัยนี้ถึงประหลาดกันเสียจริง นี่อุตส่าห์แบกกระทะมาใช้ที่งานด้วยหรือเนี่ย”
เขาทวนชื่อเมืองอาทิตย์ขจีในใจสองสามครั้ง จากนั้นรูม่านตาก็ต้องหดแคบลงเมื่อนึกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเมืองนั้นได้ สายตาของเขาหันไปมองผู้มาเยือนทั้งสองด้วยความตกใจ “เมืองอาทิตย์ขจีรึ อะไรกัน พวกเจ้ามาจากเมืองอาทิตย์ขจีที่เป็นทางเข้าไปยังดินแดนป่ารกชัฏเช่นนั้นรึ”
ชายตัวเตี้ยพึงพอใจกับปฏิกิริยาของทหารเป็นอันมาก เขาเชิดคางแหลมคมขึ้นอย่างเย่อหยิ่งก่อนเอ่ย “เช่นนั้นพวกข้าเข้าไปได้หรือไม่”
ทหารเฝ้ายามกลืนน้ำลายแล้วขยับไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้ทั้งสองเดินตรงเข้านครหลวงไป
แต่ขณะที่ชายร่างอ้วนเดินผ่านทหาร เขาก็หยุดเพื่อยิ้มให้ เนื้อบนใบหน้ากระเพื่อมเป็นลอนๆ
“สหาย เจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย เจ้าให้พวกเราเข้าเมืองด้วย เช่นนั้นเอาอย่างนี้ ข้าจะให้น่องไก่เจ้าครึ่งน่องก็แล้วกัน” ชายอ้วนหยิบน่องไก่ออกมาจากกระเป๋าหน้าของผ้ากันเปื้อนแล้วเอาใส่เข้าปาก ฟันสีขาวขนาดใหญ่ของเขากัดลงบนน่อง แบ่งมันออกเป็นสองส่วน
เขาเคี้ยวน่องไก่ครึ่งหนึ่ง แล้วส่งอีกครึ่งที่เหลือให้ทหาร
ทหารผู้นั้นรับน่องไก่มาด้วยท่าทางตกใจ พร้อมมองทั้งสองด้วยสายตาว่างเปล่าขณะคนทั้งคู่เดินเข้านครหลวงไป
เมื่อชายอ้วนจากไปแล้ว ทหารผู้นั้นก็ดูเหมือนจะตื่นจากภวังค์ เขาโยนน่องไก่ลงบนพื้นด้วยสีหน้ารังเกียจ
“พ่อครัวจากเมืองอาทิตย์ขจีรึ ข้าจำได้ว่าพ่อครัวจากที่นั่นน่ากลัวจนไม่น่าเข้าใกล้!” เขาพึมพำกับตนเอง ใบหน้าดูหวาดกลัวเล็กน้อย
…
“กร้วมๆ พี่ใหญ่ เหตุใดปีนี้เราจึงมาร่วมการแข่งขันด้วย เอาเวลาแข่งไปกินน่องไก่เพิ่มอีกสักน่องสองน่องไม่ดีกว่ารึ จะมาแข่งขันกับพวกพ่อครัวไม่เอาอ่าวนี่ไปทำไมกัน” ชายอ้วนพึมพำด้วยความงุนงง พร้อมเคี้ยวน่องไก่ในปาก
พี่น้องสองคนนี้มีนามว่าอาลู่และอาเหวย คนอ้วนชื่ออาลู่ ส่วนอาเหวยคือคนผอม ทั้งสองเป็นพ่อครัวจากเมืองอาทิตย์ขจีและเป็นผู้มีชื่อเสียงพอตัวในย่านนั้น พวกเขาศึกษาศาสตร์การทำอาหารโดยเป็นลูกศิษย์ของพ่อครัวชราผู้หนึ่ง และมักออกล่าอสูรเวทในดินแดนป่ารกชัฏเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบ อาหารของทั้งสองทั้งอร่อยและห้าวหาญไปในเวลาเดียวกัน
แม้ชื่อเสียงของพวกเขาจะไม่เป็นที่เลื่องลือนักในจักรวรรดิวายุแผ่ว แต่ที่เมืองที่พวกเขาจากมานั้นไม่มีใครไม่รู้จักคนทั้งคู่
“ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่าอย่าพูดกับข้าตอนกำลังเคี้ยวอาหารอยู่! เจ้าจะให้ข้าบอกจนปากเปียกปากแฉะอีกสักกี่ครั้งถึงจะจำใส่กะโหลก! ฮึ… ตาแก่นั่นเป็นคนบอกให้เรามาเข้าร่วมอย่างไรเล่า เขาบอกว่ารางวัลของผู้ชนะในงานสมโภชปีนี้น่าสนใจทีเดียว และหวังว่าเราจะชิงเอารางวัลนั้นไปให้เขาได้ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะเสียเวลามาร่วมแข่งด้วยไปทำอ่าวอะไรกัน” อาเหวยเอ่ยพร้อมพ่นลมเยาะอย่างรังเกียจ พลางเชิดคางคมกริบขึ้น
“รางวัลปีนี้คืออะไรนะ ตาแก่ได้บอกพี่ไหม” อาลู่กลืนน่องไก่ที่เหลือในปากลงท้องไปพร้อมกระดูก จากนั้นก็หันมามองอาเหวยอย่างสงสัยด้วยดวงตาเม็ดก๋วยจี้
“ข้าจะไปตรัสรู้ได้อย่างไรเล่า” อาเหวยพ่นลมเยาะ ตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปพร้อมกระทะขนาดใหญ่เบิ้มบนหลัง
อาลู่ดูงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าด้านหน้าผ้ากันเปื้อนต่อ หยิบน่องไก่กลิ่นหอมมันระยับออกมายัดเข้าปาก ดูเหมือนว่ากระเป๋าผ้ากันเปื้อนนี้จะเป็นคลังเก็บของไร้ก้น และเสบียงน่องไก่ก็ไม่มีวันหมด
จากนั้นอาลู่ก็วิ่งตามอาเหวยผู้เป็นพี่ชายไป
“กร้วมๆ พี่ใหญ่ เราจะไปไหนกันรึ จะไปที่ที่นครหลวงจัดเอาไว้ให้สำหรับพ่อครัวที่จะมาแข่งเลยหรือเปล่า” อาลู่พึมพำถาม
จากนั้นเสียวเกรี้ยวกราดของอาเหวยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ออกไปไกลๆ ข้า! อย่าพูดกับข้าตอนกำลังกินสิโว้ย!
“จะไปที่นั่นทำซากอะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคบค้าสมาคมกับไอ้พวกพ่อครัวขยะเปียกเช่นนั้น เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า!” อาเหวยตอบ
…
ปู้ฟางตื่นนอนเวลาเดิมเป็นกิจวัตร หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เขาก็ตบแก้มสองข้างของตัวเองเบาๆ เพื่อให้ตื่นเต็มตา
เมื่อคืนเขานอนหลับเป็นตาย จึงทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจรู้สึกสงบเป็นอันมาก นี่เป็นการนอนครั้งที่มีประสิทธิภาพที่สุดตั้งแต่เขาจากโลกแห่งความจริงมาอยู่ในโลกนี้
ปู้ฟางเดินเข้าครัวไปฝึกซ้อมทักษะการแกะสลักและการใช้มีดอย่างช่ำชองเหมือนเดิม เขาแกะสลักได้ดีขึ้นมากตั้งแต่เริ่มฝึกซ้อมครั้งแรก จนสามารถสร้างดอกไม้ที่ดูเหมือนจริงขึ้นมาได้ด้วยการแกะสลักเต้าหู้ที่ทั้งอ่อนและนิ่มจนคงรูปร่างแทบไม่อยู่
แต่ความคืบหน้าของทักษะการใช้มีดกลับช้ากว่าเดิม เนื่องจากตอนนี้ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกของเขาขึ้นมาอยู่ที่ระดับสองแล้ว ความยากของมันจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
เมื่อฝึกตามตารางตอนเช้าเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เริ่มทำอาหาร อาหารจานแรกที่เขาทำคือซี่โครงเปรี้ยวหวานของโปรดของเจ้าดำ วันนี้เขาเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติเพื่อให้เจ้าดำอิ่มท้องยิ่งขึ้น
เนื่องจากวันนี้เป็นโอกาสพิเศษอย่างเทศกาลฤดูใบไม้ผลินั่นเอง…
หลังจากนั้นไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยล่องออกจากห้องครัว กลิ่นนั้นหอมเข้มมากเสียจนทำให้ใครก็ตามที่ได้สูดเข้าไปต้องตกอยู่ในภวังค์
ชายหนุ่มเดินถือซี่โครงเปรี้ยวหวานพูนจานออกมา ทันทีที่เขาเอาไม้กระดานปิดทางเข้าออก ลมหนาวก็พลันพัดเข้ามาในตัวร้าน
แม้บรรยากาศของวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิจะครื้นเครงสมเป็นเทศกาล แต่อุณหภูมิก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพ่นควันขาวออกจากปาก แล้ววางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานร้อนฉ่ากลิ่นหอมฉุยลงตรงหน้าเจ้าดำ
เจ้าดำที่กำลังนอนอืดอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นทันที มันลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ลิ้นห้อยออกจากปาก
“เจ้าหมาตะกละนี่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาแค่ต่อหน้าซี่โครงเปรี้ยวหวานสินะ” ปู้ฟางคิด
ตอนที่ปู้ฟางวางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสองเสียงดังมาจากด้านหลัง…
“กร้วมๆ อ้าว… พี่ใหญ่ ตรงนั้นมีร้านอาหารอยู่ด้วย! อะไรกัน กลิ่นเนื้อนี้… หอมเหลือเกิน!”
ปู้ฟางลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่เขาจะได้หันกลับไปมอง เสียงเคี้ยวกระดูกดังลั่นและเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นด้วยความประหลาดใจเสียก่อน
……………….