อาลู่หน้าตาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาจับจ้องไปที่จานซี่โครงเปรี้ยวหวานสีส้มสวยควันฉุยในจานเบื้องหน้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ เขาลืมน่องไก่ในมือที่กินไปครึ่งหนึ่งเสียสนิท ลืมแม้กระทั่งเคี้ยวเนื้อที่เหลืออยู่ในปาก
ซี่โครงเปรี้ยวหวานจานนี้กลิ่นหอมเหลือเชื่อ หอมเสียยิ่งกว่าเนื้อย่างที่ตาแก่จากเมืองอาทิตย์ขจีทำเสียอีก แม้ตาแก่ผู้นั้นจะเป็นคนสอนทั้งสองทำอาหารก็ตาม เมื่อมีตัวเปรียบเทียบเช่นนี้ อาลู่ก็รู้สึกราวกับว่าน่องไก่ในมือของเขาจืดชืดไร้รสชาติไปทันที
อาลู่เหลือบตามองน่องไก่ในมือตน จากนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา เขายัดน่องไก่ใส่ปากเคี้ยวๆ แล้วก็กลืน
สุนัขสีดำตัวใหญ่กำลังจะลงมือกินซี่โครงเปรี้ยวหวานอย่างมีความสุข แต่ร่างของมันกลับสั่นขึ้นมาเสียก่อน มันเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็เห็นสายตาของอาลู่ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความละโมบหิวกระหาย เป้าหมายก็คือซี่โครงเปรี้ยวหวานจานนี้นั่นเอง
“ไอ้มนุษย์นี่กล้าดีอย่างไรบังอาจคิดจะแย่งซี่โครงเปรี้ยวหวานของท่านสุนัขผู้นี้กัน!” เจ้าดำโมโหโทโสเป็นอันมาก! มันลุกขึ้นยืนบังจานซี่โครงเปรี้ยวหวานทันที โดยหันก้นให้อาลู่แล้วกระดิกหางอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อถูกบังสายตาไปเรียบร้อย อาลู่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมล้มเลิกการขโมยกินทางดวงตา เขาจึ๊ปากแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ราวกับกำลังพยายามเลียกลิ่นของซี่โครงเปรี้ยวหวานในอากาศ
“เก็บลิ้นกลับเข้าปากไปเดี๋ยวนี้ เหตุใดจึงทำตัวเหมือนพ่อครัวที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อนเช่นนี้กัน หากเจ้าจะยืนน้ำลายยืดชนิดไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ก็ช่วยกรุณาอย่าไปโพนทะนาให้ชาวบ้านรู้ด้วยว่าเป็นน้องชายข้า!” อาเหยวมุ่นคิ้ว ใบหน้าแทบย่นยู่เข้าหากันด้วยความเดียดฉันท์ แม้ชายหนุ่มจะยอมรับว่ากลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานนี้ไม่เลวเลยทีเดียว… แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ไม่ได้น่าสมเพชเท่าอาลู่ผู้เป็นน้องชาย
ปู้ฟางหันมาเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันเบื้องหลัง ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น มองชายท่าทางประหลาดหลุดโลกด้วยความงุนงง
หนึ่งในนั้นเป็นชายอ้วนในชุดผ้ากันเปื้อน อีกคนเป็นชายร่างผอมที่แบกกระทะไว้บนหลัง…
“ช่างเป็นคู่ที่แปลกอะไรเช่นนี้ มาก่อเรื่องรึ” ชายหนุ่มคิด
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” ปู้ฟางเอ่ยถาม
หลังจากที่โดนผู้เป็นพี่ดุไป คนน้องก็รีบเก็บลิ้นกลับเข้าปากด้วยความลังเล ในใจยังนึกถึงกลิ่นหอมฉุยของซี่โครงเปรี้ยวหวานเมื่อครู่
อาเหวยมองปู้ฟางด้วยสายตางุนงง หลังจากที่ประเมินชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเคลือบแคลงด้วยสายตา เขาก็เปิดปากถาม “เจ้าเป็นคนทำซี่โครงเปรี้ยวหวานจานนี้รึ”
อาหารจานนี้ครบครันด้วยหน้าตาสวยงาม กลิ่นหอมหวน และน่าจะมีรสชาติยอดเยี่ยมพึงใจ ไม่ต้องตั้งใจมอง อาเหยวก็กล้าสรุปว่ามันต้องเป็นซี่โครงเปรี้ยวหวานที่อร่อยสุดยอดอย่างแน่นอน
แต่พ่อครัวที่ดูอายุน้อยกว่าเขาจะสามารถปรุงซี่โครงเปรี้ยวหวานจานเด็ดออกมาได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด… อาเหวยส่ายหน้าอยู่ในใจ เขามั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองมาก ตั้งแต่ได้มาฝึกวิชากับตาแก่ ทักษะของเขาก็ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่มีทางเลยที่พ่อครัวธรรมดาๆ จะเอาชนะเขาได้
“ข้าไม่เชื่อ เจ้าโกหก… ออกไปเรียกพ่อครัวตัวจริงมาเร็ว” อาเหวยพูดพร้อมเหลือบมองปู้ฟาง
ปู้ฟางงงไปสักครู่ ก่อนจะมองอาเหวยด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนไม่เต็มเต็ง หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าให้ไปเรียกพ่อครัวตัวจริงมา ปู้ฟางก็ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วหมอนี่มันจะไปมองหาใครอีก
เขาไม่มีความคิดที่จะสนใจใยดีคนไร้เหตุผลเช่นนี้ จึงหันหลังกลับเข้าร้าน มุ่งหน้าไปที่ห้องครัวทันที
อาเหวยมุ่นคิ้วเข้าหากัน สายตาจ้องไปที่แผ่นหลังของปู้ฟาง เขาเข้าใจผิดเช่นนั้นหรือ สายตาไร้ความสนใจใยดีที่ปู้ฟางมองเขาก่อนจะหันหลังกลับไปนั้น ทำให้เขาเกิดสงสัยในตัวเองขึ้นมา…
“เอาล่ะ อาลู่ เราเข้าไปดูในร้านนี้กัน” อาเหวยเชิดคางแหมขึ้นแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อน
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพวกเราจะมาเจอร้านที่น่าสนใจเข้า ทั้งที่เพิ่งมาถึงนครหลวงได้ไม่นาน” อาเหวยพูดกับตนเอง หลังจากที่รออยู่นาน ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากผู้เป็นน้องชาย จึงหันหน้าไปมองด้วยความฉงนสนเท่ห์ แล้วก็เห็นอาลู่กำลังค่อยๆ ย่องเข้าไปหาเจ้าดำ มือควักน่องไก่ออกมาจากผ้ากันเปื้อน
“เจ้าหมาน้อยน่ารัก อยากจะแลกน่องไก่ของข้าสองน่องกับซี่โครงเปรี้ยวหวานหนึ่งชิ้นของเจ้าไหม สองชิ้นไม่พอรึ สามเล่า สี่ล่ะ”
ขณะที่ค่อยๆ ย่องไปข้างหน้านั้น เนื้อบนหน้าอาลู่ก็สั่นกระเพื่อม เขาตกหลุมรักกลิ่นของซี่โครงเปรี้ยวหวานเข้าเต็มเปาเลยทีเดียว สิ่งเดียวในโลกที่อาลู่ชอบทำมากที่สุดคือการกิน โดยเฉพาะเนื้อนั้นชายอ้วนชอบมากเป็นพิเศษ
เมื่ออาเหวยหันมาเห็นภาพนี้ หน้าอกก็แทบระเบิดด้วยความโกรธเคือง ชายหนุ่มตะโกนใส่น้องชายของตนอย่างบันดาลโทสะทันที “เจ้าทำบ้าอะไรอยู่! รีบย้ายก้นมาตรงนี้เดี๋ยวนี้!”
เมื่ออาลู่ได้ยินเสียงตะโกนด่าของอาเหวย เขาก็แสดงท่าทางลังเลออกมา ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหาพี่ชายตนอย่างละล้าละลัง สุดท้ายทั้งสองก็เดินเข้าร้านไปได้สำเร็จในที่สุด
บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่นเชื้อเชิญมาก หรืออย่างน้อยก็ทำให้อาลู่และอาเหวยรู้สึกประทับใจพอตัว โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาด ความรู้สึกหมดจดไร้ที่ติทำให้พวกเขามีความสุขที่ได้เห็น
อาลู่โยนน่องไก่สี่ชิ้นในมือเข้าปากในคราวเดียว จากนั้นก็เคี้ยวกร้วมๆ ด้วยความไม่พอใจ เขากลืนน่องไก่พร้อมกระดูกในปากแล้วเอ่ย “พี่… พี่ใหญ่! ดูรายการอาหารข้างหลังท่านสิ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น อาเหวยก็หันหลังกลับไปมอง จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วสบถออกมา “ตายห่า… ร้านนี้มันกะจะปล้นกันรึ มันขายแพงกว่าร้านของเราอีกนะเนี่ย”
ร้านของพวกเขาตั้งอยู่ที่เมืองอาทิตย์ขจี โดยอยู่ตรงทางเข้าดินแดนป่ารกชัฏพอดิบพอดี ราคาอาหารในร้านของพวกเขาแพงหูฉี่ แต่ก็แพงอย่างมีเหตุผล วัตถุดิบทุกชนิดที่พวกเขาใช้เป็นสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาด้วยตนเองจากดินแดนป่ารกชัฏ ยิ่งไปกว่านั้นพลังปราณที่อยู่ภายในก็ถูกกักเก็บเอาไว้ครบถ้วนหลังจากที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน อาหารของพวกเขาไม่เพียงอร่อยแต่ยังช่วยเรื่องการฝึกปราณอีกด้วย นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดพวกเขาจึงขายอาหารในราคาแพงได้
แต่ร้านนี้มีหลักคิดเช่นไรจึงกล้าตั้งราคาแพงขนาดนี้กัน หรือว่าเจ้าของร้านเองก็ไปล่าวัตถุดิบมาจากดินแดนป่ารกชัฏเช่นกัน
แต่ต่อให้ออกไปหาวัตถุดิบมาเอง ราคาเช่นนี้ก็แพงเกินไปมากอยู่ดี ที่ร้านของพวกเขามีบางรายการที่ตั้งราคาเป็นหน่วยผลึกอยู่บ้าง แต่ก็มีไม่มาก ทว่าร้านที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้กลับใช้หน่วยผลึกแทบทุกจานเลยทีเดียว…
เอื๊อก
อาเหวยรับอาหารราคานี้ไม่ได้เป็นอันขาด
“เถ้าแก่อยู่ไหน! ข้าจะสั่งอาหาร!” อาเหวยตะโกน
ปู้ฟางเดินออกมาจากห้องครัวอย่างช้าๆ พลางเหลือบไปมองอาเหวย อีกฝ่ายดูไม่พอใจเป็นอันมาก แถมดูเหมือนจะยั่วโมโหอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ
“อ่า จะสั่งอะไร บอกมา” ปู้ฟางถามหน้าตาย
“พี่ใหญ่ เราสั่งซี่โครงเปรี้ยวหวานกันเถิด! ข้าอยากลองกินเหลือเกิน…” อาลู่พึมพำอยู่ข้างกายเขา
“ข้าบอกว่าอย่าพูดกับข้าตอนกินอย่างไรเล่า!” อาเหวยพูดหน้าบูดขณะเหลือบมองอาลู่ ในความเป็นจริงตัวเขาเองก็อยากทำตามที่อาลู่บอกเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ทนความอยากนั้นได้
“เราเริ่มจากข้าวผัดไข่สองชามก่อนก็แล้วกัน การจะวัดระดับฝีมือพ่อครัวก็ต้องดูที่อาหารจานที่เรียบง่ายสุดถึงจะถูก… แถมไอ้ซี่โครงเปรี้ยวหวานบ้านั่นก็แพงแสนแพง หากไม่อร่อยคงเปลืองเงินน่าดู!” อาเหวยเอ่ย
ปู้ฟางยิ้มกว้างขณะเหลือบตามองสองพี่น้องแสนประหลาด จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่บอกให้รอสักครู่แล้วเดินกลับเข้าครัวไปเท่านั้น
อาลู่และอาเหวยหาโต๊ะแล้วนั่งลง แม้บรรยากาศภายในร้านจะแตกต่างจากภายนอกมาก จนทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่เครื่องเรือนที่ใช้ตกแต่งนั้นไม่ใช่เครื่องเรือนหรูหราราคาแพงแม้แต่น้อย หน้าตาของมันเหมือนที่ใช้ตามร้านธรรมดาทั่วไปไม่มีผิด
“พี่ใหญ่ คนอื่นๆ กำลังกินอาหารสุดหรูชุดใหญ่ในวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ แต่พวกเรากลับมากินข้าวผัดไข่กันนี่นะ… เหตุใดจึงไม่สั่งซี่โครงเปรี้ยวหวานมาด้วยเล่า หรือไม่ก็เนื้อตุ๋นตำรับจีนก็ได้…” อาลู่พูดพร้อมกลืนน่องไก่อีกชิ้น
“ฮึ… เจ้าจะบริจาคผลึกในกระเป๋าทั้งหมดให้ร้านบ้านี่เลยหรืออย่างไร เจ้าสมองทึบรึ!” อาเหวยเย้ย
เขาดูหัวเสียเป็นอย่างมาก ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมด้วยกระทะอันเบ้อเริ่มบนหลัง
ใบหน้าของอาลู่เต็มไปด้วยความผิดหวังจนตัวสั่นด้วยความหงุดหงิด “ไม่ได้กินเนื้อเลย… ข้าอยากร้องไห้” อาลู่พึมพำกับตนเอง จากนั้นเขาก็หยิบน่องไก่ออกมาสองน่อง ยัดเข้าปาก แล้วเริ่มเคี้ยวอย่างโกรธเกรี้ยว
ทันใดนั้นเสียงเคี้ยวกร้วมๆ ก็หยุดลง จมูกของอาลู่กระตุกอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเป็นประกายแรงกล้า ขณะมองไปทางห้องครัว
ร่างสูงโปร่งกำลังเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมข้าวผัดไข่ร้อนฉ่าสองชาม
………………..