แววตาคาดหวังของจีเฉิงเสวี่ยมอดดับลงไปทันที ใบหน้าขององค์ชายหนุ่มชะงักกึก
“เขา… เขาปฏิเสธข้า!”
จีเฉิงเสวี่ยแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะองค์ชายสามของจักรวรรดิ มีหลายต่อหลายคนที่อยากคบค้าสมาคมกับเขา กระนั้นคำเชื้อเชิญที่เขาอุตส่าห์มอบให้ชายผู้นี้กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ที่แย่ที่สุดคือ เหตุผลที่เขาโดนปฏิเสธ…
“คุณสมบัติไม่พอ”
เมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ปู้ฟางพูดและสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย องค์ชายสามก็รู้สึกราวถูกศรปักที่กลางใจ
แต่จีเฉิงเสวี่ยก็เป็นคนมีไหวพริบยิ่งนัก แม้เขาจะถูกปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้แสดงความโกรธออกมาแม้แต่น้อย ทำเพียงยิ้มบางๆ เท่านั้น
“ใช่แล้ว ข้า… ข้าคุณสมบัติไม่พอ” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงท้อใจ ราวกับมีบางสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในใจเขา
จักรพรรดิฉางเฟิ่งแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วมีบุตรทั้งหมดสามคนด้วยกัน องค์ชายองค์แรกมีนามว่าจีเฉิงอัน ได้รับการสถาปนาเป็นองค์ชายรัชทายาทเมื่อสิบปีก่อน องค์ชายองค์ที่สองนามว่าจีเฉิงอวี่นั้นได้รับตำแหน่งอ๋อง ส่วนองค์ชายองค์ที่สามจีเฉิงเสวี่ย ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะไม่พอใจในตัวเขาอย่างไรก็ไม่รู้ได้ จึงได้รับเพียงตำแหน่งแม่ทัพเท่านั้น
แม้ตำแหน่งแม่ทัพจะถือว่ามีหน้ามีตามาก แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับตำแหน่งที่องค์ชายองค์แรกและองค์ที่สองได้รับ
“องค์ชายสาม…” เมื่อเซียวเสี่ยวหลงเห็นสีหน้าหดหู่ของจีเฉิงเสวี่ยก็พลันอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเจ้าตัวขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เถ้าแก่ปู้ แม้เจ้าจะไม่สนใจมาเป็นพ่อครัวประจำตัวข้า แต่เคยคิดไว้หรือไม่ว่าวันหนึ่งจะเข้าไปทำงานในครัวหลวง ในฐานะพ่อครัวส่วนตัวขององค์จักรพรรดิ ข้าอาจคุณสมบัติไม่พอ แต่องค์จักรพรรดิน่าจะพอใช่หรือไม่” จีเฉิงเสวี่ยพูดเจือหัวเราะ
ปู้ฟางมองจีเฉิงเสวี่ยแล้วขมวดคิ้ว “ไอ้หมอนี่มันโง่รึ ข้ายังพูดไม่ชัดหรืออย่างไร”
“ข้าไม่สนใจจะไปทำงานเป็นพ่อครัวประจำตัวใครทั้งสิ้น แม้แต่ของจักรพรรดิก็ไม่สนใจ หากเจ้าอยากกินอาหารที่ข้าทำก็มากินที่ร้านเสีย ถ้ามีคนมาก่อนเจ้าก็จงต่อแถว พอกินเสร็จแล้วก็จ่ายเงินมา”
ปู้ฟางเป็นชายที่ฝันอยากเป็นพ่อครัวเทพ แล้วพ่อครัวเทพในอนาคตอย่างเขา จะจำกัดตนเองให้เป็นเพียงพ่อครัวประจำตัวของคนอื่นได้อย่างไร
จีเฉิงเสวี่ยเงียบ ตัวเขาเองเข้าใจได้ว่าเหตุใดปู้ฟางจึงปฏิเสธตำแหน่งพ่อครัวประจำตัวเขา แต่การที่ชายหนุ่มตรงหน้าปฏิเสธตำแหน่งพ่อครัวของจักรพรรดิด้วยนั้น เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย
การได้ทำงานในครัวหลวงและทำอาหารให้จักรพรรดิเสวยมิได้เป็นความใฝ่ฝันของพ่อครัวทุกคนในราชอาณาจักรหรือ
ถ้าเช่นนั้นแล้วความฝันของปู้ฟางคือสิ่งใด
“ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงราคาสิบผลึก โปรดจ่ายเงินด้วย ขอบคุณ” ปู้ฟางพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยจากการพูดคุยกับองค์ชาย
“ของเจ้าสองร้อยเหรียญทอง” ในขณะเดียวกันเขาก็หันไปพูดกับเซียวเสี่ยวหลง
จีเฉิงเสวี่ยมองปู้ฟางด้วยสายตาเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะส่งเงินสิบผลึกให้อีกฝ่าย เซียวเสี่ยวหลงเองก็จ่ายเงินเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากร้านไป
ร้านอาหารเล็กๆ ร้านนี้มีขนาดเพียงสามผิงฟางจ้างเท่านั้น แถมยังไม่มีป้ายร้านด้วย มีเพียงสุนัขสีดำตัวใหญ่นอนอืดอยู่ที่ทางเข้า มีพ่อครัวสูงโปร่งร่างผอมที่ยึดถือหลักปฏิบัติเคร่งครัดและหุ่นเชิดลึกลับที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย นอกจากนี้ยังมีฝีมือการทำอาหารแสนสมบูรณ์แบบ ทั้งยังใช้วัตถุดิบชั้นเลิศที่ไม่รู้ที่มา… ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับเหลือคณนา
หลังจากที่จีเฉิงเสวี่ยออกจากร้านเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เหลียวกลับไปมอง มุมปากขยับขึ้นเป็นรอยยิ้ม “น่าสนใจดี”
พอเก็บถ้วยชามมาล้างเสร็จแล้ว ร้านอาหารก็กลับมาไร้ผู้คนอีกครั้ง ปู้ฟางกลับไปนั่งอาบแดดข้างเจ้าดำ ทำตัวแสนขี้เกียจตามเดิม
แต่ร้านของเขาก็กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองเรียบร้อย หลังจากเหตุการณ์สุดระทึกกับซุนฉีเซี่ยง ข่าวที่ว่าอาหารร้านนี้แพงหูฉี่ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วนครหลวงเช่นกัน โดยฝีมือของเพื่อนบ้านมหาภัย
“พวกเจ้ารู้เรื่องร้านอาหารแปลกๆ ในตรอกกันหรือไม่!”
“หมายถึงไอ้ร้านอาหารใจไม้ไส้ระกำที่ขายข้าวผัดไข่ชามละสิบผลึกน่ะหรือ”
“ไอ้เจ้าของร้านมันโง่เง่าหรืออย่างไร ใครมันจะไปซื้อราคาขนาดนั้น ถ้ามันขายข้าวผัดไข่ได้สักชาม ข้าจะกินข้าวเกรียบที่ข้าขายให้หมดมันเสียเลย!”
…
แต่ในโลกนี้ย่อมมีเศรษฐีมั่งคั่งที่ตามหาสิ่งที่แตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดาเสมอ แน่นอนว่าวิธีการมองโลกของคนสองกลุ่มนี้ก็แตกต่างกันเช่นกัน
ความเงียบสงบไม่ได้อยู่นาน เมื่อร่างสองสามร่างก้าวเท้าเข้าร้านของปู้ฟางมา ชายหนุ่มกำลังนอนขดอยู่บนเก้าอี้ สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มชายน้ำหนักเกินที่เพิ่งเยื้องย่างเข้ามาถึง
ชายอ้วนเหล่านี้ล้วนใส่เสื้อผ้าแพรไหมหน้าตาหรูหรา นิ้วหยาบกร้านพรั่งพร้อมด้วยแหวนทองมากมาย สร้อยคอที่พวกเขาสวมประดับด้วยจี้หยก ส่วนเข็มขัดก็ฝังมรกตส่องประกาย
“ดูก็รู้ว่าเป็นพวกเศรษฐีใหม่” ปู้ฟางคิดกับตนเอง
“เถ้าแก่! ข้าได้ยินมาว่าอาหารที่ร้านเจ้านั้นแพงเหลือใจ แพงแสนแพงเสียยิ่งกว่าร้านปักษาเพลิงนิรันดร์อีก! แน่นอนว่าพวกเราเชื่อว่าอะไรที่ยิ่งแพงก็ยิ่งดี หากอาหารของเจ้าอร่อยเลิศรสจริง เท่าไหร่พวกข้าก็ยอมจ่าย” ผู้นำของกลุ่มพูดเสียงดัง เขามีรูปร่างอ้วนท้วน ใส่ชุดและเครื่องประดับหรูหรา
กลุ่มชายอ้วนเหล่านี้พากันเข้ามาอัดอยู่ในร้านเล็กๆ ทำให้พื้นที่ในร้านดูแคบไปถนัดตา ปู้ฟางลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วเอ่ยถาม “จะสั่งอะไรกินกันรึ”
ผู้นำกลุ่มมองไปที่รายการอาหารพร้อมหรี่ตา แม้แต่กลุ่มชายจ้ำม่ำนี้ยังต้องสูดหายใจเอาลมเย็นเข้าปอด เมื่อเห็นราคาข้าวผัดไข่หนึ่งชาม
“เยี่ยมเลย ร้านของเถ้าแก่นี่ยอดเยี่ยมเหมือนที่คิดไว้ทีเดียวเชียว! ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงหนึ่งชาม!” ชายอ้วนคนหนึ่งพูด
“ข้าขอย้ำอีกรอบนะ ว่าคนที่จะกินข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงได้ต้องมีปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการขึ้นไป หากไม่ถึงกรุณาอย่าสั่ง” ปู้ฟางพูดเรียบๆ
“พี่ใหญ่ของพวกเรามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนครหลวงในฐานะ ‘จูล่ง’ แล้วพลังปราณของเขาจะต่ำกว่าระดับสามขั้นคลั่งยุทธการได้อย่างไรเล่า! ไปทำมาเถอะ!” ชายอ้วนคนอื่นๆ เริ่มส่งเสียงอึกทึก
ปู้ฟางยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่ลอบมองชายอ้วนที่เป็นพี่ใหญ่คนดังกล่าว “หุ่นแบบนี้จะไปเกี่ยวกับจูล่งได้อย่างไรกัน”
ท้ายที่สุดแล้ว กลุ่มชายร่างยักษ์เหล่านี้ก็สั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงสามชาม ข้าวผัดไข่สูตรปกติสี่ชาม บะหมี่แห้งคลุกเจ็ดชาม และผัดผักอีกเจ็ดจาน
แม้แต่คนที่สงบนิ่งอยู่ตลอดเวลาอย่างปู้ฟางยังยกมุมปากกระตุก “สมแล้วที่เป็นคนอ้วน กินจุจริงๆ !”
ปู้ฟางชอบคนกินเก่ง สำหรับเขาการกินเยอะคือพรจากสวรรค์
ชายหนุ่มเดินเข้าครัวแล้วทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการทำอาหาร ผ่านไปสักพัก กลิ่นหอมหวนก็โชยออกจากครัว แพร่กระจายไปทั่วร้าน
“หอมเหลือเกิน! ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรหอมเท่านี้มาก่อนเลย!” กลุ่มชายอ้วนเหล่านี้หยีตา สูดหายใจเอากลิ่นเข้าจมูกด้วยใบหน้าดื่มด่ำเหมือนเมาสุรา
ต่างตั้งหน้าตั้งตารออาหารที่ตนเองสั่งไปอย่างใจจดใจจ่อ
ขณะที่กลุ่มชายร่างอ้วนกำลังรออาหารมาวางที่โต๊ะนั้น ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก็ก้าวผ่านทางเข้าร้านมา
เมื่อเจ้ารู่เก๋อเห็นกองคนอ้วนในร้าน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ทำไมคนถึงเยอะได้นัก” เจ้ารู่เก๋อประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าอ้วนจินรึ ไม่อยากจะเชื่อเลย” เจ้ารู่เก๋อจำคนหนึ่งในกลุ่มชายอ้วนได้ทันที
จินฟูกุ๋ยหรือที่รู้จักอีกนามหนึ่งว่าเจ้าอ้วนจิน เป็นเศรษฐีใหม่ชื่อดังในนครหลวง ครอบครัวเป็นทุนผูกขาดเหมืองผลึกจึงทำให้เขามั่งคั่งเป็นอย่างมาก
ชายอ้วนคนอื่นๆ ก็ทั้งรวยและมีชื่อเสียงในนครหลวงเช่นเดียวกัน
“พวกนี้มากินที่ร้านพรรค์นี้ทำไมกัน ไม่คิดบ้างรึว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับพวกมัน”
“หลีกไปเสีย ข้าจะเข้า” เจ้ารู่เก๋อเอาพัดกระดาษแตะหนึ่งในชายอ้วนเพื่อเปิดทาง ชายอ้วนผู้นั้นตัวสั่น ก่อนเปิดทางให้เขาทันที
ชายหนุ่มร่างโปร่งบีบตัวเข้าไปในร้านผ่านช่องนั้น แล้วเจอปู้ฟางที่เพิ่งเดินออกจากครัวพร้อมข้าวผัดไข่พอดิบพอดี
กลิ่นหอมหวนเข้มข้นนุ่มนวลเหมือนแพรไหมพลันเข้าโอบล้อมร่างของเจ้ารู่เก๋อเอาไว้
“เถ้าแก่ รีบนำอาหารออกมาเสียที! พวกข้ารอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!” เจ้าอ้วนจินตะโกนอย่างหมดความอดทน เนื้อหนังบนใบหน้ากระเพื่อมอย่างรุนแรงตามแรงสั่นสะเทือนของเสียง
“นี่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางวางชามลงแล้วพูดเสียงเรียบ ก่อนหันหลังกลับเข้าครัวไป
เจ้ารู่เก๋อสะดุ้งตื่นจากมนต์สะกด ชายหนุ่มประหลาดใจกับความสามารถในการทำอาหารของปู้ฟางเป็นอันมาก “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเยียนอวี่จึงถูกหมอนี่ล่อเข้ามาได้ ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ช้าก่อน ทำข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงให้ข้าก่อน” เจ้ารู่เก๋อเรียกร้อง
“เฮ้ย! ไอ้ถั่วงอก! มาก่อนได้ก่อนไม่รู้จักหรือ” หนึ่งในชายอ้วนเห็นเจ้ารู่เก๋อพยายามเดินทางลัด จึงหงุดหงิดและตะโกนออกมาทันที
เจ้ารู่เก๋อปรายตามองชายอ้วนด้วยสายตารังเกียจ ก่อนหัวเราะเสียงเย็น “เหตุใดข้าต้องรอทีหลังเจ้าด้วย เจ้าเป็นใครมาจากไหนกล้ามาโอหังกับข้า”
“พับผ่าสิ! ยัวะเป็นบ้า!” ชายอ้วนพลันบันดาลโทสะ “ข้าคือเจ้าของจัตุรัสวิจิตรทัศน์ แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร ไอ้เด็กเปรต”
“ข้าคือเจ้ารู่เก๋อ” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ
เจ้ารู่เก๋อ บุตรชายของเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นเป็นชายที่สูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาประกาศชื่อของตนเองออกไป ชายอ้วนก็เงียบปากลง ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องที่ชายหนุ่มร่างโปร่ง
จากนั้นเขาก็หรี่ตามองเจ้ารู่เก๋ออย่างขมขื่น สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเล
“ก็ได้… บิดาเจ้ามากความสามารถกว่าข้านัก ข้าจะไม่แข่งกับเจ้าก็แล้วกัน”
…………………………………….