ภายในประตูมายาสวรรค์ที่เสียงดังจอแจ พ่อครัวจินที่ศีรษะส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์นั้นโดดดูเด่นสะดุดสายตาทุกคนเป็นอันมาก เขากำลังยืนอยู่หลังเตาทำอาหารเตาหนึ่ง
ใบหน้าของพ่อครัวจินเรียบเฉยขณะปั้นลูกชิ้นในมืออย่างชำนิชำนาญ ลูกชิ้นนี้ทำมาจากเนื้อหลายชนิดผสมกัน แถมรสชาติของมันก็โดดเด่นไม่ธรรมดา มันเป็นอาหารที่พ่อครัวจินภาคภูมิใจ เขาตั้งใจมาอวดฝีมือเต็มที่ในงานสมโภชร้อยครอบครัวปีนี้
ปัง! ปัง! ปัง!
ทันใดนั้นพ่อครัวจินก็หยุดมือที่กำลังปั้นลูกชิ้นพลางสะดุ้งตกใจจากเสียงที่ดังจนหูอื้อ เตาของเขาสั่นเล็กน้อยจนสังเกตได้
เขาเผลอเหลือบมองไปยังทิศทางของต้นเสียง แล้วก็เห็นชายอ้วนคนหนึ่งกำลังทุบชิ้นเนื้อบนเตาของตัวเองอย่างรุนแรงด้วยค้อนขนาดใหญ่ในมือ
“นั่นเรอะวิธีทำอาหารของหมอนั่น ในหัวมันมีสมองอยู่บ้างรึเปล่าเนี่ย” พ่อครัวจินเหน็บออกมาพลางเบ้ปาก คนอื่นๆ ไม่มีใครทำอาหารเหมือนจะยกพวกไปตะลุมบอนอย่างไอ้อ้วนนี่กันสักคน
กึกๆ
ความหนาวสะท้านแล่นไปตามกระดูกทั่วร่างของพ่อครัวจินขณะที่ขนก็ลุกพรึบไปทั้งตัว ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองไปยังด้านหลังของเจ้าอ้วนคนเดิม
ร่างผอมกะทัดรัดซึ่งแบกกระทะสีดำขนาดใหญ่ไว้บนหลังกำลังผ่าร่างของอสูรเวทที่ดิ้นรนไปมาไม่หยุดบนพื้นด้วยมีดสั้นในมือ…
พ่อครัวจินกลืนน้ำลายดังเอื๊อก นัยน์ตาหดแคบขณะที่ความเย็นเยียบพุ่งเข้าเกาะกุมหัวใจ ความบ้าบิ่นในดวงตาของคนผู้นั้นทำให้พ่อครัวจินรู้สึกเหมือนกำลังมองเพชรฆาตผู้ชั่วร้ายอยู่แทนที่จะเป็นพ่อครัว
“คนพวกนี้เป็นใครกันแน่… งานสมโภชร้อยครอบครัวปีนี้ช่างไร้แบบแผนเกินไปแล้ว พวกเขาไม่คัดกรองเหล่าพ่อครัวแม่ครัวที่มาร่วมงานเลยด้วยซ้ำ ไม่สมเหตุสมผลสักนิด”
พ่อครัวจินพึมพำด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจจดจ่อกับการทำอาหารของตนอีกครั้ง
…
ไอน้ำหนาลอยออกมาจากกระทะ ส่วนน้ำที่อยู่ในกระทะก็ใกล้จะเดือดได้ที่แล้ว ตอนนี้ปู้ฟางห่อเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งได้สิบกว่าลูก ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้ทำตามสูตรที่ระบบบอกไว้แต่ใช้สูตรที่เขาปรับปรุงขึ้นเอง เขาใช้วัตถุดิบธรรมดาทำไส้เกี๊ยว เพื่อไม่ให้คนกินต้องรู้สึกไม่สบายตัวจากการกินอาหารที่มีพลังปราณเข้าไป
พ่อครัวแม่ครัวหลายคนทำอาหารเสร็จแล้ว และอาหารของพวกเขาก็ถูกนำไปให้จักรพรรดิและเหล่าขุนนางชั้นสูงเป็นที่เรียบร้อย
ในฐานะขุมพลังที่ปกครองจักรวรรดิ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่คนเหล่านี้จะได้ลิ้มรสชาติของอาหารก่อน
พวกเขาพยักหน้าอย่างยินดีขณะชิมอาหาร อย่างไรเสียอาหารเหล่านี้ก็เป็นฝีมือของเหล่าพ่อครัวแม่ครัวชื่อดัง รสชาติย่อมถูกลิ้นเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อลิ้มลองอาหารตรงหน้าเสร็จ จีเฉิงเสวี่ยก็พยักหน้าอย่างเฉยเมยพลางสั่งให้คนยกอาหารออกไปโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย
เมื่อจานหนึ่งถูกยกออกไป ขันทีก็นำอีกจานมาวางแทนที่
ตอนนั้นเองก็ถึงคราวที่ชาวบ้านจะได้สัมผัสกับรสชาติแสนอร่อยของอาหารมากมายหลายจานเสียที พวกเขาแทบจะอดกลั้นความอยากเอาไว้ไม่ไหวตั้งแต่ที่ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปในอากาศแล้ว ท้องของแต่ละคนส่งเสียงประท้วงออกมาไม่ขาดสาย
อาหารของพ่อครัวจินทำออกมาได้สวยงามดี เมื่อเทน้ำราดที่เตรียมอย่างพิถีพิถันลงบนลูกชิ้นสุขสราญสี่สหายที่ร้อนฉ่าและส่งกลิ่นหอมเข้มข้น อาหารจานนี้ก็พร้อมให้ทุกคนได้กินกัน พอเห็นลูกชิ้นสุขสราญสี่สหายที่ดูยั่วน้ำลายไม่น้อย จีเฉิงเสวี่ยก็เลิกคิ้วพลางพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาคีบลูกชิ้นขึ้นมาลูกหนึ่งพลางอ้าปากกัด
ทันทีที่ฟันของเขากัดลงบนผิวของลูกชิ้น ความชุ่มฉ่ำก็ทะลักออกมาและไหลอวลไปทั่วปาก กลิ่นของมันหอมหวนมากเสียจนจีเฉิงเสวี่ยดูดน้ำที่อยู่ภายในลูกชิ้นไม่หยุด น้ำนี้ไม่ได้มีรสชาติของเนื้อชนิดเดียวแต่เป็นเนื้อหลากหลายชนิดผสมรวมกันอยู่ เมื่อผ่านกระบวนการตระเตรียมอย่างดีจากพ่อครัวจินหัวล้าน รสชาติของเนื้อทั้งหลายจึงไม่ขัดกันแม้แต่น้อย แต่กลับผสมผสานจนเกิดเป็นความอร่อยที่ไม่น่าเชื่อ
เมื่อชิมลูกชิ้นเสร็จ จีเฉิงเสวี่ยก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลังจากได้ลิ้มรสอาหารมามากมายหลายจาน อาหารตรงหน้าเป็นเพียงจานเดียวที่เขาคิดว่าน่าสนใจ
“สมแล้วที่เป็นหัวหน้าพ่อครัวหลวง ไม่เลวเลยทีเดียว” จีเฉิงเสวี่ยเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อพ่อครัวจินที่ยังคงง่วนอยู่หน้าเตาได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจักรพรรดิ เขาก็ปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ชายหัวล้านรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมั่นอกมั่นใจมากขึ้นราวกับมีเมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นไม้แล้วออกดอกออกผลอยู่บนศีรษะของเขาในพริบตาเดียว
ขณะเดียวกันเหล่าขุนนางและชาวบ้านทั่วไปที่ได้ลิ้มรสลูกชิ้นสุขสราญสี่สหายก็เอ่ยปากชมเปาะเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าอาหารจานนี้ถูกอกถูกใจกระเพาะของพวกเขายิ่งนัก
“อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงหัวหน้าพ่อครัวหลวงนี่นะ!” ศีรษะโล้นเลี่ยนของพ่อครัวจินดูเป็นประกายวาววับยิ่งกว่าเดิม ขณะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ฮัมเพลงออกมา “เถ้าแก่ปู้แล้วอย่างไร สองพี่น้องจากเมืองอาทิตย์ขจีแล้วอย่างไร ไร้ความหมายทั้งนั้น!”
ขณะที่มือเรียวของปู้ฟางห่อเกี๊ยวอย่างรวดเร็ว เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งตรงหน้าเขาก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่น้ำในกระทะเดือดได้ที่และไอร้อนที่พุ่งออกมาก็ร้อนพอให้ปู้ฟางหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาก็รีบหย่อนเกี๊ยวลงไปในน้ำ
จ๋อม จ๋อม
ปู้ฟางหย่อนเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งลงในน้ำที่กำลังเดือดปุดทีละตัว พวกมันลอยอยู่บนผิวน้ำครู่หนึ่งก่อนจะจมลงไปที่ก้นกระทะ
ชายหนุ่มเหลือบตามองเกี๊ยวที่จมอยู่ในกระทะครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปห่อเกี๊ยวอีกรอบ เขาเตรียมไส้เอาไว้มากจนน่าจะห่อเกี๊ยวได้หลายร้อยตัว ความเร็วในการห่อเกี๊ยวของปู้ฟางนับว่าไม่ธรรมดา เขาสามารถห่อเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวหนึ่งตัวได้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
“คอยคุมไฟไว้ อย่าให้มันเบาลง” ปู้ฟางเตือนขันทีหนุ่มที่กำลังพัดเตา ขันทีหนุ่มพยักหน้าแล้วกระวีกระวาดเติมฟืนลงในกองไฟทันที
ไม่นานเกี๊ยวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ สายตาของปู้ฟางเฉียบคมแถมมือก็ว่องไว ทันทีที่เกี๊ยวโผล่พ้นน้ำ เขาก็ช้อนมันมาใส่ในชามกระเบื้องสีฟ้าขาวอย่างรวดเร็ว
ชามหนึ่งชามใหญ่พอจุเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งได้เพียงสามตัวเท่านั้น
ผิวของเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งขาวใสเป็นเงางามและไม่ได้สะท้อนแสงสีรุ้งออกมาตามชื่อแม้แต่น้อย มันเรียบลื่นโปร่งใสจนเกือบจะเห็นไส้ข้างใน เมื่อมองจากภายนอก ไส้ที่อยู่ด้านในดูราวกับว่ากำลังส่งกลิ่นหอมเบาบางออกมา ทำให้มันดูยั่วเย้าน่ากินเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเทน้ำซุปลงในชามแล้วโรยหอมซอยลงไป เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ขันทีหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ปู้ฟาง แล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวที่ดูประณีตงดงาม กลิ่นของอาหารจานนี้ดูเบาบางเมื่อเทียบกับอาหารของพ่อครัวแม่ครัวคนอื่นๆ
ทว่าขันทีหนุ่มก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาทำเพียงยกอาหารจานดังกล่าวเดินตรงไปยังจีเฉิงเสวี่ยเท่านั้น
“นี่อาหารของเถ้าแก่ปู้หรือ”
จีเฉิงเสวี่ยเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังขณะมองชามอาหารที่ขันทีหนุ่มยกมา แต่เมื่อได้เห็นเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวหน้าตาธรรมดาพร้อมกลิ่นหอมที่ไม่ได้เข้มข้น ความคาดหวังในหัวใจเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิหนุ่มดูผิดหวังไม่น้อย
ในจักรวรรดิวายุแผ่วไม่มีอาหารที่เรียกว่าเกี๊ยว ด้วยเหตุนี้จีเฉิงเสวี่ยจึงไม่รู้จักสิ่งนี้ แต่เขาเคยลิ้มรสขนมจีบทองคำของปู้ฟางมาแล้ว กลิ่นหอมรุนแรงและความแวววาวของมันยังคงติดอยู่ในความทรงจำของจักรพรรดิหนุ่มมาจนถึงวันนี้ ในทางกลับกันเกี๊ยวน้ำหน้าตาสวยงามในชามสีฟ้าขาวตรงหน้านั้นไม่ได้ส่งกลิ่นหอมอย่างที่เขาคาดหวัง จีเฉิงเสวี่ยจึงทอดถอนใจออกมา
“เถ้าแก่ปู้เรียกอาหารจานนี้ว่าอะไร” แม้จะผิดหวัง แต่จีเฉิงเสวี่ยก็ยังเอ่ยปากถามขันทีหนุ่ม
“เถ้าแก่ปู้บอกว่าจานนี้เรียกว่า เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งพะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มตอบด้วยความเคารพนบนอบ
“หืม สีรุ้งรึ มันจะเป็นสีรุ้งไปได้อย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวนี่เป็นสีขาว” จีเฉิงเสวี่ยประหลาดใจ ชายหนุ่มค่อนข้างสับสนขณะเหลือบสายตามองเกี๊ยวสีขาวตรงหน้าอีกครั้ง แน่นอนว่าสีรุ้งย่อมมีเจ็ดสี แล้วเหตุใดอาหารที่มีชื่อว่าสีรุ้งจึงมีเพียงสีเดียวเล่า
หรืออาหารจานนี้จะมีอะไรพิเศษ ตอนนั้นเองแววตาของจีเฉิงเสวี่ยก็เป็นประกายขึ้นมา จู่ๆ ก็นึกได้ว่าฝีมือการทำอาหารของปู้ฟางนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะทำอาหารธรรมดาๆ ออกมาแน่…
ความคาดหวังในใจของจักรพรรดิหนุ่มที่ก่อนหน้านี้มอดดับไปแล้วโหมลุกขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ชายหนุ่มกระตือรือร้นอยากลิ้มรสเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งขึ้นมา เขาใช้ช้อนตักเกี๊ยวควันกรุ่นขึ้นมาเป่า ก่อนค่อยๆ กัดช้าๆ
ทันทีที่กัดลงบนผิวเกี๊ยวอ่อนนุ่ม ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยก็เบิกกว้าง สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
กลิ่นหอมเข้มข้นพลันระเบิดออกมาภายในปากของจีเฉิงเสวี่ย คลื่นความอร่อยถาโถมเข้าใส่จนชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
ฉับพลันที่กลิ่นหอมรุนแรงทะลักออกมาจากรอยกัดบนตัวเกี๊ยว รูจมูกของจีเฉิงเสวี่ยก็ขยายกว้างเมื่อเขามองเห็นกลิ่นหอมดังกล่าวล่องลอยออกมา…
นี่มันบ้าอะไรกัน กลิ่นนี้เป็นสีรุ้งจริงๆ ด้วย!
……………………