“ท่าน… ท่านผู้อาวุโสสูงสุด!”
ตาแก่ขี้เมาหันหน้าไปมอง แล้วก็เริ่มเข่าอ่อนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นชายชราที่ยืนอยู่เบื้องหลังตน เขาตกใจจนเกือบสิ้นสติตายจากการปรากฏตัวอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดที่ หลังจากที่ตนเพิ่งพูดถึงอีกฝ่ายไปไม่กี่อึดใจก่อนหน้า
ผู้อาวุโสสูงสุดโบกมืออย่างใจดีพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า จากนั้นน้ำเต้าของชายขี้เมาก็ลอยไปเข้ามือเขา ชายชรายิ้มบาง ก่อนจะลองเขย่าน้ำเต้าดู เสียงน้ำกระฉอกดังลอดออกมาเข้าหู
ผู้อาวุโสสูงสุดเปิดฝาน้ำเต้าออก พร้อมจีบนิ้วเพื่อเรียกหยดสุราขนาดเท่าไข่มุกให้ลอยออกจากน้ำเต้า
“สมัยอายุน้อยกว่านี้ข้าก็ชอบดื่มสุราเหมือนกัน” ชายชราพูดกลั้วหัวเราะ เขาลากนิ้วเพื่อนำหยดสุรามาเข้าปาก หยดน้ำนั้นขยายปริมาตรขึ้นจนเต็มปากของเขาทันที
ดวงตาของชายชราหรี่เล็กลง ขณะกำลังดื่มด่ำกับรสชาติของสุรา เขาจึ๊ปากก่อนจะโยนน้ำเต้าคืนให้ตาแก่ขี้เมา
“เหล้าสูตรนี้ของเจ้าใช้ได้ แต่ยังพัฒนาได้อีก” ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้มบาง
ดวงตาของตาแก่ขี้เมาวาวโรจน์ขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน เขาหันขวับไปมองผู้อาวุโสสูงสุด จากนั้นก็ถามด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด มีสุราที่รสชาติเยี่ยมยอดยิ่งกว่าลมหายใจมังกรที่ข้าตั้งใจหมักอย่างสุดความสามารถนี้ด้วยหรือ”
“มีแน่นอนอยู่แล้ว โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมาย ทวีปมังกรซ่อนเร้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ บนโลกใบนี้เท่านั้น อีกไม่นานเจ้าจะได้ลองลิ้มชิมรสสุราชั้นเลิศแน่นอน” ชายชราพูดกลั้วเสียงหัวเราะ พร้อมลูบเคราสีขาวของตนไปด้วย จากนั้นเขาก็หันไปมองหนี่หยันแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เจ้าบรรลุขั้นปราณแล้วรึ ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว ดูเหมือนว่านครหลวงจะเป็นสวรรค์สำหรับเจ้าสินะ” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม
หนี่หยันอาจทำตัวโอหังต่อหน้าตาแก่ขี้เมา แต่นางสงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าผู้อาวุโสสูงสุด ที่เป็นบุคคลในตำนานของสำนักความลับแห่งสวรรค์เสมอ “เจ้าค่ะ ข้าโชคดีได้กิน… ได้โชคลาภที่นครหลวงเจ้าคะ”
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรหรอก ข้าอยากให้เจ้าไปเยือนนครหลวงอีกรอบหนึ่ง ในอนาคตอันใกล้นี้สมบัติแสนประหลาดล้ำจะปรากฏขึ้นที่นั่น ทำให้เต็มที่แล้วพยายามนำมันมาให้ได้ แต่หากทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมเอามือไพล่หลัง
หนี่หยันประหลาดใจไปชั่วครู่ ให้ไปนครหลวงอีกรอบรึ แปลว่าจะมีเหตุการณ์สนุกๆ เกิดขึ้นที่นั่นใช่หรือเปล่า
…
กว่าปู้ฟางจะกลับถึงร้านฟ้าก็มืดแล้ว เขาไม่ได้เปิดร้านต่อ แต่กลับไปนั่งครุ่นคิดอย่างหนักอยู่บนเก้าอี้
ระบบมอบรางวัลใหม่ให้เรียบร้อย ตอนแรกเขาตั้งใจจะทำอาหารรายการใหม่นี้ แต่สุดท้ายกลับมานั่งจิตใจจดจ่ออยู่กับเมล็ดพืชที่เพิ่งได้มาเสียนี่
“ระบบ เจ้าบอกให้ข้าชนะที่หนึ่งในงานสมโภชร้อยครอบครัว เพื่อที่จะเอาเมล็ดพืชนี้กลับมาเช่นนั้นหรือ เจ้านี่มันพิเศษอย่างไรไม่ทราบ” ปู้ฟางถามด้วยความงุนงง
ระบบไม่ได้ตอบทันทีแต่เงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นายท่านยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะขอข้อมูลเกี่ยวกับเมล็ดพืชนี้ นายท่านจะขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ก็ต่อเมื่อเมล็ดพืชถูกปลูกจนโตและออกผลเรียบร้อยแล้ว”
ใบหน้าของปู้ฟางมืดมนลงเมื่อได้ยินคำตอบของระบบ หมายความว่าอย่างไรกันที่เขายังมีคุณสมบัติไม่มากพอที่จะขอข้อมูลของเมล็ดพืชนี้ จะดีเลวอย่างไรเขาก็มีปราณถึงขั้นราชันยุทธการเชียวนะ!
แต่มานั่งเดือดดาลไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ด้วยนิสัยของระบบแล้ว ปู้ฟางรู้ดีกว่าใครว่าตนเองจะไม่มีวันได้รับข้อมูลเพิ่มเติมแน่นอน หากระบบประกาศออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้
โชคดีที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้หมกมุ่นร้อนรนกับเมล็ดพืชที่ว่านี้มากนัก
“ข้าต้องปลูกอย่างไร และที่ใดเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ระบบได้เตรียมกระถางต้นไม้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว นายท่านนำเมล็ดไปปลูกในกระถางได้เลย” เสียงจริงจังของระบบดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ากระถางต้นไม้ขนาดเท่ากะละมังปรากฏขึ้นในกระเป๋าคลังเก็บ
“กระถางต้นไม้กระแสเวลาสามารถเร่งอัตราการเติบโตของพืชได้” ระบบนำเสนอ
ปู้ฟางหยิบกระถางต้นไม้สีดินเผาหน้าตาน่าเกลียดเป็นที่สุดออกมา แล้ววางมันเอาไว้ที่มุมหนึ่งภายในร้าน กระถางต้นไม้นี้มีดินใส่อยู่เต็มแล้ว และด้วยลักษณะการทำงานของระบบ ดินที่ใส่อยู่ในกระถางย่อมไม่ใช่ดินธรรมดาอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มหยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากดินที่ส่งผ่านมายังมือจนทำให้มือแทบแข็ง
ปู้ฟางขมวดคิ้ว จากนั้นก็หยิบเมล็ดพืชสีดำออกมา เขาขุดดินให้เป็นหลุมเล็ก หย่อนเมล็ดพืชลงไปแล้วจัดการกลบหลุมให้เรียบร้อย
“ดินเย็นขนาดนี้เมล็ดไม่ตายหรือ แถมไอ้เมล็ดนี่ก็ดูเหมือนจะงอกยากอยู่แล้ว เอาไปใส่ในดินที่เย็นมากขนาดนี้จะไม่งอกยากไปกว่าเดิมหรือ” ปู้ฟางรู้สึกงุนงงพอตัว แต่นี่อาจเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของพืชชนิดนี้ก็เป็นได้
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมปัดเศษดินออกจากมือ จากนั้นก็เดินเข้าครัวไปล้างมือด้วยน้ำเปล่า
เขาหยิบมีดทำครัวออกมาแล้วเริ่มฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลักอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจพอแค่นี้สำหรับวันนี้ งานสมโภชร้อยครอบครัวนั้นเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับพ่อครัว และปู้ฟางก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินจากการทำงานมาทั้งวัน
ปู้ฟางเดินกลับเข้าห้องไปแล้วอาบน้ำอยู่นานสองนาน จนไอน้ำลอยออกจากห้องน้ำเข้ามายังบริเวณห้องนอน
หลังจากที่แช่น้ำเสร็จ ชายหนุ่มก็มานอนอืดอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ เขาหลับตาแล้วผล็อยหลับลึกไปในที่สุด
เช้าวันต่อมาปู้ฟางตื่นขึ้นมาในเวลาปกติ ชายหนุ่มล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกจากห้องนอนไปเข้าครัว เขาหยิบมีดทำครัวออกมาพร้อมหัวไชเท้าเพื่อเริ่มฝึกซ้อมทักษะการใช้มีด การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับสอง แถมตอนนี้ยังมีเวลาจำกัดอีกด้วย
นอกจากนี้ปู้ฟางเองก็ไม่ได้ละเลยการฝึกทักษะการแกะสลัก หลังจากที่ฝึกทักษะการใช้มีดเสร็จเขาก็ย้ายไปฝึกแกะสลักต่อ ความเชี่ยวชาญของเขาในสองด้านนี้ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ
หลังจากที่ทำซี่โครงเปรี้ยวหวานเสร็จ ปู้ฟางก็เดินออกจากครัวพลางทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นเนื้อ เขาเอาไม้กระดานออก ลมหนาวพัดหอบเข้ามาในร้านทันที หลังจากที่จบเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หิมะก็ตกหนักขึ้นอีก ส่วนอากาศก็หนาวขึ้นมาเป็นเงาตามตัว
“เจ้าดำ ได้เวลาอาหารแล้ว” ปู้ฟางร้องเรียกพร้อมหดคอลงในเสื้อ แล้วก้าวเท้าออกจากร้านที่แสนอบอุ่น ด้วยความที่เขาใส่เสื้อผ้าบาง จึงรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บจนขนลุกไปทั้งตัวได้ทันที
แต่เจ้าดำกลับไม่ได้แยแสต่อความหนาวเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของมันมองเห็นแต่ซี่โครงเปรี้ยวหวานจานใหญ่เท่านั้น มันหอบแฮ่กลิ้นห้อยจากปาก ดวงตาจับจ้องไปที่จานในมือปู้ฟางด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หลังจากที่วางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินเข้าร้านไป แทบรอไม่ไหวที่จะได้กลับเข้าสู่บรรยากาศอบอุ่นสบายตัวอีกครั้ง
ตอนนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นตรงปากทางเข้าตรอก จากนั้นร่างท้วมที่พันไว้ด้วยชุดกันหนาวตัวหนาก็ปรากฏขึ้น
ปู้ฟางมองเจ้าอ้วนจินเดินปุ๊กลุกเหมือนลูกชิ้นยักษ์เข้ามาในร้าน ชายอ้วนพ่นลมเย็นออกจากปากแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่ปู้ วันนี้ข้างนอกหนาวเป็นบ้าเลยนะ”
“ในร้านนี้อบอุ่นสบายตัวที่สุดแล้ว ความรู้สึกอบอุ่นนี้ทำให้ข้าอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยทีเดียว” เจ้าอ้วนจินพูดพร้อมนั่งลงอย่างยินดีปรีดา แล้วถอดเสื้อกันหนาวออก
ปู้ฟางพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“จะว่าไป เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งเมื่อวานนี้… ช่างยอดเยี่ยมจนข้าไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย อร่อยมากเสียจนข้าอยากจะกินลิ้นตัวเองเข้าไปเลยทีเดียว ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย ท่านจะนำรายการนี้มาขายในร้านหรือไม่” เจ้าอ้วนจินถาม
สายตาของปู้ฟางว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองที่รายการอาหารบนผนังตามสัญชาตญาณ แน่นอนว่ารายการนี้ไปปรากฏบนผนังเรียบร้อยแล้ว
“เกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุป ชามละร้อยผลึก”
เจ้าอ้วนจินสูดลมหายใจเข้าลึก “ร้อยผลึกเลยรึ… เถ้าแก่ปู้ ไม่แพงเกินไปรึ วัตถุดิบที่ท่านใช้ทำเกี๊ยวเมื่อวานก็เป็นวัตถุดิบธรรมดาเท่านั้น ตั้งราคาสูงขนาดนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
อาหารที่ร้านของปู้ฟางส่วนใหญ่เต็มไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมากอัดแน่นอยู่ภายใน นอกจากนี้รสชาติยังอร่อยจนไม่น่าเชื่อ การจะทำเช่นนี้ได้จะต้องใช้วัตถุดิบที่ราคาแพงจับใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งที่เจ้าอ้วนจินกินเมื่อวานนั้นใช้วัตถุดิบอย่างผลไม้และพืชผักธรรมดา การตั้งราคาสูงขนาดนี้ หากไม่เรียกว่าทำนาบนหลังคนก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี
แม้เจ้าอ้วนจินจะเป็นเจ้าของเหมืองผลึก แต่การใช้เงินเหมือนเป็นเบี้ยเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
คำถามของเจ้าอ้วนจินทำให้ปู้ฟางตกใจไปชั่วขณะ เขามองหน้าชายอ้วนอย่างงุนงงแล้วถามออกมา “ใครบอกเจ้าว่าข้าจะใช้วัตถุดิบธรรมดาทำเกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุปกัน”