ความจริงแล้วเจ้ารู่เก๋อเป็นคนไม่ค่อยโอ้อวด เขาไม่เคยเที่ยวป่าวประกาศบอกใครต่อใครว่าตนเองเป็นบุตรชายของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เนื่องจากไม่ต้องการเติบใหญ่ภายใต้ร่มเงาความสำเร็จของบิดา
หรือจะพูดให้ถูกคือ เจ้ารู่เก๋อนั้นไม่ได้เป็นพวกเสเพลเหมือนซุนฉีเซี่ยง เขาเป็นคนยึดมั่นถือมั่นในอุดมการณ์ตน ชายหนุ่มคาดหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อมีคนพูดชื่อของเขา คนเหล่านั้นจะนึกถึงตัวตนที่เขาเป็นจริงๆ ไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็นบุตรชายของเสนาบดีฝ่ายซ้าย
ทั้งหมดคือเหตุผลที่ทำให้เจ้ารู่เก๋อร่ำเรียนศาสตร์การป้องกันตัวตั้งแต่อายุห้าขวบ เรียนวิเคราะห์บทกลอนและวรรณกรรมตอนอายุเก้าขวบ และคุ้นชินกับปรัชญาแห่งร้อยปราชญ์ หลากสำนักตอนอายุสิบห้า เจ้ารู่เก๋อใฝ่ฝันอยากเป็นกุนซือมือหนึ่งด้านยุทธวิธี จึงต้องศึกษาหาความรู้ในทุกๆ ด้านให้เพียงพอ
แม้ในช่วงหลายปีมานี้ชายหนุ่มจะยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ความพยายามของเขาก็จัดว่าไม่ได้สูญเปล่า เพราะอย่างน้อยชื่อของเขาก็ทำให้หลายคนในนครหลวงหวาดกลัวได้
เจ้าอ้วนจินเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เกรงกลัวเขา ด้วยความที่ตัวเจ้าอ้วนจินเป็นเจ้าของเหมืองผลึก จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำงานร่วมกับคนของทางการมากมาย ตัวเขาจึงรู้เรื่องต่างๆ มากกว่าคนอื่น เช่น เขารู้ความจริงที่ว่าเจ้ารู่เก๋อเป็นคนวางแผนฆ่าผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการของสำนักหนึ่ง
เจ้าอ้วนจินรู้ดีว่าเจ้ารู่เก๋อเป็นคนมุทะลุ ระแวดระวัง ยึดมั่นถือมั่น และทะเยอะทะยานเป็นอันมาก
“ถ้านายน้อยเจ้าอยากสั่งก่อนก็ให้เขาสั่งไป” เจ้าอ้วนจินเงยหน้าขึ้นพูด ปากยังคงกินต่อไป เขาไม่อยากเห็นสหายของตนมีเรื่องกับคนเหลี่ยมจัดอย่างเจ้ารู่เก๋อ มิเช่นนั้นวันหนึ่งอาจตายโดยไม่รู้ตัวได้
ชายอ้วนคนอื่นๆ ทำได้เพียงถอยหลังออกมาด้วยสีหน้าขมขื่นเท่านั้น
เจ้ารู่เก๋อพอใจเป็นอันมากกับปฏิกิริยาที่ได้รับ เขาปรายตามองกลุ่มเศรษฐีใหม่อย่างเหยียดหยัน ก่อนยิ้มเยาะด้วยสีหน้ายโส
ปู้ฟางจับตามองเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไม่สนใจที่จะพูดด้วย
ในที่สุดเจ้ารู่เก๋อก็หันกลับมามองปู้ฟางอีกครั้ง แล้วพูดสั่งอย่างเอาแต่ใจตน “เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปทำอาหารให้ข้าอีก มัวรออะไรอยู่เล่า”
สีหน้าของพ่อครัวหนุ่มเรียบเฉย ขณะเอ่ยปากตอบอย่างไร้ความรู้สึก “ร้านของเรามีกฎอยู่ ห้ามซื้อกลับบ้าน ลูกค้าแต่ละคนสั่งได้รายการละหนึ่งจานต่อวัน ห้ามเข้ามาก่อความไม่สงบภายในร้าน ห้ามแซงผู้อื่น ร้านเปิดเพียงชั่วยามครึ่งเท่านั้น”
“นี่เจ้ากำลังเน้นว่าห้ามลัดคิวผู้อื่นเช่นนั้นรึ” เจ้ารู่เก๋อหัวเราะคิก ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก มันก็แค่กฎของร้านเล็กๆ ในตรอกห่างไกลเท่านั้น แถมกฎก็เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งแปลว่าละเมิดได้เสมอ
ปู้ฟางมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเอาจริง “ไม่ใช่ ข้าจะเน้นว่าห้ามเข้ามาก่อความไม่สงบภายในร้านและห้ามแซงผู้อื่น นอกจากนี้… ร้านเปิดเพียงชั่วยามครึ่งเท่านั้น ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ก้านธูปเดียว”
“ในเมื่อข้าสั่งให้เจ้าทำอาหารให้ข้ากิน ก็รีบไสหัวเข้าครัวไปทำเสีย! เป็นแค่พ่อครัวต่ำต้อย ริอ่านมาตั้งกฎโง่เง่าไร้สาระ! แค่คนอย่างข้ามากินที่ร้านเจ้าก็เป็นบุญหัวมากแล้ว อย่ามาเสนอหน้าทำเป็นยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา” เจ้ารู่เก๋อเริ่มเหนื่อยจะเสวนากับปู้ฟาง จึงตะโกนออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบชายอ้วนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เพื่อแย่งที่นั่งมาเสีย
ดูเหมือนจะมีคนโง่มาทำให้ชายที่จะเป็นพ่อครัวเทพในอนาคตโกรธอีกแล้ว
ปู้ฟางยังคงมีสีหน้าเฉยเมย “ผู้ที่ทำผิดกฎจะถูกคาดโทษ และร้านของข้าก็จะไม่รับคนที่ประพฤติตนเช่นนี้อีก ดังนั้นกรุณารอตามลำดับก่อนหลังด้วย”
หลังจากพูดสิ่งที่ต้องการจบ ปู้ฟางก็เดินเข้าครัวไปโดยไม่สนใจเจ้ารู่เก๋อที่กำลังโมโหโทโสตบโต๊ะป้าบๆ แม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็นำข้าวผัดไข่ออกมาให้ลูกค้า เขาเดินถือชามออกมาวางลงตรงหน้าชายอ้วนคนหนึ่ง เมินเจ้ารู่เก๋อที่กำลังโกรธเกรี้ยวโดยสิ้นเชิง
ข้าวผัดไข่ถูกนำออกมาวางอีกชาม แต่เจ้ารู่เก๋อก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง
หลังจากที่ปู้ฟางทำข้าวผัดไข่เสร็จทั้งหมดเจ็ดชาม กลิ่นหอมหวนก็ตลบอบอวลไปทั่ว ราวกับร้านทั้งร้านได้กลายเป็นทะเลที่มีกลิ่นหอมชวนฝัน เจ้ารู่เก๋อที่กำลังถูกโอบล้อมด้วยทะเลแห่งกลิ่นอาหาร รู้สึกเหมือนโดนยืดเวลาความทรมานออกไป ท้องของเขาร้องโครกครากไม่หยุด
“เจ้าทำบ้าอะไรอยู่! ข้าวผัดไข่ข้าอยู่ไหน เหตุใดจึงยังไม่ได้อีก!” เจ้ารู่เก๋อที่รอมาสักพักเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป
ปู้ฟางปรายตามองอีกฝ่าย “ยังเหลือบะหมี่แห้งคลุกอีกสามชามและผัดผักอีกสามจาน ก่อนจะถึงตาข้าวผัดไข่ของเจ้า”
เจ้ารู่เก๋อสูดหายใจเข้าลึก ความโกรธที่สะสมอยู่ในอกเริ่มล้นออกมา ผมของชายหนุ่มปลิวไสวไปในอากาศ แสงเจิดจ้าเริ่มไหลวนอยู่ในผิวกาย
“คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเสียที เหตุใดพ่อครัวต่ำต้อยอย่างเจ้าถึงอาจหาญมาท้าทายคนอย่างข้าได้” รูม่านตาของเจ้ารู่เก๋อเริ่มเป็นประกายระยับ ไอพลังน่ากลัวแผ่ออกจากกาย
พลังปราณของเจ้ารู่เก๋ออยู่ที่ระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ เขาถือได้ว่าเป็นหัวกะทิในหมู่ผู้ฝึกตนรุ่นใหม่แห่งนครหลวง แม้ว่าจะเทียบอะไรไม่ได้กับปีศาจอย่างเซียวเยียนอวี่จากจวนแม่ทัพเซียว รวมถึงบุตรแห่ง ‘ขุนศึกพิทักษ์จักรวรรดิ’ หยางเฉิน แต่ตัวเขาเองก็จัดว่าเหนือชั้นกว่าอันธพาลอย่างซุนฉีเซี่ยงมากนัก
“เจ้าจะอาละวาดในร้านข้าหรือ”
ปู้ฟางไม่กลัวแม้แต่น้อย ถึงไอพลังที่ร่างกายเจ้ารู่เก๋อปล่อยออกมาจะทรงอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” เจ้ารู่เก๋อเย้ย ก่อนยกมือขึ้นเรียกไอพลังปราณเที่ยงแท้ให้ก่อตัวบนฝ่ามือ
“ก่อนที่เจ้าจะมาเหยียบร้านข้า มีชายกว่าร้อยคนเข้ามาหวังทำลายร้านข้าให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ก็ต้องเผ่นกลับบ้านไปเนื้อตัวล่อนจ้อน เจ้าเองก็อยากล่อนจ้อนกลับบ้านไปอีกคนสินะ” ปู้ฟางพูดหน้าตาย
เจ้ารู่เก๋อลังเลเล็กน้อย แต่ก็พลันยิ้มเหยียดหยัน “อย่าเอาข้าไปเทียบกับพวกขยะเปียกเหล่านั้น หากเจ้าอ้อนวอนร้องขอความเมตตาจากข้าตอนนี้ แล้วเดินเข้าครัวไปทำข้าวผัดไข่เสีย ข้าก็ยังพอจะยกโทษให้ได้ แต่ถ้าไม่แล้วละก็… ลืมไปได้เลยว่าจะยังเสนอหน้าขายอาหารได้อยู่อีก”
“ยังเหลือบะหมี่แห้งคลุกอีกสาม กับผัดผักอีกสาม”
“แส่หาเรื่องเองนะ!”
เจ้ารู่เก๋อโกรธจัดถึงขีดสุด เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า พลังปราณเที่ยงแท้หลั่งไหลออกจากฝ่ามือขณะเดินเข้าไปหาปู้ฟาง ชายหนุ่มมั่นใจมากว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีวันหลบการโจมตีของเขาได้
ปู้ฟางยืนนิ่งอย่างสงบ สายตามองเจ้ารู่เก๋อที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะถึงตัว เสียงหวีดหวิวของลมที่พัดโหมออกจากฝ่ามือของเจ้ารู่เก๋อก็โถมเข้าใส่ปู้ฟางจนเส้นผมของชายหนุ่มปลิวไสว
เจ้าอ้วนจินหรี่ตามอง รัศมีรอบกายเปลี่ยนไปทันที เขาจิกปลายเท้าลงบนพื้น ร่างโจนทะยานขึ้นในอากาศ หมายหยุดยั้งเจ้ารู่เก๋อ
“เจ้าขาว” ปู้ฟางเรียกเสียงเบา
ดวงตาของเจ้าอ้วนจินเบิกกว้าง ขณะที่หุ่นเชิดโลหะสีขาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าปู้ฟาง
ฝ่ามือของเจ้ารู่เก๋อกระแทกลงบนตัวหุ่นเชิดโลหะอย่างจัง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ชายหนุ่มเจ้าของการโจมตีชะงักงัน รวมถึงเจ้าอ้วนจินด้วยเช่นกัน
“พวกที่เข้ามาก่อความไม่สงบจะต้องโดนจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี!”
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบปริบ จากนั้นดวงตาของทั้งเจ้ารู่เก๋อและเจ้าอ้วนจินก็พลันพร่าเลือน ทั้งสองรู้สึกราวกับตนเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ
“ปัง!”
เจ้ารู่เก๋อเป็นคนแรกที่ถูกจับโยนออกนอกร้าน หน้าปักลงไปในโคลนตมเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงลมหนาวที่โอบไล้ร่างกาย แล้วก็พลันเห็นว่าบัดนี้ตนเองเหลือเพียงผ้าเตี่ยวผืนเดียวไว้กำบังจุดยุทธศาสตร์ เสื้อผ้าที่เหลืออันตรธานไปหมด
เขาโงหัวขึ้นด้วยความโกรธแล้วหันไปมองหน้าร้าน แต่สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นความสยองพองขนทันที เมื่อได้เห็น… ก้อนเนื้อสีขาวที่ปลิวตามออกมาจากประตูร้านกระเพื่อมเป็นริ้วๆ อยู่ในอากาศ และกำลังจะกระแทกลงมาบนตัวเขา
“ตูม!” พื้นทั้งบริเวณสั่นไหวเล็กน้อย
เจ้าอ้วนจินรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เขาไม่ได้พยายามจะก่อความไม่สงบ เพียงแต่อยากช่วยเท่านั้น
หลังจากที่ร่างกระแทกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง เจ้าอ้วนจินก็ขยับตัว รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งอยู่เบื้องล่างตน ตอนนั้นเองเสียงโกรธเกรี้ยวสติหลุดก็ลอยออกมาจากด้านล่าง ทำให้เจ้าอ้วนจินต้องรีบลุกขึ้นยืน
เจ้ารู่เก๋อเลือดกำเดาไหลเยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาละมุนละไมของเขาดูบูดเบี้ยวผิดที่ผิดทางเล็กน้อย
ปู้ฟางเดินออกมายืนกอดอกหน้าร้าน โดยมีเจ้าขาวยืนสะท้อนแสงอยู่เบื้องหลัง
“วันนี้ร้านปิดแล้ว อยากกินก็กลับมาใหม่พรุ่งนี้ แล้วก็จ่ายเงินเสียด้วย ทั้งหมดสามสิบสี่ผลึก แปดร้อยเหรียญทอง”
ปู้ฟางพูดอย่างไร้อารมณ์ สายตาเหลือบมองหนึ่งในกลุ่มชายอ้วน
ชายผู้นั้นตัวสั่นแล้วรีบจ่ายเงินทันที จากนั้นกลุ่มเศรษฐีใหม่ก็พากันเดินออกจากร้านไป
เจ้ารู่เก๋อจากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทำสีหน้าข่มขู่อาฆาตเรียบร้อย แต่ใครก็ตามที่ได้เห็นก้นขาวเนียนของเขาที่หันหลังเดินจากไปคงรู้สึกหวาดกลัวไม่ลง
“ฮ่าๆ ! ร้านเจ้าน่าสนใจดี ไว้ข้าจะมาใหม่พรุ่งนี้!” เจ้าอ้วนจินนึกย้อนไปถึงรสชาติแสนอร่อยของข้าวผัดไข่ แล้วก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็เดินอาดๆ จากไปพร้อมกลุ่มสหายตัวอ้วน ไขมันสั่นกระเพื่อมไปตามขาที่ก้าวเดิน
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่หน้าร้านพ่นลมเยาะ มันกลอกตาก่อนหลับไปตามเดิม ปู้ฟางมองตามกลุ่มชายอ้วนไป จากนั้นก็ปิดร้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อกลับเข้าห้องเรียบร้อย ปู้ฟางก็คำนวณความก้าวหน้าในการทำภารกิจใหม่ของตนเองในวันนี้ ภายในเจ็ดวันเขาจะต้องทำกำไรให้ได้ร้อยผลึกและหนึ่งพันเหรียญทอง ในส่วนของเหรียญทองนั้นเขาทำยอดถึงแล้ว เหลืออีกประมาณห้าสิบผลึกที่ยังต้องทำต่อ ซึ่งเทียบเท่ากับการขายข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงให้ได้อีกห้าชาม
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ หากกลุ่มคนอ้วนนั่นกลับมาอีกพรุ่งนี้” ปู้ฟางพึมพำกับตนเอง
…
“ตายแล้ว นั่นมันนายน้อยเจ้ารู่เก๋อบุตรชายเสนาบดีฝ่ายซ้ายมิใช่หรือ เหตุใดจึงเดินแก้ผ้าล่อนจ้อนเช่นนั้น ก้นขาวเป็นบ้า!” เจ้าของร้านขายผักพึมพำ
“เป็นบุตรชายเสนาบดีฝ่ายซ้ายจริงเสียด้วย ก้นเขานี่เนียนสวยกว่าก้นผู้หญิงอีกนะเนี่ย!” เจ้าขายร้านขายหมั่นโถเอ่ย
“ช่วงนี้วัฒนธรรมการวิ่งแก้ผ้ารอบเมืองกำลังเป็นที่นิยมในนครหลวงรึ เช่นนั้นวันหลังเรามาทำกันบ้างไหม” ช่างตีเหล็กพูดเสียงดัง
…
“ไอ้เลวปู้ฟาง! หากข้าไม่ได้บดขยี้เจ้าและร้านกะหลั่วๆ ของเจ้าด้วยน้ำมือข้า ข้าจะไม่ขอเรียกตนเองว่าเจ้ารู่เก๋ออีกต่อไป!” เจ้ารู่เก๋อที่กำลังเอากระจาดบังกายคำรามด้วยโทสะ น้ำตาปริ่มๆ อยู่ในดวงตา
……………………………