นายน้อยแห่งตำหนักเมฆาขาว อู๋อวิ๋นไป่ ทอแสงเจิดจรัสให้ฐานะผู้ฝึกตนมากพรสวรรค์ตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงเป็นที่ประคบประหงมโปรดปรานของเจ้าสำนักตำหนักเมฆาขาวเป็นอันมาก ขั้นปราณของนางในตอนนี้อยู่ที่ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ และกำลังจะก้าวขึ้นสู่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการในเวลาไม่ช้า
นางได้รับยกย่องว่าเป็นศิษย์พรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งผู้ฝึกตนรุ่นต่อไป หากไม่ใช่เพราะนางเป็นสตรี ก็อาจได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไปของตำหนักเมฆาขาวก็เป็นได้
ตำหนักเมฆาขาวเป็นกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังล้นเหลือภายในอาณาเขตหนองน้ำปราณมายา ตำหนักนี้ทรงพลังยิ่งกว่าสำนักน้อยใหญ่ทั้งหลายรวมกันเสียอีก ในบรรดาสำนักทั้งหมดในทวีปมังกรซ่อนเร้น อาจมีเพียงสำนักความลับแห่งสวรรค์สำนักเดียวเท่านั้นที่เทียบชั้นกับตำหนักเมฆาขาวได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสำนักของตำหนักนี้ยังเป็นผู้ที่มีขั้นปราณสูงส่งยากหาผู้ใดเปรียบ
สีหน้าของอู๋อวิ๋นไป่เคร่งขรึมจริงจังมาก วงแหวนปราณในสวนสมุนไพรแห่งนี้ถูกปลุกขึ้นมาทั้งหมด สวนสมุนไพรเล็กๆ แต่ละสวนถูกวงแหวนปราณประจำสวนครอบเอาไว้หมดสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะขโมยสมุนไพรไปได้โดยไม่ทำให้มนุษย์อสรพิษรู้ตัว
นอกจากนี้ อาหนี่ หยูฟู่ และผู้ฝึกตนอื่นๆ จากเผ่ามนุษย์อสรพิษก็รู้พิกัดของนางและผู้ติดตามของนางแล้ว แถมกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อีกด้วย
กระแสพลังปราณน่ากลัวระเบิดออกจากร่างของมนุษย์อสรพิษ โดยเฉพาะอาหนี่ที่ปล่อยพลังร้ายกาจออกมาจนเหมือนอสูรคลั่ง ดวงตาของเขากระหายเลือดน่าขนลุก เส้นเลือดปูดโปนออกจากกล้ามเนื้อช่วงบนของลำตัว
เมื่อผู้ติดตามของอู๋อวิ๋นไป่รู้ว่าที่ซ่อนของตนถูกเปิดเผย เขาก็คำรามออกมาด้วยความโกรธ ขนทั่วร่างลุกซู่ ดวงตาเปิดกว้างเหมือนลูกกระดิ่งทองแดง เขาผลักฝ่ามือไปข้างหน้า เรียกกลุ่มเมฆให้ปรากฏขึ้นรอบกาย ก่อนจะผลักกลุ่มเมฆนั้นเข้าใส่เหล่ามนุษย์อสรพิษ
“ฝ่ามือปัดเป่าเมฆา!”
ดวงตาของอาหนี่เปลี่ยนเป็นเย็นชา ริมฝีปากคลี่ยิ้ม เผยให้เห็นฟันคมกริบ แววกระหายเลือดในดวงตาทอแสงชัดขึ้นอีก
“ว่าแล้ว พวกเจ้าทั้งสองมาจากตำหนักเมฆาขาวนี่เอง มาเพื่อขโมยดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งรึ ข้าไม่ยอมให้ทำสำเร็จหรอก!” อาหนี่ยิ้มเยาะพร้อมประสานมือเข้าหากันเพื่อรวบรวมพลังปราณในฝ่ามือ จากนั้นเขาก็แยกมือทั้งสองข้างออก ปรากฏเป็นหอกสีดำสนิทระหว่างสองฝ่ามือนั้น
ในตอนนั้นเองอู๋อวิ๋นไป่ก็เรียกสติตนเองกลับมาได้ ใบหน้าของนางสงบนิ่งเหมือนน้ำไหลลึก นางมองมนุษย์อสรพิษตรงหน้าแล้วมุ่นคิ้ว “อย่าฆ่าหมอนี่นะ แค่ทำให้ขยับตัวไม่ได้ก็พอ เรามาเพื่อชิงสมุนไพรพลังปราณเท่านั้น”
ผู้ติดตามของนางที่มีสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิมอยู่มากโขคลี่ยิ้มออกมาแล้วตอบกลับ “ไม่ต้องเป็นห่วง แม่นาง ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
อู๋อวิ๋นไป่หันไปมองอีกฝ่ายตาเขียวทันที “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ เรียกว่านายน้อยอู๋หรือไม่ก็นายน้อยสิ!”
ผู้ติดตามกระแอมกะไอด้วยความเก้อเขิน จากนั้นก็หันไปเผชิญหน้ากับมนุษย์อสรพิษพร้อมรอยยิ้มกริ่ม พลังปราณที่ระเบิดออกจากร่างเขาเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นขุนเขาที่กดทับลงมาใส่มนุษย์อสรพิษตรงหน้า ทำให้สีหน้าของผู้ถูกโจมตีเปลี่ยนไปทันที
“ขั้นนักพรตยุทธการรึ! แย่แล้ว!” สีหน้าของอาหนี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นพวกระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ผู้ที่มีปราณขั้นนี้ถือเป็นผู้สูงศักดิ์แม้ในตำหนักเมฆาขาว แล้วคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของหนุ่มหน้าสวยนี่ได้อย่างไร หรือว่า… ไอ้หนุ่มนี่จะไม่ใช่คนธรรมดากันนะ
อาหนี่ไม่ได้โง่ไม่รู้ประสา เมื่อรู้ว่าคู่ต่อสู้ของตนเป็นขั้นนักพรตยุทธการ ความคิดมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาทันที จนในที่สุดก็พอจะเดาตัวตนที่แท้จริงของอู๋อวิ๋นไป่ได้
แต่สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ทำให้เขาไม่มีเวลาคิดต่อ ลำพังแค่จัดการกับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการก็ถือว่าเกินขีดความสามารถของเขาแล้ว แม้ระดับหกและเจ็ดจะต่างกันเพียงหนึ่งระดับในเชิงตัวเลข แต่ความแตกต่างด้านพลังปราณของทั้งสองระดับนั้นเรียกได้ว่าห่างกันลิบลับ
แต่อาหนี่ก็ไม่ได้กังวลใจถึงเพียงนั้น แม้คู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นขั้นนักพรตยุทธการ แต่ผู้อาวุโสที่ดูแลสวนสมุนไพรแห่งนี้ก็เป็นขั้นนักพรตยุทธการเช่นเดียวกัน
และระหว่างที่อาหนี่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้น พลังปราณของผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา
…
ปู้ฟางคลี่ยิ้มขณะมองสมุนไพรที่ถูกปกป้องเอาไว้ในวงล้อมของวงแหวนปราณ เหมือนที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ไม่มีใครจะย่ามใจขนาดปล่อยสมุนไพรที่ตนเองเพียรปลูกไว้โล่งโจ้งเช่นนี้โดยไม่ป้องกันแน่ ดูจากหน้าตาที่ซับซ้อนของวงแหวนปราณแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ปู้ฟางยื่นนิ้วออกไปแตะวงแหวนปราณ จากนั้นก็ต้องหรี่ตาเนื่องจากรู้สึกได้ถึงความชาที่พุ่งผ่านร่างกาย
เขาลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าวงแหวนปราณของสวนสมุนไพรอื่นก็ทำงานเช่นกัน แล้วเริ่มรู้สึกตัวว่าตนเองอาจทำเรื่องไม่คาดคิดเข้าให้แล้ว
“หืม พลังของขั้นนักพรตยุทธการรึ” ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณอันตรายจากระยะไกล เขาคุ้นเคยกับพลังกดดันที่แฝงอยู่ในกระแสพลังนี้เป็นอย่างดี
เนื่องจากตัวเขาเองเคยเจอผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการมาก่อน ทั้งเซียวเหมิงและเจ้ามู่เฉิง เขาจึงคุ้ยเคยกับความรู้สึกกดดันนี้เป็นอย่างดี แต่ปู้ฟางชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เห็นการเผชิญหน้ากันของขั้นนักพรตยุทธการในสวนสมุนไพรเช่นนี้
“มีขั้นนักพรตยุทธการหลายคนอยู่ในสถานที่ไกลปืนเที่ยงเช่นนี้ด้วยหรือ” ปู้ฟางคิดด้วยความขบขัน
ปู้ฟางมองสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังวงแหวนปราณอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจเดินหน้าต่อไป การที่ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการสองคนมาปะทะกันเช่นนี้ แปลว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน ในสวนสมุนไพรอ้างว้างแห่งนี้ เหตุเดียวที่ทำให้สองผู้แข็งแกร่งมาต่อสู้กันคงหนีไม่พ้นเรื่องสมุนไพรพลังปราณระดับสูง
แค่ความคิดที่ว่ามีสมุนไพรล้ำค่าอยู่ข้างหน้าก็ทำให้ปู้ฟางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้ว เพราะเป้าหมายของการออกเสาะหาวัตถุดิบในครั้งนี้ของเขาก็เพื่อมาเก็บสมุนไพรพลังปราณนั่นละ…
หลังจากที่เดินต่อไปและเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอีกสองสามครั้ง ชายหนุ่มก็ประหลาดใจไปชั่วครู่ เมื่อเห็นร่างสองร่างกำลังมุ่งหน้ามาหาเขาจากระยะไกล
“อะไรกันนี่ นางเงือกรึ” ปู้ฟางพึมพำกับตนเองด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเข้าไปมองใกล้ขึ้น เขาก็เห็นว่าร่างสองร่างตรงหน้านั้นไม่ใช่นางเงือกในตำนาน… แม้ท่อนบนของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะเป็นมนุษย์ แต่ท่อนล่างกลับเป็นงูที่มีเกล็ดอยู่เต็มไปหมด
“มนุษย์อสรพิษ!” ปู้ฟางอุทานด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งมีชีวิตต่างโลกเผ่าพันธุ์อื่นด้วยตาตนเอง จึงทำให้หัวใจเต้นระส่ำอย่างบอกไม่ถูก
กลุ่มมนุษย์อสรพิษนี้ถือหอกเป็นอาวุธเอาไว้ในมือ และกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่ขั้นนักพรตยุทธการสองคนต่อสู้กันอยู่ ปู้ฟางมองเห็นพวกเขา และแน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องมองเห็นปู้ฟางเช่นกัน
“ใครน่ะ!” หนึ่งในนักรบมนุษย์อสรพิษตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมโบกหอกในมืออยู่ไหวๆ
ส่วนตัวปู้ฟางเองก็กำลังตกใจกับความจริงที่ว่ามนุษย์อสรพิษนั้นไม่ได้เป็นมิตรอย่างที่เคยคิดเอาไว้
“ข้า…” ปู้ฟางอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เอ่ยปาก มนุษย์อสรพิษตนหนึ่งซัดหอกใส่เขาทันที
“นี่มันมนุษย์ที่บุกรุกสวนสมุนไพรของเผ่าเรานี่ ฆ่ามันไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก!”
มุมปากของปู้ฟางกระตุกเมื่อจับได้ถึงกระแสพลังปราณดุร้ายที่แผ่ออกจากหอก “หมายความว่าอย่างไรกันที่บอกว่าข้าบุกรุก… เจ้าตั้งใจจะกันใครด้วยรั้วสภาพน่าสงสารเช่นนั้นกันแน่”
รั้วไม้ไผ่ที่เขาผ่านมาสภาพผุพังจนแทบกลายเป็นปุ๋ย หลายส่วนหลุดกระจายออกมาแล้ว อย่าว่าแต่กันคนเข้าเลย กันอสูรเวทตัวเล็กบางตัวยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อครู่นี้ปู่ฟ่างเข้ามาได้อย่างง่ายดายโดยแค่ก้าวข้ามรั้ว…
แต่มนุษย์อสรพิษเหล่านี้ไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะคิดอย่างไร พวกเขารีบห่อหุ้มหอกของตนเองด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ และโจมตีเขาทันที
ขั้นปราณของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้ไม่ได้ต่ำ อยู่ที่ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะกับการทำหน้าที่เป็นทหารยามเฝ้าสวนสมุนไพรพอดี
แต่พลังปราณของชายหนุ่มนั้นอยู่ที่ขั้นราชันยุทธการ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องเกรงกลัวมนุษย์อสรพิษตัวจ้อยเหล่านี้ด้วยเล่า แม้เขาจะไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้… แต่พลังปราณของเขาต่างหากที่เป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย
ปู้ฟางหยุดอยู่กับที่พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแหลมคม จากนั้นก็ปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ให้ระเบิดออกจากกายพร้อมเสียงดังลั่น เชือกขนสัตว์ที่เขาใช้มัดผมก็กระจุยออกมาเช่นกัน
มนุษย์อสรพิษคนแรกที่พุ่งหอกออกมาตกใจกับระดับพลังปราณที่เพิ่มขึ้นทันทีทันควันของชายหนุ่ม สีหน้าของเขาเคร่งเครียดเป็นอันมาก ผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการหรือ!
ทหารยามอสรพิษทั้งสองพลันหยุดเดิน พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการเท่านั้น แต่คนตรงหน้าเป็นถึงขั้นราชันยุทธการ ไม่แน่ชีวิตของพวกเขาอาจจะจบลงที่นี่ก็เป็นได้
มนุษย์อสรพิษตนหนึ่งยืดคอขึ้นแล้วตะโกนด้วยท่าทางที่พยายามจะขึงขัง “ไอ้มนุษย์ชั่วช้า! เจ้ามาเพื่อขโมยสมุนไพรของพวกเราหรือ ข้ามศพข้าไปก่อนเถิด!”
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นตามที่เขาคิดเอาไว้ ปู้ฟางค่อยๆ ลดระดับพลังปราณที่แผ่ออกจากร่างกายลง เขาเอามือไพล่หลัง สีหน้าอ่านยาก จากนั้นก็มองไปที่ทหารยามทั้งสองพลางพ่นลมเยาะเย้ย
“เหตุใดข้าต้องข้ามศพพวกเจ้าไปแค่เพราะพวกเจ้าบอกให้ทำด้วย เช่นนั้นคงเสียหน้าแย่” ชายหนุ่มตอบ
สีหน้าของมนุษย์อสรพิษทั้งสองแข็งทื่อทันที… จากนั้นพวกเขาก็หันมามองหน้ากันด้วยความฉงนสนเท่ห์
…
ณ สถานที่ที่ห่างจากที่ตั้งของเผ่ามนุษย์อสรพิษหลายร้อยลี้ ผิวน้ำเริ่มปุดขึ้นอย่างฉับพลัน จากนั้นบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่มโหฬารก็ผุดขึ้นจากน้ำ แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศที่เผ่ามนุษย์อสรพิษอยู่
บุ๋งๆ!
ณ พิกัดหนึ่งในหนองน้ำ อสูรเวทหน้าตาเหมือนคางคกฝูงใหญ่กำลังกระโดดไปหาเผ่ามนุษย์อสรพิษเช่นกัน
ส่วนใกล้ๆ กันนั้นก็มีอสูรเวทหน้าตาประหลาดหลากหลายชนิดกำลังแผ่พลังปราณน่ากลัว แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังทิศเดียวกันอย่างช้าๆ
ภายในพริบตา ฝูงอสูรเวทขนาดใหญ่ก็เข้าล้อมเผ่ามนุษย์อสรพิษเอาไว้โดยไม่มีผู้ใดรู้สึกตัว