งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬเป็นอสูรเวทที่ทรงพลัง อาศัยอยู่ในส่วนลึกของหนองน้ำปราณมายา พอโตเต็มวัยจะมีปราณอยู่ที่ระดับสี่โดยธรรมชาติ และจะลอกคราบทุกหนึ่งร้อยปี งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬระดับเจ็ดจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวถึงขั้นสยองขวัญ เนื่องจากผ่านการลอกคราบมาแล้วสามครั้งในระยะเวลาหลายร้อยปี
อสูรเวทขนาดมหึมาตัวนี้ผุดขึ้นมาจากหนองน้ำ ความสูงของมันกินไปหลายลี้ เกล็ดบนลำตัวทอประกายใต้แสงอาทิตย์ ดวงตาของมันมีขนาดเท่าโคมไฟกระดาษอันมหึมา
เหนือศีรษะของงูเหลือมมีก้อนเนื้อที่หน้าตาคล้ายหงอนไก่ มีสีแดงเลือด อัดแน่นไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมหาศาล นี่คือแก่นแท้ของงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬ มันแผ่แม่เบี้ยเหมือนงูจงอาง และแลบลิ้นสองแฉกพร้อมปล่อยพลังกดดันสุดสยองออกมาจากร่าง
“นี่เป็นงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬที่กำลังจะบรรลุขั้นปราณไปสู่ระดับแปด คงถูกพลังงานของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งดึงดูดมาเป็นแน่” อู๋อวิ๋นไป่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นร่างๆ หนึ่งก็กระโจนมาจากระยะไกลแล้วหยุดอยู่เบื้องหลังนาง
คนผู้นั้นคือผู้ติดตามอีกคนที่ถูกทิ้งไว้ให้ดูต้นทางนั่นเอง สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูไม่สู้ดีนัก
“แม่นาง บริเวณรอบเผ่ามนุษย์อสรพิษถูกฝูงอสูรเวทล้อมเอาไว้หมดแล้วขอรับ ทั้งกบพิษและจระเข้หางวิญญาณมารวมตัวกันมืดฟ้ามัวดิน พวกเรา… ถูกล้อมแล้ว!” ผู้ติดตามของนางมีสีหน้าเคร่งเครียด การถูกล้อมเอาไว้ด้วยงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬและฝูงอสูรเวทจำนวนมากถือเป็นสถานการณ์เลวร้ายมากทีเดียว
อู๋อวิ๋นไป่ไม่คิดเลยว่าจะพาตนเองมาอยู่ในอันตรายเช่นนี้ได้
การฝ่าวงล้อมอสูรเวทจำนวนมากขนาดนี้ออกไปเป็นเรื่องที่ทั้งยากและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการหนีกลับเข้าไปในพื้นที่ของเผ่า แล้วปล่อยให้ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการจัดการกับงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬกันเอง
“หนีเข้าไปข้างในกันเถิด” อู๋อวิ๋นไป่พูดกับปู้ฟาง จากนั้นก็วิ่งนำกลับไปยังทางที่นางจากมาเมื่อครู่
ปู้ฟางชะงักไปชั่วครู่ เขาหันไปมองงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬที่บดบังท้องฟ้าเอาไว้แทบมิด มุมปากกระตุกโดยพลัน จากนั้นก็ควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือแล้วเดินตามชายหนุ่มหน้าสวยไป
เขาไม่ใช่คนโง่… เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรเวทตัวใหญ่ยักษ์พร้อมฝูงสัตว์ร้ายมากมายเช่นนี้ การหลีกเลี่ยงไม่เข้าปะทะย่อมเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
อาหนี่ตัวสั่นเทาขณะยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น เขารีบหนีไปพร้อมพาเพื่อนร่วมเผ่าอีกสามตนไปด้วย ทั้งสี่มุ่งหน้าไปยังทิศเดียวกับปู้ฟาง
ทันใดนั้นดวงตาของงูเหลือมทมิฬก็เรืองแสงวาบ ร่างใหญ่ยักษ์ของมันค่อยๆ เลื้อยมาข้างหน้า ตอนที่อาหนี่หันหน้ากลับไปมองนั้น เขาเห็นมันกำลังเคลื่อนตัวบดทำลายสวนสมุนไพรไปตามทาง ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากมองภาพสมุนไพรมากมายถูกทำลายด้วยความปวดร้าวจนหายใจแทบไม่ออก
แต่ตัวเขาก็ไม่กล้าหันหลังกลับ แม้มนุษย์อสรพิษจะสามารถสะกดอสูรเวทเผ่าพันธุ์งูได้… แต่อสูรร้ายตัวมหึมาเบื้องหลังเขานั้นน่ากลัวเกินไป เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์อสรพิษตนใดจะสะกดมันได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงอย่างงูเหลือมทมิฬ อาหนี่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจำใจหนี
ปู้ฟางเดินตามอู๋อวิ๋นไป่ไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่นานนักก็มาถึงสระน้ำล้อมด้วยรั้วไม้ไผ่ที่ใจกลางสวนสมุนไพร ตรงกลางสระน้ำมีดอกบัวสีฟ้าอ่อนชูช่ออยู่
ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อจับได้ถึงกระแสปราณที่ลอยอยู่เหนือดอกบัว นี่มันสมุนไพรพลังปราณระดับเจ็ดนี่นา! มีสมุนไพรระดับเจ็ดอยู่จริงๆ เสียด้วย!
ไม่แปลกเลยที่เหตุใดขั้นนักพรตยุทธการจึงต้องต่อสู้กัน แถมมันยังดึงดูดอสูรเวทระดับเจ็ดและฝูงอสูรเวทมากมายมาอีก…
มีสมุนไพรระดับเจ็ดบางชนิดเท่านั้นที่ดึงดูดอสูรเวทระดับเจ็ดได้ และสมุนไพรชนิดนี้ก็จัดเป็นสมุนไพรพิเศษ… เนื่องจากมันสามารถช่วยให้อสูรเวทระดับสูงบรรลุขั้นปราณได้นั่นเอง จึงเป็นเรื่องปกติที่เหล่าสัตว์ร้ายพวกนี้จะมาต่อสู้แย่งชิงสมุนไพรกัน เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ตอนที่ปู้ฟางไปเยือนหุบเขาปักษาเพลิงพ่าย เขาก็ได้พบเหตุการณ์ที่อสูรเวทระดับเจ็ดสองตัวต่อสู้กันเพื่อแย่งสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเช่นกัน เนื่องจากมันสามารถช่วยให้บรรลุขั้นปราณได้ ดอกบัวตรงหน้าเขาก็มีสรรพคุณแบบเดียวกัน
มันถือเป็นสมุนไพรที่เทียบชั้นกับสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงได้สินะ!
หัวใจของปู้ฟางเต้นระส่ำด้วยความตื่นเต้น เรื่องนี้ถือเป็นส้มหล่นโดยแท้ หลังจากที่ตรากตรำตามหามานาน เขาก็พบสมุนไพรที่สมบูรณ์แบบในที่สุด
“ดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็ง… มีฤทธิ์เย็นรึ ส่วนสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงมีฤทธิ์เป็นไฟ หากข้าใช้สมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ทำสุรา ก็จะเป็นการนำคุณสมบัติของน้ำแข็งและไฟมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และหากเพิ่มผลตื่นรู้ทางสามสายเข้าไปด้วยแล้วละก็… ต้องสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน!” ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนดวงดาว
ตูม ตูม!
ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการทั้งสองหยุดห้ำหั่นกัน แล้วกระโจนกลับลงมาบนผืนดินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด การปรากฏตัวของอสูรเวทระดับเจ็ดนั้นเป็นเรื่องใหญ่พอที่จะทำให้พวกเขาต้องหันมาให้ความสนใจ
“อสูรเวทระดับเจ็ดงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬถูกล่อให้มาที่นี่เพราะดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งรึ ฉิบหายแล้ว…” ผู้อาวุโสมนุษย์อสรพิษพ่นลมเยาะพร้อมนิ่วหน้า หางโบกสะบัดตามอารมณ์
มนุษย์อสรพิษกลุ่มใหญ่ค่อยๆ เลื้อยจากระยะไกลเข้ามาหา โดยมีมนุษย์อสรพิษชราผู้หนึ่งอยู่ตรงกลาง
“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ!” ผู้อาวุโสมนุษย์อสรพิษทำความเคารพชายแก่ที่เข้ามาใกล้ ส่วนอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ ดวงตาพร่ามัวของเขาเครียดขึง ขณะมองไปยังสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อย่างงูเหลือมทมิฬ
“ผู้อาวุโสลำดับสาม ท่านสามารถกันงูเหลือมทมิฬนี้ได้หรือไม่” ผู้อาวุโสสูงสุดถามน้ำเสียงเครียด
ผู้อาวุโสลำดับสามเหลือบตาไปมองงูเหลือมทมิฬ ก่อนตอบพร้อมทอดถอนใจ “ไม่ได้ขอรับ อสูรตนนี้ผ่านการลอกคราบมาแล้วสามครั้ง และกำลังจะลอกคราบอีกเป็นครั้งที่สี่ ความสามารถในการต่อสู้ของมันน่ากลัวมาก ข้าไม่อาจต่อกรกับมันได้”
แม้แต่ผู้อาวุโสลำดับสามก็ยังเทียบชั้นงูเหลือมนี้ไม่ติด… พวกเขาจะยอมปล่อยให้มันแย่งดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งไปทั้งอย่างนี้ หลังจากที่เฝ้าเพียรพยายามปลูกมาเป็นเวลานานน่ะหรือ ช่างน่าโมโหอะไรเช่นนี้…
ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้า นี่เป็นเพราะเผ่าของพวกเขาอ่อนแอเกินไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่นครหลวงมนุษย์อสรพิษ รูปการณ์คงไม่ออกมาเช่นนี้แน่นอน ประมุขของพวกเขาคงทำเพียงกระดิกนิ้ว เพื่อลบอสูรเวทตัวนี้ออกไปจากผืนแผ่นดินทันที!
น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่ใช่นครหลวง และประมุขของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
ตอนที่ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ อู๋อวิ๋นไป่ก็พูดขึ้น “ผู้อาวุโสสูงสุด เรามาร่วมมือกันดีไหม…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหันมามองอู๋อวิ๋นไป่แล้วขมวดคิ้ว พลังกดดันทับลงมาบนตัวนางทันที แม้ขั้นปราณของเขาจะไม่สูงมาก แต่หลายคนก็ไม่อาจทานทนแรงกดดันนี้ได้
ทว่าอู๋อวิ๋นไป่เป็นถึงนายน้อยแห่งตำหนักเมฆาขาว และจิตใจของนางก็แข็งแกร่งเป็นอันมาก นางยิ้มออกมา ก่อนจะหันกลับไปมองผู้อาวุโสสูงสุดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เผ่าของเจ้ามีขั้นนักพรตยุทธการแค่คนเดียว ส่วนตอนนี้ฝั่งเราก็มีหนึ่งคนเช่นกัน หากทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ย่อมประมือกับงูเหลือมทมิฬได้มิใช่หรือ” คำพูดของอู๋อวิ๋นไป่มีเหตุผล และยังเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์นี้ด้วย…
ผู้อาวุโสสูงสุดคิดอยู่นานแต่ก็ยังหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมจำนนและพยักหน้าตอบรับข้อเสนอ “ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า แต่เราจะไม่ให้ดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งกับเจ้า หลังจากที่ไล่งูเหลือมทมิฬไปแล้ว เราจะตอบแทนด้วยการให้สมุนไพรระดับหกสองสามชนิดแทน”
อู๋อวิ๋นไป่เลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไร นางพยักหน้ารับข้อเสนอเช่นกัน
ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการทั้งสองคนหันมามองหน้ากันอย่างเก้อเขิน ก่อนหน้านี้พวกเขายังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ตอนนี้กลับต้องมาจำใจรบกันร่วมเสียนี่ ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าขันพอตัวเลยทีเดียว
งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬใหญ่ยักษ์เริ่มขดตัวเป็นวงกลม มันชูคอใหญ่ขึ้นพร้อมแลบลิ้นแผล็บ จู่ๆ ก็หยุดเคลื่อนไหวเอาดื้อๆ
“ไอ้อสูรเวทนี่มันฉลาดนัก มันรอจังหวะที่ดอกบัวบานเต็มที่เพื่อเผด็จศึกทีเดียว!” ผู้อาวุโสสูงสุดสีหน้าย่นยู่เมื่อเห็นงูเหลือมหยุดเคลื่อนไหว
“ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบไป นี่เป็นโอกาสดีที่จะรอให้ขั้นนักพรตยุทธการทั้งสองคนฟื้นฟูพลังปราณกลับมาเสียก่อน” นายน้อยอู๋ตอบพร้อมรอยยิ้มบาง
ปู้ฟางมองพวกเขาคุยกันมาตั้งแต่ต้น สายตาตวัดกลับไปหาดอกบัวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว อสูรเวทระดับเจ็ด ขั้นนักพรตยุทธการสองคน เผ่ามนุษย์อสรพิษ… มีฝั่งตรงข้ามมากมายขนาดนี้ โอกาสที่เขาจะได้ครอบครองสมุนไพรชนิดนี้แทบเป็นศูนย์ แต่ดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งก็เป็นของที่ขาดไม่ได้ในการคิดค้นสุราสูตรที่สามารถก้าวข้ามลมหายใจมังกรได้…
ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงเบนสายตาออกจากดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็ง แล้วหันกลับมามองผู้อาวุโสสูงสุด
“คือข้า… มีคำถาม หากข้าต้องการดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งนี้ เจ้าจะยอม… ให้ข้าหรือไม่”