เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้ารู่เก๋อนั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตของปู้ฟางแม้แต่น้อย ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่ได้สนใจใยดีอะไรด้วยซ้ำ
ร้านอาหารของเขากลับมาเปิดวันรุ่งขึ้นตามปกติ หลังจากที่ให้อาหารหมูในคราบสุนัขสีดำตัวใหญ่ด้วยข้าวผัดไข่เรียบร้อยแล้ว ปู้ฟางก็กลับมานอนขดอยู่บนเก้าอี้ดังเดิม ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปอย่างปกติสุข
เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนคลั่งไคล้รสชาติข้าวผัดไข่ฝีมือปู้ฟางยิ่งนัก จิตใจถูกครอบงำด้วยความอร่อยของอาหารจากร้านเล็กๆ ของฟางฟางชนิดโงหัวไม่ขึ้น สำหรับคนอ้วนอย่างเจ้าอ้วนจินแล้ว ปริมาณของข้าวผัดไข่หนึ่งชามนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จนเรียกได้ว่าแทบไม่พอยาไส้
หลังจากที่กลับถึงเรือน ชายอ้วนก็จัดแจงสั่งให้พ่อครัวตนทำข้าวผัดไข่มาหนึ่งกระทะเต็ม ทว่าเมื่อเทียบกับข้าวผัดไข่ฝีมือปู้ฟางแล้ว รสชาติข้าวผัดไข่ฝีมือพ่อครัวที่ตัวเขาไปเสาะหามาจากเจียงหนานนั้นเรียกได้ว่าสุนัขไม่รับประทานเลยทีเดียว หลังจากที่กินเข้าไปคำหนึ่ง ชายอ้วนก็ทนกินต่อไม่ลง
ทั้งสี กลิ่น และรส ช่างแตกต่างจากข้าวผัดไข่จากร้านเล็กๆ ของฟางฟางราวฟ้ากับเหว
หลังจากที่อดทนกับความหิวไส้แทบขาดมาทั้งคืน เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนก็มุ่งหน้าไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟางอย่างดุดันในวันต่อมา ใครที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอาจคิดว่าคนเหล่านี้กำลังไปหาเรื่องตะลุมบอนก็เป็นได้
“เถ้าแก่ปู้ อรุณสวัสดิ์!” เมื่อเจ้าอ้วนจินเดินมาถึงตรอกก็พลันดีใจที่ได้เห็นว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางเปิดทำการเรียบร้อยแล้ว
ปู้ฟางจำชายอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีใครตัวใหญ่พุงพลุ้ยเท่านี้อีกแล้วในนครหลวง
ชายหนุ่มพยักหน้าให้อย่างไร้อารมณ์แล้วเอ่ยถาม “มากินข้าวรึ จะสั่งอะไรเล่า”
“เถ้าแก่ปู้ อาหารของท่านนี่น้อยนิดแต่รสชาติอร่อยล้ำยิ่งนัก ข้าหิวทั้งคืนจนนอนไม่หลับเลยแม้แต่ยามเดียว ข้าแทบรอมากินข้าวผัดไข่ของท่านไม่ไหว จึงพาสหายมาร้านท่านแต่เช้าเช่นนี้” เจ้าอ้วนจินยิ้มแฉ่งก่อนเดินเข้าร้านอย่างเป็นธรรมชาติ
มุมปากของปู้ฟางขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างแบบแข็งๆ ดูเหมือนว่าเขาจะชอบให้คนชื่มชมฝีมือการทำอาหารตน
“แต่ว่านะ เถ้าแก่ปู้ ข้าอยากให้คำแนะนำนิดหน่อย ท่านน่าจะลองขายอาหารเช้าดูบ้าง ท่านเปิดร้านแต่เช้า แต่ขายเพียงอาหารมันๆ เท่านั้น มันจะเสียเวลาขายของช่วงเช้าไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แต่ข้าไม่ได้หมายความว่าข้าวผัดไข่ของท่านน้ำมันเยิ้มนะ!”
ปู้ฟางคิดสักพักก่อนพยักหน้ารับรู้ “ในอนาคตข้าจะขายอาหารจานใหม่แน่นอน แต่คงต้องรอไปก่อน”
เจ้าอ้วนจินยิ้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “เถ้าแก่ ข้าขออย่างละจานก็แล้วกัน ข้าหิวมากจนทนไม่ไหวแล้ว”
ปู้ฟางตอบ “อืม” อย่างแผ่วเบา ก่อนหันหน้าไปหากลุ่มชายอ้วนที่เหลือ ทุกคนสั่งแบบเดียวกับเจ้าอ้วนจิน
ปู้ฟางไม่กังวลใจแม้แต่น้อยว่าชายอ้วนเหล่านี้จะกินทิ้งกินขว้าง ที่น่ากังวลมากกว่าคือกลัวจะไม่พอกิน
“ได้ รอสักครู่” หลังจากจดรายการที่สั่งเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินเข้าครัวไป
ทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพตั้งแต่จุดไฟไปจนเปิดเตา
หลังจากที่ชายหนุ่มผัดข้าวผัดไฟท่วมพร้อมตวัดกระทะคลุกเคล้าเรียบร้อย เขาก็เอาตะหลิวตักข้าวผัดไข่ขึ้นมาใส่ชาม ไข่ข้นที่สุกไปร้อยละแปดสิบห่อหุ้มเมล็ดข้าวอ้วนท้วนครบทุกเมล็ด เมื่อถือชามเดินออกมาจากครัว กลิ่นหอมหวนชวนหิวก็ระเบิดออกมาจนทำให้ท้องของชายอ้วนพากันร้องอึกทึกครึกโครม
ตอนที่ปู้ฟางเอาข้าวผัดไข่ชามที่สองออกมานั้น เจ้าอ้วนจินก็เลียชามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาเห็นพ่อครัวหนุ่มก็รีบวางชามลงก่อนยกนิ้วโป้งให้ “เถ้าแก่ปู้ อร่อยสุดยอดไปเลยจริงๆ ! นี่เป็นข้าวผัดไข่ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลยในชีวิตนี้! แถมยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะช่วยทำให้พลังปราณเที่ยงแท้ในกายข้าพัฒนาขึ้นด้วย ข้าไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงขายในราคาสิบผลึก! ข้าขออีกชามหนึ่งได้หรือไม่!”
“เสียใจด้วย ลูกค้าแต่ละคนสั่งได้รายการละจานต่อวันเท่านั้น” ปู้ฟางเอ่ยเสียงเรียบ
“เถ้าแก่ปู้ ข้าไม่มีปัญหาเรื่องเงินแม้แต่น้อย ข้ายอมจ่ายเพิ่มก็ได้! ขออีกชามหนึ่งเถิด กินแค่นี้ข้าไม่อิ่มจริงๆ ” เจ้าอ้วนจินพูดอย่างอายๆ เขาไม่ได้สนใจเรื่องเงินแม้แต่น้อย
เขายอมจ่ายได้เสมอเพื่ออาหารอร่อย!
“ไม่ได้ กฎต้องเป็นกฎ” ปู้ฟางพูดเสียงเย็น ก่อนหันหลังกลับเข้าครัวไปโดยไม่สนใจเจ้าอ้วนจินที่มีสีหน้าหดหู่อีก
หลังจากที่ทำเสร็จครบทุกจาน ปู้ฟางก็นวดไหล่ที่ล้าเล็กน้อยของตน ก่อนเดินออกจากครัวมาอีกครั้ง
เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนกินหมดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนร้องทักเขาทีละคน โดยมีปู้ฟางพยักหน้าตอบรับแบบเรียบๆ
“ทั้งหมดห้าสิบห้าผลึกพันเหรียญทอง”
“ซี้ดดดด…”
แม้กลุ่มชายอ้วนเหล่านี้จะมีปัญญาจ่าย แต่ก็ยังอดสูดหายใจเข้าลึกไม่ได้เมื่อได้ยินค่าเสียหาย มีเพียงกลุ่มเศรษฐีใหม่กลุ่มนี้เท่านั้นที่สามารถจ่ายเงินแพงหูฉี่ไปกับข้าวมื้อเดียวได้
“วันนี้ข้าเลี้ยงก็แล้วกัน เรามาอุดหนุนเถ้าแก่ปู้กันอีกเถิดในอนาคต จะปล่อยให้ร้านอาหารอร่อยๆ เช่นนี้ร้างผู้คนไปไม่ได้!” เจ้าอ้วนจินเรียกได้ว่าใจกว้างเป็นแม่น้ำ เขาโบกมือแล้วจัดการจ่ายเงินเสร็จสรรพ
“ไว้แวะมาอีกล่ะ” ปู้ฟางมองกลุ่มคนอ้วนที่มีสีหน้าพึงพอใจเดินออกจากร้านไป ใบหน้าของชายหนุ่มประดับด้วยรอยยิ้มแข็งๆ
“นายท่าน ยินดีด้วยที่ทำภารกิจสำเร็จ ท่านทำกำไรได้หนึ่งร้อยผลึกหนึ่งพันเหรียญทองภายในหนึ่งสัปดาห์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เสียงระบบแจ้งเตือนดังขึ้นในหัวของปู้ฟาง ทำให้หัวใจที่สงบราบเรียบของเขาลิงโลดขึ้นมาเล็กน้อย “ทำภารกิจเสร็จเสียที”
แต่สีหน้าของเขากลับแทบไม่เปลี่ยนเลย แม้ระบบจะมอบรางวัลสำหรับการทำภารกิจเสร็จให้เป็นที่เรียบร้อย เขาก็ไม่ได้เปิดดูแต่อย่างใดเนื่องจากยังไม่ถึงเวลาปิดร้าน
ภายนอกร้าน ร่างสูงโปร่งกำลังเดินเข้ามาใกล้
“เถ้าแก่ปู้ สวัสดีตอนบ่าย ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงหนึ่งชาม” องค์ชายสามจีเฉิงเสวี่ยเอ่ยสั่งด้วยรอยยิ้ม พร้อมเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ
ปู้ฟางพยักหน้า “รอสักครู่”
กลุ่มชายอ้วนใช้เวลากินอาหารตั้งแต่เช้าจนบ่ายเลยทีเดียว
ตอนที่ปู้ฟางกำลังทำข้าวผัดไข่อยู่ในครัว อีกสองร่างก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าร้าน
“องค์ชายก็มาด้วยหรือขอรับ” เซียวเสี่ยวหลงประหลาดใจปนดีใจเมื่อเห็นจีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่ในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง นอกจากเซียวเสี่ยวหลงแล้วยังมีเซียวเยียนอวี่ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าด้วย
พลังปราณที่เซียวเยียนอวี่ปล่อยออกมานั้นสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน มีแสงสว่างเรืองรองออกจากผิวเรียบเนียนเหมือนหยกของนางเป็นช่วงๆ
“พลังปราณของเยียนอวี่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะที่น่าเกรงขามจนต่อกรกับบุตรชายแห่ง ‘ขุนศึกพิทักษ์จักรวรรดิ’ ได้” จีเฉิงเสวี่ยยิ้ม
เซียวเยียนอวี่หันไปหาจีเฉิงเสวี่ย แล้วถอนสายบัวเล็กน้อย “บุตรชายของ ‘ขุนศึกพิทักษ์จักรวรรดิ’ นั้นมากด้วยพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อ เขาได้พลังปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการมาครอบครองตั้งแต่อายุสิบห้า ข้าจะไปเทียบเคียงท่านผู้นั้นได้อย่างไรกัน องค์ชายชมข้าเกินไปแล้ว”
“ฮ่าๆ พวกเจ้ามากินข้าวหรือ ฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นี้ยากหาผู้ใดเทียบเทียม ข้าว่าเขาเก่งกว่าพ่อครัวหลวงเสียด้วยซ้ำ” จีเฉิงเสวี่ยพูดกลั้วหัวเราะ
ปู้ฟางเดินออกจากครัวมาพร้อมชามกระเบื้องสีฟ้าขาวในมือ ในชามนั้นมีข้าวผัดไข่ทอแสงเรืองรอง กลิ่นหอมหวนตลบอลอวลไปทั่วร้าน ทำให้จีเฉิงเสวี่ยและอีกสองคนที่เหลือรู้สึกเหมือนกำลังเมามายด้วยความหอม
“นี่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดหน้าตาย
“เถ้าแก่ปู้ เจ้ามีสุราขายหรือไม่ หากกินข้าวผัดไข่แสนอร่อยกับสุรารสเลิศ น่าจะสมบูรณ์แบบยิ่งนัก!” จีเฉิงเสวี่ยมองหน้าปู้ฟางอย่างกระตือรือร้น แล้วเอ่ยเสนอแนะออกมา
“สุรารึ” ปู้ฟางหยุดคิดสักพัก จากนั้นจึงพยักหน้า
“ไว้ข้าจะนำมาขายในอนาคต โปรดรอก่อน”
“เถ้าแก่ปู้ ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงสองชาม กับผัดผักสองจาน” เซียวเสี่ยวหลงสั่งด้วยท่าทางตื่นเต้น
“รอสักครู่” ปู้ฟางหันหลังกลับเพื่อเข้าครัวไป แต่เมื่อถึงปากประตู เขาก็หันกลับมา “ไอ้หน้าสาว ไม่รับบะหมี่แห้งคลุกไปด้วยหรือ ข้าว่าบะหมี่แห้งคลุกนั้นเหมาะกับคนหน้าสาวมากกว่านะ”
เซียวเสี่ยวหลงมองปู้ฟางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หากเขาถือมีดอยู่ในมือ คงเดินเข้าไปฟันพ่อครัวตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เซียวเยียนอวี่และจีเฉิงเสวี่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ปากฉีกยิ้มกว้างถึงใบหู ทั้งสองไม่รู้เลยว่าเถ้าแก่ปู้ที่ทั้งเย็นชาและเข้มงวดจะมีอารมณ์ขันถึงเพียงนี้
ปู้ฟางมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย เขาเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น เซียวเสี่ยวหลงมาที่ร้านนี้หลายครั้ง แล้วก็มักจะสั่งแต่บะหมี่แห้งคลุก แถมยังกินอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดชามทุกครั้งไป แปลว่าบะหมี่แห้งคลุกกับเซียวเสี่ยวหลงเป็นสองสิ่งที่เหมาะสมกันยิ่งกว่าอะไรดี พ่อครัวหนุ่มไม่สนใจเสียงหัวเราะแล้วเดินกลับเข้าครัวไป
หลังจากที่ทั้งสามกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ก็พากันจ่ายเงินแล้วออกจากร้านของปู้ฟางไป ทั้งสามเดินออกจากร้านเล็กๆ ของฟางฟางด้วยรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้า
นี่คือภาพที่พ่อครัวทุกคนอยากเห็น ภาพของลูกค้าที่เดินออกจากร้านด้วยรอยยิ้มพอใจบนใบหน้า แม้แต่คนที่เย็นชาระดับปู้ฟางยังหลีกหนีความจริงนี้ไม่พ้น
หลังจากที่ทำความสะอาดจานชามเสร็จเรียบร้อย ก็เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งก้านธูปก่อนที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางจะปิดลงในวันนี้
ชายหนุ่มยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนหาวออกมาหวอดใหญ่ จากนั้นก็ขดตัวลงบนเก้าอี้ เอนหลังไปที่ผนัง เขาตั้งใจว่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งก้านธูปที่เหลือในการพักผ่อนหย่อนใจ
แสงแดดที่เคยแรงกล้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไออุ่นอ่อนโยนตามดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อย เงาของตึกรามบ้านช่องในตรอกเริ่มทอดยาวเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่เห็นกันเป็นอาจิณ
ปู้ฟางกำลังจะผล็อยหลับไป
“ตึก ตึก ตึก!”
ในตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าก็ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์
ร่างบางเล็กในชุดกระโปรงลายดอกไม้พุ่งเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว นางพิงกายกับผนัง หายใจหอบถี่ขณะค้อมตัวลง
ปู้ฟางมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
………………………………………