ปู้ฟางเดาไว้อยู่แล้วว่าหากเขาใช้วัตถุดิบที่ระบบมอบให้มาทำอาหารเลี้ยงคน ระบบจะต้องหักผลึกจากรายได้ของเขาแน่นอนด้วยนิสัยของมัน… ด้วยเหตุนี้เขาจึงหัวหมอตัดสินใจใช้วัตถุดิบมากมายที่ตนเองเก็บมาได้จากหนองน้ำปราณมายาแทน
ชายหนุ่มเก็บสมุนไพรพลังปราณมามากมายหลายชนิดแม้จะไม่ใช่สมุนไพรระดับสูงก็ตาม นอกจากนี้ปู้ฟางเขาก็ยังเจอขุมทรัพย์ที่คาดไม่ถึงด้วย ซึ่งก็คือปลาเนื้อแน่นของเผ่ามนุษย์อสรพิษที่เป็นอสูรเวทระดับหนึ่งนั่นเอง แม้ระดับของมันจะไม่สูง แต่เนื้อของปลาทุกตัวก็อ้วนท้วนสมบูรณ์น่ากินเป็นอันมาก
ปู้ฟางนำปลาชนิดนี้กลับมาสองสามตัว เนื่องจากเขาไม่มีโอกาสได้กินปลาย่างหอมฉุยที่ตนเองทำที่เผ่ามนุษย์อสรพิษเลยรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงเขาจะเป็นพ่อครัวแต่ก็รักในการกินด้วยเช่นกัน ด้วยความที่หัวใจของเขาร่ำร้องอยากกินปลาย่าง ชายหนุ่มจึงนำปลากลับมาด้วย อีกทั้งปลานี้ก็ไม่ใช่ของมีค่าในเผ่าอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
ที่เผ่ามนุษย์อสรพิษ ปู้ฟางสามารถย่างปลาแสนอร่อยออกมาได้ในสภาพแสนทุรกันดารขาดเครื่องมือเครื่องใช้ เมื่อกลับมาถึงร้านที่มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม แน่นอนว่าปลาย่างนี้จะต้องผ่านการปรับปรุงอย่างมหาศาลแน่
กลุ่มคนข้างนอกต่างพากันรออาหารจานใหม่ของปู้ฟางอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากอาหารใหม่ของชายหนุ่มไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวัง
ปู้ฟางยืนอยู่หน้าตู้เก็บของ กำลังดื่มดำกับความสะอาดและความครบครันของครัวที่ร้าน ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนใจออกมาด้วยความตระหนักรู้ สภาพห้องครัวของร้านเขานั้นยอดเยี่ยมกว่าที่เผ่ามนุษย์อสรพิษอย่างชนิดที่ว่าไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว
เมื่อมีอุปกรณ์ที่ดีเยี่ยมและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการทำอาหารเช่นนี้ ปู้ฟางก็สามารถทำปลาย่างได้อย่างมั่นใจขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มรีบเอาปลาอ้วนสองตัวที่ดินพราดๆ ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ ปู้ฟางเขาสำรวจดูความอ้วนท้วนสมบูรณ์ของปลา แล้วก็ชอบมันมากขึ้นไปอีก แม้พลังปราณของปลาชนิดนี้จะต่ำมากก็ตาม
กลุ่มควันสีเขียวหมุนวนรอบมือของปู้ฟาง จากนั้นมีดทำครัวกระดูกมังกรทองก็ปรากฏขึ้น เขาใช้น้ำสะอาดบริสุทธิ์จากบ่อน้ำพุล้างมีด แม้มีดทำครัวกระดูกมังกรทองจะทำความสะอาดตัวเองอยู่แล้ว แต่ปู้ฟางที่เป็นคนรักความสะอาดมากก็อดล้างมีดตามนิสัยไม่ได้
พอล้างมีดเสร็จ ปู้ฟางก็เริ่มเตรียมปลา เขาใช้เวลาไม่นานจัดการปลาทั้งสองตัว เนื่องจากคุ้นชินกับการเตรียมเนื้อปลาอย่างดี จากนั้นชายหนุ่มก็ผ่าท้องปลายาวไปจนถึงหาง กลับด้านเนื้อปลาออกมา แล้วบั้งสองสามครั้ง
เขาหยิบหม้อกระเบื้องออกมาแล้วใส่สุราสำหรับทำอาหารลงไป จากนั้นก็ใส่ปลาไว้ข้างใน ใส่ส่วนผสมเพื่อหมักเนื้อปลาลงไป แล้วนำหม้อไปใส่ไว้ในตู้สำหรับหมัก
ตู้จากระบบช่วยย่นเวลาการหมักให้สั้นลงได้มาก
ระหว่างที่กำลังรอให้ปลาหมักเข้าเนื้อ ปู้ฟางก็เริ่มเตรียมเครื่องเคียง เขาหยิบผักผลไม้ออกมา ควงมีดในมือ จากนั้นก็เตรียมทุกอย่างเสร็จภายในพริบตา
สุดท้ายเขาก็หยิบก้อนมงกุฎเลือดสีแดงชาดออกมา มงกุฎเลือดของอสูรเวทระดับเจ็ดงูเหลือมทมิฬนั้น จัดเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ามากเนื่องจากมีพลังปราณปริมาณมากอัดแน่นอยู่ภายใน กระแสพลังปราณภายในก้อนมงกุฎเลือดนี้ทำให้ทุกคนตกใจได้เลยทีเดียว
ปู้ฟางหั่นมงกุฎเลือดออกมาหนึ่งในสาม ทันทีที่มงกุฎเลือดถูกผ่า พลังปราณสารัตถะก็พวยพุ่งออกมาไม่ต่างจากมังกรที่มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม สิ่งนี้คือแก่นชีวิตของงูเหลือมทมิฬ แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไม่ธรรมดา
มงกุฎเลือดนั้นมีสัมผัสคล้ายเห็ด ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงหั่นมันให้เป็นเส้นแล้วนำไปผสมกับผัก
ปู้ฟางหยิบปลาสองชิ้นที่หมักเสร็จเรียบร้อยออกมาจากตู้ จากนั้นก็ขอให้ระบบเตรียมกระทะพิเศษสำหรับย่างปลาเอาไว้ให้
แม้ระบบจะขี้เหนียว แต่การจัดหากระทะสำหรับย่างให้ใหม่นั้นไม่กระทบจำนวนผลึกของปู้ฟาง เขาจะถูกหักเงินก็ต่อเมื่อขอวัตถุดิบเพิ่มเท่านั้น
ชายหนุ่มวางปลาสองชิ้นลงบนกระทะจากนั้นก็ใส่เข้าไปในเตาอบเพื่อย่าง ไอน้ำในเตาอบจะทำให้ปลาทั้งสองชิ้นนี้ค่อยๆ สุกเต็มที่ เมื่อได้เวลาพอเหมาะ ชายหนุ่มก็นำกระทะออกมา กลิ่นหอมของปลาย่างลอยล่องไปทั่ว
ผักและผลไม้ที่นำไปผัดกับน้ำมันถูกเทลงบนปลาย่าง มงกุฎเลือดละลายช้าๆ จากอุณหภูมิที่สูงด้วยกรรมวิธีการย่าง พลังปราณจากมงกุฎเลือดแทรกซึมเข้าไปในเนื้อปลาและผักผลไม้เป็นที่เรียบร้อย
กลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาพร้อมด้วยพลังปราณจำนวนมาก ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหิวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ปลาสองตัวนี้พอให้คนจำนวนมากด้านนอกกินพอดี
…
“นี่ พวกเราก็รู้ดีว่าเถ้าแก่ปู้ขี้เหนียวขนาดไหน พวกเจ้าคิดว่าเขาจะเอาอะไรมาเลี้ยงเราหรือ” เจ้าอ้วนจินยืดคอถามคนใกล้ๆ
หลัวซานเหนียนกลอกตาบน มุมปากยกขึ้นยิ้มเยาะ “ไม่มีทางเดาได้หรอก ด้วยนิสัยของเถ้าแก่ปู้แล้ว เขาอาจจะทำขนมปังแป้งข้าวโพดธรรมดาๆ ออกมา แล้วบอกพวกเราหน้าตายว่าเป็นอาหารจานใหม่ก็ได้”
“ไม่… ไม่มีทาง! หากเถ้าแก่ปู้บอกว่าเป็นอาหารจานใหม่ มันต้องคุ้มค่าแก่การรอแน่นอน!” เจวี้ยนเอ๋อร์วางกล่องขนมลงบนโต๊ะแล้วตอกกลับด้วยน้ำเสียงเอียงอายเบาๆ ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลัวซานเหนียน
ทุกคนสงสัยเป็นอย่างมากว่าปู้ฟางจะทำอะไรให้พวกเขากิน นี่เป็นเรื่องที่คาดเดายาก เนื่องจากพวกเขากินอาหารที่ร้านเป็นประจำแทบทุกวัน จึงรู้ดีว่าคุณภาพเช่นใดเหมาะกับราคาเช่นใด หากอาหารที่ปู้ฟางเลี้ยงในวันนี้มีราคาไม่ถึงผลึก ทุกคนคงได้รู้กันคราวนี้ว่าปู้ฟางขี้เหนียวเหมือนที่เขาพูดกันจริงๆ
นี่เป็นเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มต้องงัดเอามงกุฎเลือดออกมาใช้
ลำพังแค่ปลาตัวอ้วนจากเผ่ามนุษย์อสรพิษอาจจะอร่อยถูกปาก แต่ด้วยความที่มันเป็นอสูรเวทระดับหนึ่ง หากเขานำมาย่างเฉยๆ ทุกคนจะต้องรู้สึกหัวเสียแน่นอน
ขณะที่กลุ่มคนขาประจำในร้านกำลังพูดคุยกันอยู่ ปู้ฟางก็ค่อยๆ เดินทอดน่องออกจากครัวมาพร้อมกระทะปลาย่างในมือ
ปู้ฟางไม่ได้เรียกให้เสี่ยวอี้มายกไปเนื่องจากกระทะนี้มีขนาดใหญ่ แต่เดินถือออกมาเองแล้ววางลงบนโต๊ะ
กลิ่นหอมฉุยของปลาย่างทำให้ดวงตาของทุกคนเป็นประกายทันที
“เป็นอาหารจานใหม่จริงๆ เสียด้วย! นี่… นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังไม่ได้จัดใส่จานเหมือนอาหารอื่นๆ ด้วย!” ดวงตาของเจ้าอ้วนจินจับจ้องไปที่อาหาร เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าปู้ฟางจะเอาอาหารจานใหม่ออกมาจริงๆ
มุมปากของหลัวซานเหนียนกระตุก นางรู้สึกว่าการที่ปู้ฟางนำอาหารจานใหม่ที่ใหม่จริงๆ ออกมาเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมาก… ตอนแรกนางคิดว่าชายหนุ่มจะโยนขนมปังแป้งข้าวโพดใส่พวกเขาคนละชิ้นแล้วบอกว่านี่ใหม่แล้วเสียอีก
แต่แน่นอนว่าการมีอาหารจานใหม่จริงเป็นเรื่องดี… อย่างน้อยก็ถือได้ว่าพวกเขาโชคดีที่จะได้ลองชิม!
กลุ่มลูกค้าหน้าเดิมยกชามกับตะเกียบในมือขึ้นเตรียมพร้อมทันทีอย่างอดรนทนไม่ไหว ทุกคนสูดกลิ่นหอมเข้มชวนน้ำลายสอของปลาในอากาศเข้าไป สีหน้าดูมัวเมากับของอร่อย
แต่ก่อนที่จะได้ขยับตะเกียบ ปู้ฟางก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน
“นี่คือปลาย่าง อย่าเพิ่งรีบร้อน… หากรีบพวกเจ้าจะไม่ได้กินของอร่อยจริงๆ” ชายหนุ่มประกาศ
จากนั้นปู้ฟางก็เปิดส่วนบนของกระทะออกท่ามกลางสายตานิ่งอึ้งของทุกคน เผยให้เห็นส่วนที่เป็นแอ่งลงไปในเตาย่าง
ปู้ฟางยกนิ้วขึ้น พลังปราณเที่ยงแท้สีงาช้างไหลออกจากปลายนิ้วราวกับมีจิตวิญญาณของมันเองเต้นตุบๆ อยู่ข้างใน
เขาชี้นิ้วไปที่แอ่งของเตาย่าง ทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็ปะทุขึ้นภายในเตา แล้วเปลี่ยนเป็นวงแหวนปราณแบบง่ายท่ามกลางสายตาตกใจของทุกคน
วงแหวนปราณนั้นส่งความร้อนเผาไหม้ออกมา
ชายหนุ่มวางปลาย่างลงบนเตา วงแหวนปราณหมุนเป็นวงกลมอยู่ด้านล่าง ส่งความร้อนขึ้นไปยังปลาย่างด้านบน
วงแหวนปราณนั้นปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา จุดให้ทั้งกระทะสว่างสดใส ดูสวยงามเหมือนภาพวาดวิจิตร
“นี่คืออาหารจานใหม่ที่ข้าคิดค้นขึ้นมาระหว่างสองวันที่หายไป ปลาย่างวงแหวนปราณ” ปู้ฟางพูดอะไรมั่วๆ ที่เพิ่งคิดได้เมื่อครู่ออกมาอย่างหน้าตาย เพื่อหาข้ออ้างให้กับการหายตัวไปของตนเอง
วงแหวนปราณที่ส่งความร้อนขึ้นไปย่างปลานั้น ทำให้กลิ่นปลาย่างหอมฉุยมากขึ้นไปอีก ประกายแสงของวงแหวนปราณล้อกับสีของปลา ทำให้มันเปลี่ยนสีจากแดงอ่อนเป็นแดงเข้มซ้ำไปซ้ำมาตามการหมุนของวงแหวนปราณ…
ไอร้อนก่อตัวหนาขึ้นจนเริ่มมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ปลาย่างที่มีผลไม้และผักราดอยู่ด้านบนดูสวยงามเป็นอันมาก แค่หน้าตาก็งามพอจะทำให้ทุกคนต้องมนต์ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นปลาย่างหอมหวนที่ทวีคูณขึ้นอีกด้วยพลังของวงแหวนปราณด้านล่าง
“นี่ปลาย่างจานแรก ไม่ต้องรีบร้อนแย่งกันนะทุกคน ข้างในยังมีอีกจาน เดี๋ยวข้าจะไปหยิบมาให้” ปู้ฟางประกาศ
“ไปเลย ไปเลย…” ทุกคนพึมพำอย่างมึนงงเนื่องจากรับข้อมูลจากปู้ฟางเยอะเกินไป
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะมองกลุ่มคนที่กำลังกลืนน้ำลายไม่หยุด เขาหันหลังเดินกลับไปทางห้องครัว
“ว่าแต่เถ้าแก่ปู้ เราควรเริ่มกินปลานี่ตอนไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด” เจ้าอ้วนจินได้สติแล้วหันไปถามคำถามสำคัญทันที
“เดาสิ” ปู้ฟางโบกมือพลางตอบอย่างไม่สนใจอะไรมากนัก จากนั้นร่างของเขาก็หายเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว
“ถ้าต้องเดาเองแล้วข้าจะถามทำบ้าอะไร…” เจ้าอ้วนจินอยากตอกกลับปู้ฟาง แต่ขณะที่เขากำลังหันหน้ากลับมา รูม่านตาก็ต้องหดแคบลง
“พับผ่าสิ! ไอ้พวกป่าเถื่อน เหลือไว้ให้ข้าบ้าง!”
เจ้าอ้วนจินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดใจเมื่อฝูงชนในร้านพุ่งเข้าใส่ปลาย่างเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเห็นเนื้อแน่นของปลาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เจ้าอ้วนจินก็รู้สึกราวกับไขมันในร่างของเขาถูกรีดจนไม่เหลือ ไอ้พวกป่าเถื่อนนี่… ไหนบอกว่าจะรอให้ปลาสุกดีก่อนค่อยกินไง
ไหนบอกว่าคนเราควรจะเชื่อใจกันอย่างไรเล่า!