ยามรัตติกาล ดวงจันทร์เสี้ยวสองดวงเคลื่อนมาพันเกี่ยวกันบนท้องฟ้าสีหมึก ทอแสงเย็นลงสู่พื้นดินราวกับเป็นม่านหมอกสีเงินที่ปกคลุมโลก
ร้านเล็กๆ ของฟางฟางยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟ พร้อมไอหมอกร้อนที่โชยออกมาไม่ขาดสาย ไอร้อนนั้นมีกลิ่นอาหารรวมถึงพลังปราณเที่ยงแท้ปะปนผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ บรรยากาศครึกครื้นภายในร้านก็ค่อยๆ มอดลง พร้อมด้วยไอร้อนที่สลายหายไป
ปู้ฟางยืนตัวตรงอยู่ที่ประตูร้าน ส่วนกลุ่มลูกค้าประจำก็ล้วนอิ่มอกอิ่มใจกันถ้วนหน้า ทุกคนกินปลาย่างกันจนอิ่มหนำสำราญ ใบหน้าแดงเรื่อด้วยพลังปราณปริมาณมากในอาหาร ทั้งเนื้อปลาอ่อนนุ่มชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมทะลุโพรงจมูก และน้ำซุปเดือดปุด ทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจเป็นอันมาก
พวกเขาต่างพากันโบกมือลาปู้ฟางทีละคนสองคน แล้วเดินออกจากร้านไปที่ตรอก เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมลูบพุงอิ่มแปล้ไปด้วย
โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ได้อารมณ์เสียอีกต่อไป นางโบกมือให้ปู้ฟางแล้วออกจากร้านไปพร้อมเซียวเยี่ยนอวี่ เงาหนึ่งสูงสง่า ส่วนอีกเงาว่องไวปราดเปรียว ค่อยๆ หายไปในความมืดมิดของยามรัตติกาล
“หือ ในกล่องนี้คือทาร์ตไข่ที่เจ้านำมาให้ข้าชิมรึ จำได้ใช่ไหม… ว่าเจ้ามีโอกาสแค่สองครั้งเท่านั้น” ชายหนุ่มมองสองร่างสุดท้ายที่ยังคงไม่จากไปไหน ร่างหนึ่งกำลังเรอหน้าแดง ส่วนอีกร่างแก้มเป็นสีเรื่อพร้อมทำท่าเอียงอาย หลัวซานเหนียนกับเจวี้ยนเอ๋อร์นั่นเอง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ปู้ฟางกำลังถามคือเจวี้ยนเอ๋อร์
เจวี้ยนเอ๋อร์ได้ยินปู้ฟางพูดแล้วก็ส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่น “ไม่ใช่วันนี้ดีกว่า ข้าจะทำมาให้เถ้าแก่ปู้ชิมใหม่วันพรุ่งนี้เถ้าแก่ปู้ วันนี้… มันเย็นหมดแล้ว พออาหารไม่ร้อนก็จะมีผลต่อรสชาติ”
ปู้ฟางชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
“เถ้าแก่ปู้ ปลาย่างของท่านอร่อยเหาะจริงๆ! ถึงท่านจะเป็นชายที่เต็มไปด้วยข้อเสีย แต่ความสามารถในการทำอาหารนั้นเลิศล้ำยากหาใครเทียบเทียม! ข้า หลัวซานเหนียน ยอมแพ้ให้แก่อาหารของท่านแล้ว” หลัวซานเหนียนมองปู้ฟางตาหวานหน้าแดงเรื่อ จากนั้นก็หัวเราะหึๆ ในลำคอ
ปู้ฟางยังคงสงบนิ่งสม่ำเสมอ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหญิงสาวผู้นี้มีนิสัยมุทะลุไม่คิดหน้าคิดหลังขนาดไหน เขาจึงรู้ว่าต้องตั้งสติให้มั่นอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสองบอกลาปู้ฟางจากนั้นก็ออกจากตรอกไป
ในที่สุดตรอกที่ก่อนหน้านี้คลาคล่ำจอแจไปด้วยผู้คนก็กลับมาสงบอีกครั้ง ปู้ฟางถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็หันไปมองเจ้าดำที่นอนหลับอยู่ข้างประตู เขายิ้มแล้วหันหลังกลับเข้าครัวไปพลางปิดประตูร้าน
ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน… ตอนนี้เขาคิดแต่เรื่องการนอนเท่านั้น
…
“เจ้าดำ ได้เวลาอาหารแล้ว”
เช้านี้ปู้ฟางซ้อมทักษะการใช้มีดและการแกะสลักเรียบร้อย และทำซี่โครงเปรี้ยวหวานจานเด็ดเสร็จแล้วเช่นกัน ชายหนุ่มเดินถือจานซี่โครงออกมานอกร้านแล้วร้องเรียกสุนัขเสียงเบา
จมูกของเจ้าดำกระตุก ดวงตาเป็นประกายขณะมองซี่โครงเปรี้ยวหวานในมือปู้ฟางด้วยสายตาเซ่อๆ “ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้กินซี่โครงเปรี้ยวหวานจานเด็ดอีกแล้ว!”
ปู้ฟางวางซี่โครงลงตรงหน้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ จากนั้นก็ลูบขนมันสวยแสนนุ่มของมัน แล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าร้านไป
แต่เขาก็ต้องชะงักกลางทาง รูม่านตาหดแคบเมื่อหันไปเห็นกระถางต้นไม้ดินเผาสีเหลืองอมน้ำตาลที่มุมห้อง
“หือ นั่นมัน… ต้นไม้นี่โตเป็นต้นอ่อนแล้วรึ” ปู้ฟางพึมพำด้วยความงุนงง เขาเพิ่งปลูกเมล็ดลงในกระถางไม่นานแต่กลับมีลำต้นงอกออกมาให้เห็นแล้ว นอกจากนี้ยังผลิใบเขียวออกมาด้วย ต้นไม้นี้กำลังจะกลายเป็นต้นอ่อนเต็มตัว
ปู้ฟางรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับพัฒนาการของมันพอตัว เขานั่งยองๆ ลงข้างกระถางต้นไม้แล้วเพ่งตามองไปที่ใบอ่อน ใบไม้ทุกใบมีลวดลายวิจิตรอยู่บนผิวใบ ลายนั้นลื่นไหลพันเกี่ยวกันอย่างสวยงาม ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างต้องรู้สึกอัศจรรย์ใจ
“สี่สายรึ ไม่สิ… ห้าสาย!” ปู้ฟางนับลายบนใบไม้ แล้วระบุจำนวนลายถูกต้องในที่สุด
เขาลุกขึ้นยืน แม้ไม่รู้ว่าต้นไม้นี้จะออกผลอะไร แต่พลังปราณที่แผ่ออกจากใบก็บ่งบอกว่าต้นไม้นี้ล้ำค่าหายากเพียงใด
แม้พลังปราณที่แผ่ออกมานั้นจะยังไม่มากนัก แต่มันก็หมุนเวียนอยู่ภายในร้านและสร้างบรรยากาศสุดประหลาดขึ้นมา
บรรยากาศนั้นช่างแสนลึกลับยากหยั่งถึง
หลังจากที่สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของต้นอ่อนในกระถาง ชายหนุ่มก็เดินเข้าครัวไปด้วยใจสุขล้น เขาตักน้ำสะอาดบริสุทธิ์จากบ่อน้ำพุที่ระบบเตรียมไว้ขึ้นมา แล้วเทน้ำครึ่งชามที่เต็มไปด้วยพลังปราณลงไปในกระถาง หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็เทอีกครึ่งชามที่เหลือลงไปเช่นกัน
“กินน้ำเยอะๆ นะ ข้าขอมอบหน้าที่การเปลี่ยนร้านของเราให้เป็นป่าให้เจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพูดกับต้นไม้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ปู้ฟางเดินกลับเข้าครัวไปยังตู้เก็บของ จากนั้นก็หยิบฝักบัวสีฟ้าออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ ในฝักบัวมีเม็ดบัวสีเขียวอมน้ำเงินอยู่ เม็ดบัวนี้มีพลังปราณเข้มข้นลอยวนอยู่รอบๆ
ดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งนี้เป็นสมุนไพรพลังปราณระดับเจ็ด ด้วยความที่ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่ามนุษย์อสรพิษทำเสียของไปสามเม็ด จึงเหลืออีกเพียงห้าเม็ดให้เขาใช้เท่านั้น ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับปู้ฟาง
ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูตู้ พลังร้อนก็กระจายออกมา ในนั้นมีสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงที่เหลืออยู่ครึ่งเดียววางอยู่ พร้อมด้วยผลตื่นรู้ทางสามสายที่สว่างเจิดจ้า
เมื่อรวมกับดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งที่อยู่ในมือปู้ฟางแล้ว ชายหนุ่มรวบรวมสมุนไพรพลังปราณระดับเจ็ดมาได้สามชนิดด้วยกัน… ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อไม่น้อยทีเดียว
ลำพังแค่มีสมุนไพรระดับเจ็ดอยู่ในมือเพียงหนึ่งชนิดก็น่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ปู้ฟางซึ่งเป็นแค่พ่อครัวในร้านอาหารเล็กๆ ในนครหลวงแห่งนี้ กลับมีสมุนไพรระดับเจ็ดในครอบครองอยู่ถึงสามชนิด ถือเป็นเรื่องที่ล้ำเกินจินตนาการไปมาก
“มีสมุนไพรพอแล้ว ข้าน่าจะเริ่มทำสุราได้เลย… แต่ไม่ต้องรีบร้อนไป ข้าต้องวางแผนให้รัดกุมก่อนว่าจะเริ่มกรรมวิธีหมักอย่างไรบ้าง”
ปู้ฟางวางดอกบัวไว้ในตู้ซึ่งมีคุณสมบัติกักเก็บพลังปราณเอาไว้ในวัตถุดิบได้อย่างสมบูรณ์
ที่ด้านนอกร้าน เจ้าอ้วนจินมาถึงพร้อมเสียงฝีเท้าหนักตามแบบฉบับ วันนี้ตาของชายอ้วนดูโหลอย่างประหลาด แต่ตัวเขากลับเปี่ยมล้นไปด้วยความกระฉับกระเฉง เป็นความกระฉับกระเฉง… ที่พลุ่งพล่านจนทำให้นอนพักไม่ได้
ปู้ฟางเดินออกจากครัวมาเจอชายอ้วนที่คุ้นเคยแล้วก็ต้องชะงักทันที “พับผ่า เจ้าอ้วนจิน… เกิดอะไรขึ้นกัน”
เจ้าอ้วนจินหันไปมองปู้ฟางด้วยสายตาทุกข์ระทมแล้วเอ่ยตอบ “เถ้าแก่ปู้ หลังจากที่กินปลาย่างของท่านเข้าไปเมื่อวาน… ข้าก็นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง หัวใจเหมือนโดนไฟแผดเผา ข้านอนไม่หลับเลย เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนทั้งคืน เห็นสภาพข้าไหมเล่า”
ปู้ฟางเม้มปากจากนั้นก็ส่งเสียงรับรู้ออกมาเบาๆ เขาไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปลาย่างเมื่อวานนั้นมีมงกุฎเลือดของงูเหลือมทมิฬผสมอยู่หนึ่งในสามส่วน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เปี่ยมด้วยพลังปราณปริมาณมาก จึงไม่แปลกหากผู้ที่กินเข้าไปจะนอนไม่หลับ
เขาพอเดาได้ว่าเมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้กับคนอื่นๆ เดินเข้าร้านมาในวันนี้ ตาของพวกเขาจะดำเป็นหมีแพนด้าไม่ต่างกัน
“เถ้าแก่ปู้ วันนี้ข้าเอาขนมจีบทองคำก็แล้วกัน ขอเปลี่ยนนิดหน่อย วันนี้ข้าอยากกินอะไรเบาๆ” เจ้าอ้วนจินนั่งลงแล้วเอ่ยกับปู้ฟาง
“ขนมจีบทองคำเนี่ยนะเบา อย่ามาแต่งเรื่องเกี่ยวกับอาหารร้านข้าต่อหน้าข้าเชียว…” ปู้ฟางหันไปมองเจ้าอ้วนจิน แต่ก็ขี้เกียจตอกกลับจึงทำได้เพียงคิด จากนั้นเขาก็จดรายการที่ชายอ้วนสั่งแล้วกลับเข้าครัวไป
เงาผอมบางดูอ่อนแอเงาหนึ่งปรากฏขึ้นในตรอก เงานั้นเป็นของชายชราในชุดคลุมสีเทา ใบหน้าของเขาย่นยู่ด้วยริ้วรอยแห่งวัยเหมือนลำต้นเหี่ยวๆ ของต้นไม้แก่
ชายชราค่อยๆ เดินทอดน่องไปข้างหน้า เอามือไพล่หลังไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างถือพัดที่ทำมาจากขนของอสูรเวทอะไรก็ไม่ทราบได้พลางโบกสะบัดพัดในมือเบาๆ
เป็นเรื่องแปลกไม่น้อยที่จะใช้พัดพัดให้ตนเย็นสบายขึ้นในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้… แต่ก็อาจจะเป็นความชอบส่วนตัวก็เป็นได้
“นี่น่ะหรือร้านเล็กๆ ของฟางฟางในตรอกของนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว ร้านที่ขยี้อาหารฝีมืออาเหวยเสียราบคาบหมอบกระแต… ชายแก่คนนี้เห็นที่จะต้องมาเปิดโลกให้ตนเองเสียหน่อย” ชายชรายิ้มอ่อนพลางโบกพัดในมืออีกครั้ง ใบหน้าของเขาดูลึกลับซ่อนเงื่อนพิกล
“ท่านตา ท่านไม่หนาวรึเจ้าคะ…” โอวหยางเสี่ยวอี้ยืนอยู่ด้านหลังชายชรา นางมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาหวานกลมโตที่มีแววงุนงงเมื่อเห็นชายแก่กำลังยืนพัดวีให้ตนเองอยู่ในตรอก จากนั้นก็ถามออกมาด้วยเสียงแหลมร่าเริง
ชายชราชะงักทื่อทันที ความลึกลับมลายหายไปจากใบหน้าขณะเอ่ยตอบ “ไม่เลย… ข้าไม่หนาวเลยเจ้าหนูน้อย เจ้าไม่คิดว่าการใช้พัดในช่วงหน้าหนาวนี่ดูหล่อรึ”
โอวหยางเสี่ยวอี้กลอกตา ตาแก่ตรงหน้านางนี่กำลังล้อเล่นอยู่รึ นี่มันหน้าหนาวนะ คนเราควรจะใส่เสื้อผ้าหนาขึ้นเพื่อให้อุ่นสิ ใครมันจะมาห่วงหล่อห่วงสวยกัน
“ท่านตามากินอาหารที่ร้านหรือเจ้าคะ ตามข้ามาเลยเจ้าค่ะ” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดพร้อมเชิญชายชราเข้าไปในร้าน
ชายชราโบกพัดอีกครั้ง พยักหน้า จากนั้นก็เดินตามโอวหยางเสี่ยวอี้ไป
พอไปถึงทางเข้าร้าน เขาก็พลันหันไปมองสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่กำลังกินอาหารในชามกระเบื้องอย่างตะกละตะกลาม สุนัขตัวนี้กำลังตะแคงก้นส่ายหางไม่หยุด ดูเหมือนจะชอบใจสิ่งที่ตนเองกำลังกินอยู่เป็นอันมาก
“ซี่โครงเปรี้ยวหวานนี่… สีส้มใส กลิ่นหอมเหลือเกิน เป็นซี่โครงเปรี้ยวหวานที่สมบูรณ์ที่สุด!” รูม่านตาของชายชราหดแคบ เขาเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม
คราวนี้เขาไม่ได้โบกพัดก่อนเป็นพิธี แต่เดินตรงรี่เข้าไปหาเจ้าดำทันที ดวงตาจ้องไปที่ซี่โครงเปรี้ยวหวานกลิ่นหอมควันฉุยในชามของเจ้าดำ พลางกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“นี่มันผลงานชิ้นเอกในบรรดาซี่โครงเปรี้ยวหวานในโลกหล้าชัดๆ เป็นงานชิ้นเอกที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชายแก่คนนี้เกิดมาไม่เคยได้เห็นเลยในชีวิต… น่าเสียดายจริงที่กลับนำมาให้สุนัขกิน เหมือนการโยนของขวัญจากเซียนเทพทิ้งไปในอากาศชัดๆ! ช่างเสียของอะไรเช่นนี้!”
เจ้าดำที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาตะลุยกินซี่โครงเปรี้ยวหวานชะงักทันที มันค่อยๆ เหลือบตากลมโตดำขลับขึ้นไปมองชายแก่ตรงหน้า