ปู้ฟางเปิดฝาถังออก เกิดเสียงดังเป๊าะเบาๆ พร้อมกลิ่นสุรารุนแรงที่ระเบิดออกมาจากเหยือก กลิ่นสุรานั้นราวกับจะก่อตัวเป็นหมอกล้อมรอบกาย ก่อนไหลบ่าเข้าสู่โพรงจมูกของปู้ฟาง ทำให้ต่อมรับรสของชายหนุ่มสั่นระริก
กลิ่นนี้เป็นกลิ่นสุราผลไม้เข้มข้น แซมด้วยรสหอมหวานอมฝาด แต่รสฝาดที่สัมผัสได้นั้นไม่ได้กระทบต่อกลิ่นหอมของสุราแม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งชูให้กลิ่นนั้นเย้ายวนและน่าลิ้มลองมากขึ้นไปอีก
ปู้ฟางเปิดตากว้าง อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “เอื๊อก” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ขยับจมูกเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นของสุราเดินทางเข้าสู่โพรงจมูกของเขาราวกับเป็นอสรพิษขนาดจิ๋ว ก่อนจะไหลบ่าเข้าไปตามเนื้อตัวแขนขา ทำให้ชายหนุ่มยิ่งลิงโลดใจขึ้นไปอีก
“หอมอะไรเช่นนี้! ช่างเป็นสุราชั้นเลิศยิ่งนัก!”
ปู้ฟางสูดหายใจด้วยความยินดี แต่สีหน้าของชายหนุ่มแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง เหตุก็เพราะเขาใช้กรรมวิธี “เหยือกซ้อนเหยือก สุราในสุรา” ในการหมัก แปลว่าสิ่งนี้ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย
ถึงแม้ว่ากลิ่นของสุราในตอนนี้จะค่อนข้างน่าประทับใจแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในระดับเดียวกับสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเท่านั้น หากจะให้ก้าวผ่านมันไปได้ หรือขึ้นไปเทียบเคียงกับ “ลมหายใจมังกร” ตามที่หนี่หยันอธิบายไว้ สุรานี้ยังต้องยอดเยี่ยมกว่านี้อีกประมาณหนึ่ง
ปู้ฟางไม่ได้รีบร้อน เขาหยิบเหยือกเล็กมาอีกสามใบ แล้วใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำสุราออกมาจากเหยือกใหญ่แล้วเทลงไปในเหยือกเล็กทั้งสาม
ชายหนุ่มจุ่มกระบอกไม้ไผ่ลงไปในเหยือกสุรา เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบา น้ำสุราภายในเหยือกก็กระเพื่อมราวกับเป็นพื้นผิวของแม่น้ำ กลิ่นหอมที่บางเบาในตอนแรกระเบิดออกมา ทำให้สีหน้าของปู้ฟางพึงพอใจขึ้นไปอีก
ในครั้งนี้น้ำสุราไม่ได้ใสราวน้ำในฤดูใบไม้ผลิ หากแต่มีสีออกเหลืองจางๆ เป็นสีเหลืองที่เรียบง่าย คือไม่เหลืองเข้มข้นเหมือนผสมสารสังเคราะห์ แต่ดูงดงามและไร้สิ่งเจือปนราวกับเป็นอัญมณี
น้ำสุราจากเหยือกเดิมถูกตักแบ่งเอาไว้ในสามเหยือกเล็ก สิ่งที่เหลือในเหยือกใหญ่มีเพียงเศษเนื้อผลไม้ ปู้ฟางหยิบที่กรองขึ้นมาก่อนจะเทเศษพวกนี้ลงไป แล้วคั้นน้ำสุราที่เหลือออกมาได้เกือบครึ่งเหยือก
พอทำเสร็จ ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงเปลวไฟที่ลุกโชนในใจเขาอีกครั้ง
ชายหนุ่มเคลือบพลังปราณเที่ยงแท้เอาไว้บนฝ่ามือ ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปในเหยือกสุราใบใหญ่ มือของเขาไปสัมผัสหนึ่งในเหยือกหมักสุราทั้งสาม เหยือกนั้นมีอุณหภูมิสูงจนแทบจะเดือด ทันใดนั้นใจของปู้ฟางก็สั่นไหวอยู่ภายใน
“ในเหยือกนี้น่าจะเป็นสุราที่หมักจากสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิง” หัวใจของปู้ฟางกระตุก เขาออกแรงดึงเหยือกใบเล็กออกมา
เหยือกสุราใบเล็กดูนุ่มนวลเรียบลื่นจากภายนอก แต่หากไม่ใช่เพราะพลังปราณเที่ยงแท้บนฝ่ามือของปู้ฟางแล้ว เขาคงไม่สามารถหยิบมันออกมาจากเหยือกใบใหญ่ได้ง่ายๆ
ทันทีที่ชายหนุ่มดึงเหยือกสุราออกมา เขาก็ต้องตกใจจนแทบผงะ เพราะเหยือกสุราในมือนั้นแปรสภาพไปอย่างสิ้นเชิง พื้นผิวของเหยือกมีประกายสีแดงฉานอาบเคลือบอยู่ แต่ก็ยังสะอาดใสอยู่เช่นเดิม ดูเหมือนว่าวัตถุดิบจะแปรสภาพไปแล้วโดยสมบูรณ์
แม้จะมีแสงสะท้อนเคลือบอยู่ภายนอก แต่ไม่ว่าใครก็มองเห็นของเหลวภายในเหยือกได้ น้ำสุราภายในเหยือกมีสีแดงเพลิง มีควันลอยอวลอยู่ด้านบน ปู้ฟางรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในอก ก่อนจะวางเหยือกสุราลงบนโต๊ะ เมื่อเหยือกสุรานั้นกระทบแสงก็ส่องประกายสีแดงที่งดงามและเย้ายวนออกมา
ปู้ฟางถึงกับต้องสูดปากด้วยความตื่นตะลึง เขาเคลือบฝ่ามือด้วยพลังปราณเที่ยงแท้อีกครั้ง แล้วเอื้อมมือไปจับเหยือกที่เย็นยะเยียบจนถึงกระถูกพลางดึงมันออกมา
เหยือกสุราใบนี้เปลี่ยนสีไปเป็นสีฟ้า ราวกับถูกหลอมขึ้นจากผลึกน้ำแข็งก็ไม่ปาน มันแผ่รัศมีความเยือกเย็นของฤดูหนาวออกมาแผ่วเบา
เหยือกใบนี้ต้องเป็นสุราที่หมักด้วยดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งเป็นแน่
เมื่อเอื้อมมือเข้าไปเป็นครั้งที่สาม ปู้ฟางก็ดึงเหยือกสุราใบสุดท้ายออกมา มันคือเหยือกของสุราที่หมักโดยใช้ผลตื่นรู้ทางสามสาย
พื้นผิวของเหยือกสุราใบนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเหมือนอีกสองใบ ลายรูปเมฆสามสายเพียงปรากฏชัดเจนขึ้นกว่าเก่า ดูสมจริงราวกับเป็นก้อนเมฆหนานุ่มที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าก็ไม่ปาน
เหยือกสุราทั้งสามที่ตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและงดงามจับตาไม่แพ้กัน
ปู้ฟางคลายพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากฝ่ามือ เขาเพ่งมองเหยือกสุราทั้งสามก่อนจะม้วนมุมปากขึ้น ช่างเป็นผลงานที่น่าประทับใจไม่น้อย
ชายหนุ่มหยิบเหยือกสุราสีแดงเพลิงขึ้นมา ฝาดินเผาของเหยือกบวมบูดขึ้นราวกับจะปริแตก
ปู้ฟางสูดหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะดึงฝาออก
“ตู้ม!” ฝาดินเผากระเด็นขึ้นไปในอากาศพร้อมเสียงดังสนั่น เสียงร้องของนกปักษาเพลิงดังออกมาจากเหยือกสุรานั้น
ควันที่มีรูปร่างเหมือนนกปักษาเพลิงสีแดงฉานสยายปีกแล้วพวยพุ่งออกมา
ร่างเงานั้นลุกเป็นไฟก่อนจะหมุนวนอยู่ในอากาศ มันแปรสภาพเป็นกลิ่นสุราหอมหวานก่อนจะระเบิดสลายไป
ปู้ฟางสูดดมกลิ่นของสุราเข้าไปเล็กน้อยก็สัมผัสได้ว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นเทิ้ม ทุกอณูในร่างกายของชายหนุ่มสั่นไหวรุนแรง นัยน์ตาส่องประกายขณะที่พลังปราณเที่ยงแท้ในกายหมุนวนรวดเร็วยิ่งขึ้น
“กลิ่นสุราหอมแรงราวกับเปลวเพลิง! ความรู้สึกที่ลุกโชนขึ้นมา!”
ปู้ฟางคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ ก่อนจะจ้องเข้าไปภายในเหยือก หากไม่มีตู้โกงเวลาในครัว การที่สุราจะมีกลิ่นระดับนี้ได้น่าจะต้องหมักอยู่ราวสามปี กลิ่นสุราพุ่งทะลักออกมาก่อกวนจิตใจผู้ที่ได้สูดดม
กลิ่นของสุราจากเหยือกนี้เพียงเหยือกเดียวก็หอมรุนแรงเสียจนปกคลุมร้านทั้งร้าน กลิ่นยังทะลักออกไปที่ตรอกซอยใกล้เคียง กระจายอยู่ในอากาศโดยรอบ
เจ้าดำที่นอนคุดคู้อยู่ยกศีรษะของมันขึ้นเมื่อได้กลิ่นสุรานี้ มันกะพริบตาก่อนจะหันศีรษะไปทางร้านของปู้ฟาง
น้ำสุราในเหยือกเป็นสีแดงเพลิง กลิ่นของมันคล้ายกลิ่นเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ หากเขย่าเหยือกเบาๆ ก็จะได้ยินเสียงร้องของนกปักษาเพลิงดังก้องมาจากด้านใน
ปู้ฟางหันสายตาไปยังเหยือกสุราที่ดูเหมือนว่าทำมาจากผลึกน้ำแข็ง เมื่อเปิดฝากลิ่นของสุราที่หมักมาเป็นเวลาสามปีก็ทะลักออกมา ก่อตัวลอยวนอยู่เหนือเหยือก มันแปรสภาพเป็นดอกบัวน้ำแข็งสีฟ้าที่กำลังเบ่งบาน
กลิ่นของสุราเหยือกนี้ไม่ได้ร้อนแรงแต่กลับเย็นเยียบ ปู้ฟางรู้สึกราวกับว่าจมูกของเขาถูกแช่แข็งเพราะความเย็น ชายหนุ่มถึงกับย่นคิ้วเล็กน้อย
เพียงแค่เขาแตะเหยือกสุราเบาๆ น้ำสุราที่อยู่ภายในก็กระเพื่อมทันที ของเหลวเคลื่อนไหวเป็นระลอก ส่งเสียงสะท้อนแผ่วเบาออกมา
ปู้ฟางเลียริมฝีปากก่อนจะหันไปหาเหยือกสุดท้าย เหยือกที่หมักจากผลตื่นรู้ทางสามสาย เมื่อเปิดฝาดินเผา สัมผัสภายในกลับดูธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ
ปู้ฟางตกตะลึง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เหยือกเพื่อเพ่งมอง จู่ๆ สายของเมฆสายแรกจากสามสายก็กระจายตัว กลิ่นสุราหอมหวานรุนแรงไหลบ่าออกมาจากภายใน แทบจะซัดปู้ฟางให้ร่วงลงไปกองกับพื้น
กลิ่นสุราที่รุนแรงเกินจะเปรียบนั้นกระจายไปทั่ว มันไหลทะลักออกจากร้าน เลยไปถึงตรอกซอยเล็กๆ รอบข้าง ผู้คนใกล้เคียงจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็พากันมึนเมา เพียงแค่สูดหายใจเข้าไปครั้งเดียว พวกเขาก็หน้าแดงแล้วเดินเซเพราะความเมามาย
ปู้ฟางมึนศีรษะเล็กน้อย ตัวยังสั่นเทิ้มจากความรุนแรงของกลิ่นสุรานี้ จากนั้นลายเมฆสายที่สองก็ระเบิดออกมา ทำให้ปู้ฟางต้องก้าวถอยหลังไปอีกก้าว
ราวกับว่าเป็นแรงกระเพื่อมที่ไร้เสียง กลิ่นของสุรากระจายออกมาอีกครั้ง จนแทบจะท่วมทะลักร้านอาหารปักษาเพลิงนิรันดร์
หนี่หยันที่พายี่จือหลิงมาลิ้มรสอาหารชั้นเลิศที่ร้านอาหารปักษาเพลิงนิรันดร์ถึงกับชะงัก จมูกเล็กๆ แต่เฉียบคมของนางขยับฟุดฟิด แววตาส่องประกายราวแสงดาวในคืนเดือนมืด
“กลิ่นสุรานี้…มาจากไหนกัน ทำไมถึงได้หอมเพียงนี้!”
ในพริบตาเดียว หนี่หยันก็พุ่งตัวออกมาจากร้านอาหารปักษาเพลิงนิรันดร์พร้อมยี่จือหลิง จมูกของนางยังคงกระตุกไม่หยุด มันกำลังดมหาต้นตอของกลิ่นสุราปริศนา
เมื่อสายเมฆสายที่สามจากผลตื่นรู้ทางสามสายปะทุขึ้น ร้านของปู้ฟางก็ท่วมท้นไปด้วยกลิ่นสุรา เพียงสูดดมครั้งเดียว ใบหน้าของปู้ฟางชายหนุ่มก็กลายเป็นสีกุหลาบ ราวกับว่าได้ดื่มสุราฤทธิ์แรงเข้าไปจอกใหญ่
ปู้ฟางส่งพลังปราณเที่ยงแท้เข้าควบคุมความเมามายภายในกาย นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายด้วยความตื่นตะลึงไม่ลดละ
ใครจะไปคิดว่าน้ำสุราที่หมักด้วยส่วนผสมสามอย่างภายใต้กรรมวิธีพิเศษจะได้ผลน่าเหลือเชื่อเช่นนี้…
ทว่า…น้ำสุรานี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ปู้ฟางหยิบเหยือกสุราหยกออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเทน้ำสุราสีเหลืองจากเหยือกเดิมลงไปท่วมประมาณครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆ เทสุราสีแดงเพลิง สุราน้ำแข็งสีฟ้า และสุราจากผลตื่นรู้ทางสามสายลงไปอย่างละครึ่งเหยือก
ปู้ฟางใช้เหยือกหยกผสมน้ำสุราทั้งสามเข้าด้วยกัน
ของเหลวภายในเหยือกหยกส่องประกายกล้า ก่อนจะสั่นไหวเล็กน้อย
นัยน์ตาของปู้ฟางลุกโชน ชายหนุ่มยกฝาขึ้นปิดเหยือก แล้วส่งพลังปราณเที่ยงแท้ไปยังมือทั้งสอง
เขาทุบฝ่ามือลงไป เหยือกสุราลอยละล่องขึ้นไปในอากาศ มันหมุนคว้างก่อนจะส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาไม่หยุดหย่อน
เปรี้ยง!!
เหยือกหยกหล่นลงมาบนโต๊ะอย่างแรง ส่งเสียงดังสนั่น หน้าผากของปู้ฟางมีเหงื่อจับพราว นัยน์ตาทั้งคู่ลุกไหม้ประหนึ่งเปลวเพลิง
สุราของเขา…เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงฝาของเหยือกหยกขึ้นอย่างระแวดระวัง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่ากลิ่นที่ลอยออกมานั้นหอมแรงกว่าที่เคย เรียกว่าหอมกว่ากลิ่นทั้งสี่ก่อนหน้านั้นรวมกันหมื่นเท่า
กลิ่นสุราที่พวยพุ่งออกมานั้นไพศาลและแกร่งกล้า ราวกับเป็นเกลียวคลื่นในทะเลคลั่ง
อึดใจนั้นเอง ปู้ฟางก็จมดิ่งหายไปในกลิ่นอันหอมหวนนั้น
กลิ่นสุราม้วนตัวขึ้นราวกับเป็นมหาสมุทร เกลียวคลื่นคลั่งโยนตัวสูงขึ้นทุกทีๆ กลิ่นนี้แพร่กระจายออกไปโดยมีร้านค้าของปู้ฟางเป็นศูนย์กลาง
ขณะที่หนี่หยันกำลังลากยี่จือหลิงให้เดินมาด้วยกันใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อสวย ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด กลิ่นสุรานี้…เปลี่ยนไปอีกครั้ง! และยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเคยเสียอีก!
กลิ่นหอมที่กระจายออกไปราวกับเป็นคลื่นคลั่งแพร่ขยายไปทั้งสี่ทิศ มันไหลท่วมครึ่งหนึ่งของนครหลวงโดยมีร้านขนาดเล็กแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง!