“สุราที่หมักจากธัญพืชหมักเหล้านี้น่าจะเลิศรสดีแท้” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาวาวเป็นประกาย กลิ่นสุราที่โชยเข้าจมูกนั้นทั้งเข้มข้นและกลมกล่อมเทียบได้กับ “สุราเพลิงชัชวาลหอมชั้นเยี่ยม” จากวังหลวงเลยทีเดียว
ตอนที่พ่อครัวหนุ่มนำปลาดองเหล้าออกมาให้องค์ชายสาม ทุกคนในร้านต่างหันมามองเป็นตาเดียว แม้แต่เด็กหญิงยังชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้ว่าหน้าตาของมันจะเป็นอย่างไร แม้ตัวนางเองจะเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าปลาดองเหล้าต้องไม่อร่อยเท่าน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาก็ตาม
“สวยเหลือเกิน…” เซียวเยียนอวี่อุทานเบาๆ เมื่อเห็นปลาทะเลน้ำแข็งที่ส่องประกายสีชมพูอ่อน ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่อาหารจานใหม่นี้ทันที
หนังปลาที่ปรุงสุกด้วยกรรมวิธีที่ปู้ฟางใช้ทั้งแน่นและเด้งเมื่อสัมผัส ธัญพืชหมักเหล้าไหลออกมาจากรอยผ่าที่ท้อง ส่งกลิ่นหอมและความร้อนออกมาในคราวเดียวกัน กลิ่นสุราเข้มข้นเอ่อล้นออกจากปากปลา ให้ความรู้สึกราวกับมันกำลังแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร
“นี่ปลาดองเหล้าที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดหน้าตาย
จีเฉิงเสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความอดรนทนไม่ไหว แม้จะอยากกินอาหารตรงหน้ามากเท่าใด การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มก็ยังเป็นขั้นเป็นตอน องค์ชายสามใช้ตะเกียบจิ้มดูเพื่อตรวจสอบความแน่นของหนังปลา แรงต้านที่ผลักตะเกียบกลับมานั้นทำให้เขายิ้มพอใจ
มีเพียงพ่อครัวที่ควบคุมความร้อนได้แม่นยำเหมือนจับวางเท่านั้นที่จะนึ่งหนังปลาให้ออกมาเด้งได้เท่านี้ หากนึ่งไวไปหนังปลาจะแข็งกระด้างและเนื้อจะสาก แต่หากนึ่งนานไปหนังปลาจะเหนียวเคี้ยวยาก ส่วนเนื้อก็เหลวเละไม่น่ากิน
เขาดันตะเกียบไปข้างหน้าเล็กน้อย ตะเกียบตัดผ่านหนังปลาเข้าไป น้ำมันปลาใสแจ๋วไหลออกมาจากรอยแยก ตามมาด้วยกลิ่นหอม
จีเฉิงเสวี่ยคีบเนื้อปลาส่วนใกล้ครีบออกมาก่อน เนื่องจากเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดและมีคุณภาพดีที่สุด ผู้ที่มีความรู้เรื่องการกินปลาจะเลือกส่วนนี้ก่อนเสมอ
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายทันทีที่เนื้อปลาเข้าปาก เขารู้สึกราวกับว่าตนเองไม่ได้กินปลาอยู่ แต่กำลังดื่มสุราหนึ่งจอกแทน กลิ่นสุราไหลทะลักออกจากเนื้อปลา เข้าโอบอุ้มปากของเขาเอาไว้ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นชิ้นเนื้อปลาที่ทั้งสดและนุ่มเข้ามาเกาะกุมต่อมรับรสของเขาต่างหาก
ปลานั้นมีรสชาติสดชื่นทั้งยังให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย การผสมผสานกันของความรู้สึกร้อนและเย็นสร้างสัมผัสที่ตัดกันแต่กลับมีรสชาติดีเลิศอย่างน่าประหลาด
จีเฉิงเสวี่ยหลับตาลง ดื่มด่ำกับรสชาติอาหารในปาก เขาพยักหน้า ใบหน้าดูราวกำลังเมามาย จากนั้นก็คีบปลาชิ้นใหญ่เข้าปากไปอีกครั้ง
“เถ้าแก่ปู้ ปลานี่ไม่ใช่ปลาธรรมดาใช่หรือไม่ ความรู้สึกเย็นๆ ของเนื้อปลานี้สำคัญมาก เพราะทำให้รสชาติของปลาที่อร่อยอยู่แล้วทวีความเลิศรสขึ้นไปอีก” จีเฉิงเสวี่ยพูดขณะกิน
คนอื่นๆ นั้นกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ขณะมององค์ชายคีบอาหารด้วยตะเกียบอย่างรวดเร็ว แม้แต่เด็กหญิงก็ยังจับจ้องปลาดองเหล้าไม่วางตา พลางคิดไปว่าดูน่าอร่อยดี…
“ปลาที่ใช้คือปลาทะเลน้ำแข็งระดับสามจากทะเลตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิวายุแผ่ว เนื้อของปลาชนิดนี้เย็นจัด แต่ความเย็นนั้นสลายหายไปไม่น้อยหลังผ่านกระบวนการปรุงสุก เมื่อรวมเข้ากับความร้อนจากธัญพืชหมักเหล้า ความร้อนและความเย็นจะผสานเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดเป็นสัมผัสที่แตกต่างระหว่างสองขั้ว” ปู้ฟางอธิบายเล็กน้อยก่อนเดินกลับเข้าครัวไป น้ำแกงเต้าหู้หัวปลานั้นยังเตรียมไม่เสร็จ ชายหนุ่มจึงไม่อยากเสียท่า
เมื่อได้ยินดังนั้น จีเฉิงเสวี่ยก็รู้ว่าเหตุใดเขาจึงคุ้นเคยกับรสชาติของมันนัก ปลาทะเลน้ำแข็งเป็นอสูรเวทหายาก กระทั่งองค์ชายอย่างเขานานๆ ถึงจะได้ลิ้มรสสักที ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าจะได้กินปลาชนิดนี้ที่ร้านอาหารห่างไกลในนครหลวง
“ทุกคน มาลองชิมดูสิ ปลานี่อร่อยมาก รสชาติของธัญพืชหมักเหล้าเองก็กลมกล่อมมากเช่นกัน จัดได้ว่าคุ้มราคาทุกผลึกทุกเหรียญเลยทีเดียว” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องเขาอยู่
เซียวเสี่ยวหลงรีบคีบปลาด้วยตะเกียบของตนอย่างไม่รีรอแล้วเอาใส่ปากทันที แต่เซียวเยียนอวี่สงวนท่าทีกว่า นางรอจนน้องชายกินเสร็จ แล้วจึงคีบปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งด้วยท่าทางสง่างาม
เซียวเสี่ยวหลงเบิกตากว้าง หายใจเอาควันร้อนๆ หอมกลิ่นสุราฉุยออกจากปาก เนื้อปลานั้นอร่อยเกินความคาดหมายของเขาไปมาก สัมผัสที่ตัดกันระหว่างความร้อนจากเหล้าหมักและความเย็นจากเนื้อปลาจัดได้ว่ายอดเยี่ยมมากเหลือเกิน
“อร่อย!” ชายหนุ่มมีสีหน้าเหมือนมึนเมา
เด็กหญิงกลืนน้ำลายเอื๊อก แอบยื่นตะเกียบออกไปหมายจะคีบเนื้อปลามากินด้วยเช่นกัน แต่นางก็ถูกจีเฉิงเสวี่ยที่กำลังยิ้มอยู่ขัดด้วยการชี้ไปที่กฎบนป้ายรายการอาหารเสียก่อน
โอวหยางเสี่ยวอี้บันดาลโทสะทันที นางมีปราณเพียงระดับสองขั้นเจ้ายุทธการ จึงทำให้กินไม่ได้!
เซียวเยียนอวี่นั้นมีมารยาทกว่าเซียวเสี่ยวหลงมาก แต่ดวงตาของนางขณะพยักหน้าก็เป็นประกายเช่นกัน
ไม่นานนักปลาดองเหล้าก็ถูกแยกชิ้นส่วนโดยนักชิมทั้งสามคนเป็นที่เรียบร้อย แต่ละคนมีสีหน้าเป็นสุข เมื่อปู้ฟางเอาน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาออกมา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นดื่มด่ำกับความอร่อยเกินบรรยายโดยพลัน
น้ำแกงเต้าหู้หัวปลามีกรรมวิธีการทำที่แตกต่างจากปลาดองเหล้า ทั้งสามจึงได้ลิ้มรสชาติของปลาอย่างเต็มที่ แม้จะมีอาหารจานปลาเพียงสองจาน แต่ก็เป็นสองจานที่ดึงรสชาติความอร่อยของปลาออกมาได้ถึงขีดสุด
โอวหยางเสี่ยวอี้เบ้ปากด้วยความหดหู่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเริ่มรู้สึกว่าการที่ท่านปู่ของนางคะยั้นคะยอให้ฝึกปราณเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว เด็กหญิงคิดว่าหากตนเองตั้งใจเสียตั้งแต่ตอนนั้น แล้วรีบฝึกจนมีปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ ป่านนี้ก็คงได้กินของอร่อยไปแล้ว
“ขอบคุณที่อุดหนุน ทั้งหมดห้าสิบผลึก” ปู้ฟางแจ้งค่าเสียหายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เมื่อกินอิ่มเรียบร้อย ทั้งสามก็ต้องพบความจริงอันน่าเจ็บปวดยามที่ต้องจ่ายเงิน ห้าสิบผลึก… มันมากกว่าจำนวนเงินที่ผู้ฝึกตนระดับสองใช้ในหนึ่งเดือนเสียอีก
“เถ้าแก่ปู้… อาหารแต่ละจานของท่านนี่แพงเป็นบ้า” เซียวเสี่ยวหลงปากกระตุก
“แต่ก็คุ้มค่าเงินไม่ใช่หรือ” ปู้ฟางมองหน้าชายหนุ่มพร้อมพูดหน้าตาย
“ก็ได้ ท่านเป็นเจ้าของร้าน พูดอะไรก็ไม่ผิด…” เซียวเสี่ยวหลงไม่ได้เถียงกลับ ทำเพียงปั้นสีหน้าบูดบึ้งเท่านั้น ราคานี้สำหรับบุตรชายของแม่ทัพผู้มั่งมีถือว่าจ่ายไหว
ทั้งสามออกจากร้านไป ก่อนจะออกไปนั้น พวกเขาพยายามพาโอวหยางเสี่ยวอี้กลับไปด้วย แต่กลับถูกปู้ฟางหยุดไว้เสียก่อน
“วันนี้นางยังทำงานไม่เสร็จ ยังไปไม่ได้ หลังปิดร้านแล้วค่อยกลับได้” ชายหนุ่มเอ่ย
เซียวเยียนอวี่และอีกสองคนที่เหลือมองหน้าปู้ฟางด้วยสีหน้าประหลาด แต่ก็ไม่ได้ดึงดันและยอมจากไปแต่โดยดี
สีหน้าของเด็กหญิงบูดเบี้ยวไม่พอใจ นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอาคางเกยแขนตนราวกับกำลังคิดหนักเรื่องชีวิตอยู่
“นายท่านตัวเหม็น อาหารของท่านอร่อยมาก แต่เหตุใดจึงต้องมีกฎว่าจะต้องมีระดับพลังปราณเท่าใดก่อนกินด้วยเล่า เช่นนี้ข้าก็กินไม่ได้เลยสิ… ท่านพยายามจะบังคับให้ข้าต้องฝึกหนักเช่นนั้นรึ” โอวหยางเสี่ยวอี้บ่น
“วัตถุดิบที่มีคุณภาพทำให้อาหารอร่อย ยิ่งวัตถุดิบมีคุณภาพสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพลังปราณมากขึ้นเท่านั้น และทำให้อาหารอร่อยมากขึ้นไปอีก” ปู้ฟางอธิบายหน้าตาย “ทว่าพลังปราณในอาหารที่มีมากนั้น จะทำให้ผู้ฝึกตนที่มีระดับปราณไม่สูงพอถึงแก่ความตายได้หากกินเข้าไป”
“ฮึ! กลับบ้านเมื่อไหร่ข้าจะตั้งใจฝึกให้ตายไปข้างหนึ่งเลยคอยดู วันหนึ่งข้าจะต้องได้กินอาหารที่ร้านท่านครบทุกจาน” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดพร้อมหัวเราะประกาศศักดา จากนั้นก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชายหนุ่มเจ้าของร้าน
“อ้อ ได้เลย แต่ต้องจ่ายค่าอาหารด้วย อย่าลืมเสียเล่า” ปู้ฟางพูดอย่างกระตือรือร้น
เด็กหญิงจนซึ่งคำพูด
หลังจากที่จีเฉิงเสวี่ยและอีกสองคนออกจากร้านมา เซียวเยียนอวี่ก็คิดอยู่นาน ก่อนตัดสินใจบอกแม่ทัพเฒ่าโอวหยางว่าตอนนี้หลานสาวของเขาอยู่ที่ใด
เมื่อแม่ทัพเฒ่าโอวหยางรู้ข่าวก็งุนงงไปทันที “เหตุใดไอ้ตัวแสบนั่นถึงต้องหนีออกจากบ้านไปเป็นบริกรในร้านอาหารไกลปืนเที่ยงด้วยเล่า”
“พวกเจ้าทั้งสาม… จงไปที่ร้านบ้าบออะไรนั่นแล้วเอาน้องหญิงของพวกเจ้ากลับมา! เจ้าตัวแสบนั่น หากข้าไม่สั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง วันหนึ่งนางคงได้ทำงามหน้าปีนขึ้นเศียรจักรพรรดิไปดึงหนวดของพระองค์เป็นแน่!”
แม่ทัพเฒ่าโอวหยางที่นั่งอยู่บนยกพื้น ออกคำสั่งแก่พี่น้องสามคนที่หน้าตาท่าทางเหมือนหมีซึ่งอยู่เบื้องล่าง
“ขอรับ!” พี่น้องทั้งสามคนตอบเสียงทุ้ม ก่อนหันหลังแล้วรีบพุ่งออกจากจวนไป
การที่พี่น้องคนเถื่อนจากตระกูลโอวหยางออกปฏิบัติการพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เรื่องนี้ทำให้หลายฝ่ายหันมาสนใจ แต่เมื่อรู้ว่าพี่น้องคนเถื่อนทั้งสามกำลังเดินทางไปรับน้องสาวจากร้านอาหารรูหนู คนพวกนั้นก็ถึงกับอับจนด้วยคำพูด
การทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ สมกับที่เป็นตระกูลโอวหยางโดยแท้
ส่วนปู้ฟางก็ไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่ายักษ์ปักหลั่นในร่างคนทั้งสามกำลังพุ่งตรงมาหาเขาอย่างมุทะลุดุดัน ชายหนุ่มมัวแต่นอนขดอยู่บนเก้าอี้… ตากแดดอุ่นๆ สบายใจเฉิบ
…………………………….