บุตรชายหน้าตาเหมือนคนเถื่อนทั้งสามของตระกูลโอวหยางเป็นบุตรของโอวหยางซงเหิง หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน ทั้งสามมีแผ่นหลังกว้าง เอวหนา รูปร่างหน้าตาเหมือนยักษ์ปักหลั่น ความสามารถในการต่อสู้และพละกำลังมหาศาล ทำให้ทุกคนในนครหลวงมองพี่น้องทั้งสามว่าเป็นปีศาจจอมทำลายล้าง และได้รับสมญานามว่า สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยาง
บุตรชายคนแรกมีนามว่าโอวหยางเจิน คนที่สองมีนามว่าโอวหยางอู๋ และคนสุดท้ายมีนามว่าโอวหยางตี้ เมื่อนำชื่อต้นของทั้งสามมารวมกัน จะแปลได้ว่า “แข็งแกร่งไร้เทียมทาน” สามพี่น้องนี้เป็นแฝดสาม จึงมีหน้าตาเหมือนกันพอสมควร นอกจากนี้พลังปราณยังใกล้เคียงกันอีกด้วย โดยอยู่ที่ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ สามคนนี้เคยตามโอวหยางซงเหิงผู้เป็นบิดาไปรบอยู่ครั้งหนึ่ง จึงมีประสบการณ์ห้ำหั่นคร่าชีวิตในสนามจริง
แม้ทั้งสามจะได้รับสมญานามว่าสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยาง และไม่รู้จักพินอบพิเทาใครหน้าไหนทั้งนั้นในนครหลวง แต่สามพี่น้องชายชาตรีกลับเชื่อฟังโอวหยางเสี่ยวอี้ น้องหญิงเพียงคนเดียวของพวกเขาเป็นอย่างมาก ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่าน้องหญิงตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมถูกจองจำไว้ที่ร้านอาหารรูหนู ทั้งสามก็พลันบันดาลโทสะขึ้นมา
พี่น้องทั้งสามคนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารในตอนนี้ เปรียบเสมือนภูเขาไฟที่ใกล้จะปะทุไม่มีผิด
เจ้ารู่เก๋อและซุนฉีเซี่ยงที่กำลังแอบเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปของร้านอยู่นั้น สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวนี้ทันที และกำลังปลื้มปริ่มกับหายนะครั้งนี้ เจ้ารู่เก๋อยิ้มเยาะไม่หยุด ชายหนุ่มรอโอกาสแก้แค้นมานาน แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาไม่ต้องมือสกปรกเองเสียนี่
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางได้ชื่อว่าเป็นปีศาจจอมทำลายล้าง เพราะไม่ว่าจะย่างกรายไปแห่งหนใด ทุกสิ่งก็พังราบคาบเป็นหน้ากลองทั้งสิ้น เมื่อโอกาสมาถึง เจ้ารู่เก๋อก็เพียงแค่ต้องเดินไปเหยียบหน้าไอ้เจ้าของร้านหน้าตายนั่นเท่านั้น
หากมุ่งหน้าตามถนนสายหลักของนครหลวงไปเรื่อยๆ เมื่อเดินผ่านร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ไปไม่กี่จั้งแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอตรอกๆ หนึ่ง พอเข้าไปในตรอกนั้นเรียบร้อย จะเจอร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ปู้ฟางเจ้าของร้านกำลังนอนขดอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ ไอแดดทำให้ชายหนุ่มอุ่นไปทั้งร่างและเริ่มง่วงนอน
โอวหยางเสี่ยวอี้นั่งอยู่ใกล้ๆ กันและกำลังเบื่อสุดขีด ในเมื่อไม่มีอะไรทำ เด็กหญิงที่อยากกินปลาดองเหล้าและน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาสุดกู่จึงเริ่มฝึกพลังปราณอย่างแข็งขัน
ทันทีที่สามพี่น้องตระกูลโอวหยางเดินเข้ามาในตรอก พลังปราณที่ร่างของทั้งสามแผ่ออกมาก็ทำให้เกิดลมกรรโชกแรงเสียจนฝุ่นตลบไปหมด
ตูม ตูม ตูม!
ทั้งสามเปรียบเสมือนสัตว์ร้าย ทุกครั้งที่ก้าวเดิน พื้นก็พลันสั่นไหว
“พี่ใหญ่! ไอ้ร้านรูหนูข้างหน้านั่นอย่างไรเล่าที่จับน้องหญิงของเราไปจองจำ! เราไปสังหารไอ้เจ้าของร้ายโฉดชั่วนั่นกันเถิด” โอวหยางอู๋พูดเสียงต่ำ ดวงตาโกรธเกรี้ยว
โอวหยางตี้ตบหน้าอกตนเอง หนวดปลิวไสวตามแรงตะโกน “พับผ่าสิ! กล้าดีอย่างไรมาจับน้องหญิงสุดที่รักของพวกเราไปขังไว้! ข้าขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่า หากวันนี้ไม่ได้ฉีกมันเป็นชิ้นๆ ข้าจะไม่ร่ำสุราไปอีกสามวัน!”
“ไปดูกันเถิดว่าใครหน้าไหนกันที่มันกล้าทำเช่นนี้” โอวหยางเจินเป็นคนที่มีสติที่สุดในสามพี่น้อง แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้องหญิงของเขา เขาจึงใจจดจ่อเป็นพิเศษ ชายหนุ่มนึกถึงเสียงน่ารักและใบหน้างดงามของน้องหญิงตน เมื่อจินตนาการว่าบัดนี้นางกำลังถูกทรมานแสนสาหัสอยู่ในร้านอาหารรูหนูนั่น ก็รู้สึกราวกับหัวใจของตนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้น
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นหน้าร้านรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน มันลืมตาขึ้นทันทีอย่างระแวดระวัง แล้วมองไปยังร่างยักษ์ทั้งสามที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา จากนั้นเจ้าสุนัขก็เปิดปากหาวแล้วนอนต่อไป
ปู้ฟางเองก็ตื่นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินเช่นกัน เขามองออกไปเห็นร่างใหญ่สามร่างของสามพี่น้องตระกูลโอวหยางยืนจังก้าอยู่ข้างนอก
“พวกเจ้าเป็นใคร มากินข้าวรึ” ปู้ฟางถามอย่างไร้อารมณ์
“บ๊ะ! ไอ้เลว ใครมันจะอยากมากินข้าวที่นี่กัน! พวกเรามาชิงตัวน้องหญิงไปจากเงื้อมมือชั่วๆ ของเจ้าต่างหาก!” โอวหยางอู๋ซึ่งอารมณ์ร้ายที่สุดในบรรดาสามคนตะโกนออกมาด้วยโทสะทันที
ปู้ฟางงุนงง “มาตามหาน้องหญิงรึ ไอ้ยักษ์ใหญ่หน้าตาเหมือนเตียวหุยทั้งสามนี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ ร้านเราขายอาหารไม่ได้ขายตัว”
“น้องหญิงอะไรกัน ที่นี่ไม่มีน้องหญิง” ในเมื่อไม่ได้มากินอาหาร ปู้ฟางก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ เขาจึงกลับไปนอนขดบนเก้าอี้ต่อ
“กล้าดีอย่างไรมาหลอกพวกข้า! ข้ารู้สึกได้ถึงพลังปราณของน้องหญิงข้าในร้านนี้! หากไม่ส่งตัวนางมาเดี๋ยวนี้ พวกข้าจะพังร้านนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
โอวหยางตี้หักนิ้วกรอบแกรบ จ้องหน้าปู้ฟางอย่างอาฆาตมาดร้าย
ปู้ฟางมองคนทั้งสามอย่างไร้ความรู้สึก ชายหนุ่มรู้แล้วว่าพวกนี้มาตามหาตัวใคร เป็นเด็กหญิงโอวหยางเสี่ยวอี้นี่เอง
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนเรียกโอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังฝึกปราณอยู่ใกล้ๆ “เฮ้ย เจ้าน่ะ มีคนมาหาแน่ะ”
เสียงตะโกนของชายหนุ่มทำให้เด็กหญิงที่กำลังฝึกปราณตื่นจากสภาวะทำสมาธิ นางจ้องปู้ฟางตาเขียว จากนั้นก็มองออกไปนอกร้าน แล้วก็เห็นทันทีว่าพี่ชายหน้าตาเหมือนยักษ์ทั้งสามของตนกำลังยืนอยู่ข้างนอก
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน นางรู้ทันทีว่าต้องเป็นเซียวเยียนอวี่แน่ๆ ที่เอาพิกัดของนางไปบอกที่บ้าน
“นายท่านตัวเหม็น! สามคนนี้เป็นพี่ชายข้า จะมาพาตัวข้ากลับบ้าน ช่วยข้าหยุดคนพวกนี้ที…” โอวหยางเสี่ยวอี้กระซิบ จากนั้นก็วิ่งหนีหายเข้าห้องไป
ปู้ฟางกะพริบตาปริบ มองไปทางทิศที่เด็กหญิงวิ่งหายไป สมองเต็มไปด้วยคำถาม
จากนั้นเขาก็หันหน้าออกไปมองชายสามคนที่หน้าร้านอีกครั้ง
“โอวหยางเสี่ยวอี้ที่หน้าตาน่ารักน่าชัง กับพี่ชายสามคนที่หน้าตาเหมือนคนป่าตัวใหญ่น่าเกลียด… พวกเขาออกมาจากท้องเดียวกันจริงๆ รึ หากมีบิดามารดาคนเดียวกัน เหตุใดจึงต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้”
“นางไม่อยากเจอพวกเจ้า” ปู้ฟางตอบไปตามตรง
“อะไรนะ! พยายามจะหยุดพวกข้ารึ ไอ้เวรนี่! กล้าดีอย่างไรมาจับน้องหญิงของเราไปขังไว้!” โอวหยางเจินบันดาลโทสะ จิตใจเต็มไปด้วยภาพน้องน้อยที่กำลังถูกทรมานเยี่ยงทาส
ให้อภัยไม่ได้!
ตูม!
โอวหยางตี้ที่กำลังโกรธสุดขีดก้าวออกไปคนแรก บังเกิดเป็นลมกรรโชกที่พัดเข้าใส่ปู้ฟาง ใบหน้าน่าเกลียดของเขาอยู่ห่างจากชายหนุ่มไปไม่กี่คืบ ลมพัดผมชายหนุ่มให้ปลิวไสวไปเบื้องหลัง
ปู้ฟางถามหน้าตาย “มาก่อความไม่สงบที่ร้านข้ารึ”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม ข้าจะพังร้านเจ้าให้เหลือแต่ซากเลย!” โอวหยางตี้พูดเสียงดัง ดวงตาเขียวปั้ด
“เจ้าขาว มีคนมาก่อหวอดอยู่หน้าร้าน” ปู้ฟางตะโกนอย่างใจเย็น
“ผู้ที่เข้ามาก่อความไม่สงบจะต้องโดนจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี” เสียงหุ่นยนต์ดังออกมา ตามมาด้วยร่างยักษ์ของเจ้าขาวที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มเจ้าของร้าน ดวงตาจักรกลกะพริบปริบ
ดวงตาของโอวหยางตี้หรี่แคบ ปากแสยะยิ้ม “มีลูกน้องเสียด้วย! ท่านพี่ทั้งสอง เราจัดการพวกมันทั้งคู่กันเถิด!”
โอวหยางอู๋และโอวหยางเจินพุ่งมายืนหลังโอวหยางตี้ พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างเหมือนทะเลพิโรธพัดโหมเข้าใส่ร้านไม่หยุดยั้ง
พลังระดับนี้อาจทำให้ตึกรามบ้านช่องทั่วไปราบเป็นหน้ากลองได้ในทันที แต่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไร
“น่าสนใจดีนี่ ร้านนี้มีบางอย่างไม่ปกติ!” พี่ชายคนโตคิด
โอวหยางเจินมุ่นคิ้ว สายตากวาดมองไปรอบๆ นอกจากไอ้เจ้าของร้านตัวแห้งๆ ซีดๆ ขี้กะโล้โท้คนนี้ ก็มีแค่หุ่นเชิดโลหะอ้วนๆ หนึ่งตัว ไม่มีอะไรอีกแล้วในบริเวณนี้… อ้อ นอกจากสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนหลับอุตุอยู่หน้าร้าน โอวหยางเจินคิดไปต่างๆ นานา
“ก็ดูเป็นร้านธรรมดาทั่วไป เหตุใดจึงกล้าจับน้องหญิงของเราไปขังไว้
“หรือว่า… ไอ้เจ้าของร้านมันจะซ่อนความสามารถที่แท้จริงไว้! หรือจะมีผู้ฝึกตนปราณแก่กล้าจากสำนักซ่อนตัวอยู่ในร้านกันแน่”
โอวหยางเจินมองปู้ฟางด้วยสายตาเคร่งเครียด ความงุนงงทวีขึ้นอีก ปู้ฟางมีปราณอยู่เพียงระดับสองขั้นเจ้ายุทธการเท่านั้น แถมยังอ่อนแอกว่าน้องหญิงของเขาเสียด้วยซ้ำ
ตอนที่โอวหยางเจินกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อยู่นั้น
ปัง! ปัง!
มีเสียงดังขึ้นติดๆ กันสองครั้ง ร่างยักษ์ใหญ่สองร่างปลิวออกจากร้าน เข้าไปปะทะกำแพงอย่างหมดท่า
โอวหยางเจินสะดุ้งเพราะเสียงดังกล่าว เมื่อหันไปมอง รูม่านตาก็พลันหดแคบด้วยความตกใจ
ร่างของน้องชายทั้งสองเข้าไปปักลึกอยู่ในกำแพงตรอกเสียนี่…
“ขออภัย พี่ใหญ่! เป็นเพียงอุบัติเหตุ! อุบัติเหตุเท่านั้น!” โอวหยางอู๋และโอวหยางตี้สำลักฝุ่นไม่หยุดขณะกำลังคลานออกจากรูบนกำแพง
ช่างเป็นภาพที่น่าอายเสียจริง สองในสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางถูกโยนตัวปลิวออกจากร้านราวกับเป็นของเล่นเด็กเสียได้
……………………………………