สามพี่น้องร่างยักษ์ตระกูลโอวหยางเตรียมพร้อมออกศึก ทั้งสามรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ภายในกาย แล้วหันไปเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดเจ้าขาวที่ยืนอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มเจ้าของร้าน
“พี่ใหญ่ ไอ้หุ่นเชิดนี่มันแข็งแกร่งนัก พวกข้าทั้งสองถูกโยนออกมาโดยไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ!” โอวหยางตี้มองไปที่เจ้าขาวด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขารู้สึกได้ทันทีว่าหุ่นเชิดตัวนี้มีฤทธิ์ไม่น้อย
“หุ่นเชิดจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างไร หรือว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญของสำนักใดสำนักหนึ่ง แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะกองกำลังของเราทำลายสำนักขี้ประติ๋วพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย” โอวหยางเจินคิด
ปู้ฟางมองปีศาจร้ายร่างหนาทั้งสามอย่างไร้อารมณ์ ตัวเขาเองไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนพวกนี้คิดอะไรอยู่ จึงพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบ “คราวนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป เพราะเห็นแก่ความที่พวกเจ้าเป็นพี่ชายของเจ้าเด็กนั่น แต่จำไว้ว่าจะไม่มีคราวหน้าอีก”
“พี่ใหญ่! ไอ้ขี้กะโล้โท้นี่กำลังข่มขู่เราเช่นนั้นรึ!” โอวหยางตี้ถามอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง
ไม่มีใครหน้าไหนในนครหลวงกล้าข่มขู่สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยาง แม้ทั้งสามจะไม่ใช่อันธพาล แต่ก็น่ากลัวกว่าหลายขุมนัก ไม่ว่าพวกเขาจะเหยียบย่างไปที่ใด ที่แห่งนั้นล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดอยากทำตัวเป็นจุดสนใจต่อหน้าพวกเขาทั้งสิ้น
ทว่าในตอนนี้ทั้งสามกลับถูกไอ้ขี้กะโล้โท้ตัวแห้งข่มขู่เสียได้ คิดว่าสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางจะยอมถูกปรามาสง่ายๆ เช่นนั้นรึ
“เกียรติของสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางจะไม่มีวันโดนดูหมิ่น” โอวหยางเจินพูดอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาเขียวปั้ด
มุมปากโอวหยางตี้บิดขึ้นเป็นยิ้มแสยะ “นี่สิถึงเป็นพี่ใหญ่ของเรา! พี่ใหญ่ของเราคนนี้ทำให้เราทั้งสามขึ้นมามีอิทธิพลในนครหลวงได้! เราจะไม่มีวันเป็นสองรองใคร!”
ทว่าคำพูดต่อไปของโอวหยางเจินกลับทำให้โอวหยางตี้แทบกระอักเลือด
โอวหยางเจินมองเจ้าขาวที่ยืนอยู่เบื้องหลังปู้ฟาง “เจ้าหนุ่ม เรามาเจรจากันเถิด หากเจ้าส่งตัวน้องหญิงของพวกข้าคืนมา พวกข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
ปู้ฟางตอบหน้าตาย “เจ้าไปถามน้องหญิงของเจ้าเองเถิด น้องหญิงของพวกเจ้ามากินอาหารร้านข้าแต่ไม่จ่ายเงิน จึงต้องทำงานใช้หนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วนี่ก็เพิ่งจะวันแรกเท่านั้น”
“อะไรนะ! น้องหญิงชักดาบรึ!” สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางชะงักงัน ปากอ้ากว้างด้วยความประหลาดใจ
โอวหยางอู๋เอ่ย “ต้องเป็นเพราะอาหารร้านเจ้ารสชาติไม่เอาอ่าวแน่ๆ มิเช่นนั้นเหตุใดน้องหญิงของพวกข้าจึงต้องชักดาบด้วย แม้ว่านางจะมีอุปนิสัยดื้อแพ่งไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ก็ยังเป็นคนมีเหตุผล”
คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาปู้ฟางขมวดคิ้วทันที ในฐานะพ่อครัวชายหนุ่มเกลียดยิ่งนักเมื่อมีคนมาวิจารณ์รสชาติอาหารที่เขาทำ มันถือเป็นการดูถูกที่ให้อภัยไม่ได้เลยทีเดียว
“เริ่มต้นภารกิจรอง: ทำให้สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางรู้ซึ้งถึงความอร่อย ความหยิ่งยโสของทั้งสามดูหมิ่นเกียรติของนายท่านอย่างมาก จงใช้ความสามารถด้านการทำอาหารอันไร้เทียมทานของท่านตบหน้าคนทั้งสามให้หัน ระบบจะหนุนหลังท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ รางวัลของภารกิจคือ กระบวนการหมักสุรา”
เสียงจริงจังและจองหองของระบบดังก้องอยู่ในหัวของปู้ฟางจนชายหนุ่มเองยังตกใจ เขาไม่คาดคิดว่าภารกิจรองจะเริ่มต้นปุบปับเช่นนี้ แถมยังมีรางวัลมอบให้อีกด้วย
“อะไรกัน พวกเจ้าทั้งสามยังไม่ได้ลองชิมอาหารฝีมือข้าสักนิด แล้วกล้าพูดได้อย่างไรว่าข้าฝีมือไม่เอาอ่าว” ปู้ฟางถามสีหน้าจริงจังเพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางมองหน้ากันไปมา จากนั้นโอวหยางเจินก็กระตุกยิ้มเยาะ “ถ้าพวกข้าว่าอาหารของเจ้ามันรสชาติห่วยแตกแล้วอย่างไรเล่า เจ้าจะทำไม”
สีหน้าของชายหนุ่มเย็นเยียบ ความโกรธกำลังเข้าครอบงำ
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่หน้าร้านโงหัวขึ้นมองปู้ฟาง จากนั้นก็หันกลับไปมองสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยาง พร้อมทำเสียงจิ๊จ๊ะออกมา เสร็จแล้วก็กลับไปนอนต่อ
“มาตามหาตัวน้องหญิงของพวกเจ้ามิใช่รึ ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้โอกาสก็แล้วกัน มาเดิมพันกันดีกว่า ลองเข้ามาสั่งอาหารในร้านข้าชิมดู หากไม่อร่อยจริงก็เอาน้องหญิงของพวกเจ้ากลับไปได้เลย แต่หากอร่อยก็จงกลับบ้านแบบแก้ผ้าล่อนจ้อนไปซะ” ปู้ฟางพูดเสียงเย็น
“เดิมพันรึ ไอ้ขี้กะโล้โท้นี่มันโง่หรืออย่างไร ขนาดน้องหญิงของเรายังกินแล้วไม่อร่อย มันจะทำอะไรเราที่ต่อมรับรสตายด้านได้”
“ได้! ขอรับคำท้า แต่รักษาคำพูดของเจ้าด้วยเล่า! ไอ้พวกขี้กะโล้โท้น่ะชอบกลับคำพูดตนเองเป็นที่สุด” โอวหยางเจินตอบรับ
“เช่นนั้นก็เข้ามาสั่งก่อน” ปู้ฟางพูดอย่างไร้ความรู้สึก
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางมองหน้ากัน จากนั้นก็หันกลับไปมองเจ้าขาวอย่างระแวดระวังตัว แล้วเดินเข้าร้านไป เมื่อไปยืนอยู่ในร้านเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มสำรวจบรรยากาศรอบตัว
“ถึงจะตกแต่งใช้ได้ แต่นี่มันไม่เล็กไปรึ” โอวหยางตี้บ่น พร้อมขยับไปมาอย่างไม่สบายตัว
การที่ปีศาจร้ายยักษ์ใหญ่ทั้งสามแทรกตัวเข้ามาในร้านขนาดเล็กนั้นดูอึดอัดกว่าตอนที่พวกเจ้าอ้วนจินและสหายเข้ามานั่งกินเสียอีก แต่ก็ยังพอทนได้
“เถ้าแก่ มีสุราหรือไม่ เอามาก่อนเหยือกหนึ่ง” โอวหยางอู๋ตะโกนถามพร้อมทุบโต๊ะ กลายสภาพเป็นลูกค้าเต็มตัวไปเรียบร้อยแล้ว
“ขออภัย ร้านเราไม่มีสุราขาย” ปู้ฟางตอบหน้าตาย
“ร้านอาหารบ้าอะไรกันไม่ขายสุรา อำกันเล่นรึ! ถ้าเช่นนั้นก็ช่างหัวมัน มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรขายบ้าง” โอวหยางอู๋เหลือบมองปู้ฟางด้วยสายตาก่นด่า ก่อนหันไปมองรายการอาหารบนผนัง
จากนั้น… ก็ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ทั้งร้านตกอยู่ในความเงียบเหมือนเป็นป่าช้า
“ปลาดองเหล้าราคายี่สิบผลึกรึ น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาก็ราคาเดียวกัน ข้าวผัดไข่หนึ่งชามราคาสิบผลึก” แม้โอวหยางเจินจะเป็นคนดิบเถื่อน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ราคานี้มันช่าง… น่ากลัวไม่เบาเลยทีเดียว
“ผัดผักหนึ่งจานกับบะหมี่แห้งคลุกหนึ่งชามราคาอย่างละร้อยเหรียญทอง…” โอวหยางอู๋ตกใจ
“ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดน้องหญิงของเราจึงไม่จ่ายเงิน นั่นเพราะร้านนี้มันเป็นซ่องโจรดีๆ นี่เอง!” โอวหยางตี้คำรามด้วยความโกรธ มือทุบโต๊ะดังปั้ก
ปู้ฟางขมวดคิ้ว “จะสั่งหรือไม่สั่ง น้องหญิงของพวกเจ้าอยู่ในร้านนี้ หากพวกเจ้าชนะเดิมพันข้าก็อนุญาตให้นำตัวนางกลับไปได้เลย”
“ฮึ่ม! เห็นแก่น้องหญิงของพวกข้าหรอก ข้าถึงต้องยอมจำใจสั่งทั้งๆ ที่รู้ว่าโดนปล้น! ขอปลาดองเหล้าก็แล้วกัน!” โอวหยางเจินประกาศ
“เถ้าแก่ เหตุใดจึงไม่ขายสุราทั้งๆ ที่มีธัญพืชหมักเหล้า!” โอวหยางอู๋ถามตาโตอย่างหงุดหงิด
“ธัญพืชหมักเหล้าเอาไว้ดองปลาเท่านั้น ไม่ได้เอาไว้หมักสุรา” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย
โอวหยางอู๋งงเล็กน้อย “แล้ว… มันต่างกันอย่างไร ตราบใดที่มีธัญพืชหมักเหล้าก็หมักเหล้าได้ไม่ใช่รึ”
“เช่นนั้นข้าขอปลาดองเหล้าด้วย!” โอวหยางอู๋เอ่ย
“ตอนนี้เรามีปลาดองเหล้าเหลือตัวเดียว กรุณาสั่งอย่างอื่น” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ
“บ๊ะ! นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อน้องหญิง ข้าจะพังร้านเจ้าให้เหลือแต่เสาเลยทีเดียว!” โอวหยางอู๋รำคาญใจ แต่ในที่สุดก็สั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง
โอวหยางตี้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สั่งน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเท่านั้น
เมื่อทั้งสามสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ปู้ฟางก็พยักหน้ารับ “รอสักครู่”
จากนั้นเขาก็เข้าครัวแล้วเริ่มทำอาหาร
……
เจ้ารู่เก๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ กำลังฟังรายงานสถานการณ์จากลูกน้อง ใบหน้าของชายหนุ่มมีรอยยิ้มบาง “เจ้าบอกว่าไอ้สามยักษ์ร้ายนั่นมันเข้าร้านไปเช่นนั้นรึ”
“ดูเหมือนว่าร้านนั่นใกล้จะเละเป็นโจ๊กแล้ว แม้ไอ้สามตัวนั้นจะโง่ไม่มีสมอง แต่พลังปราณของพวกมันก็สูงใช่ย่อย แค่พังร้านคงไม่คณนามืออะไร เรียกคนอื่นๆ มาเร็ว เราไปดูมหรสพกัน” เจ้ารู่เก๋อคลี่พัดกระดาษพร้อมออกจากจวนของตนไปด้วยรอยยิ้มสง่างาม
ซุนฉีเซี่ยงเองก็ได้รับรายงานจากลูกน้องของตนเช่นกัน ดวงตาเล็กเท่าเม็ดก๋วยจี้ของเขาหรี่แคบ พร้อมยิ้มเยาะเย็นเยียบ “กล้าใส่ซอสพริกเข้าไปในอาหารข้า แถมยังทำให้ข้าต้องแก้ผ้าวิ่งรอบเมืองอีก ไหนมาดูเสียหน่อยว่าจะยังไปรอดหรือไม่หลังจากไปเหยียบหางไอ้บ้าพลังสามตัวนั้นเข้า”
นอกจากเจ้ารู่เก๋อและซุนฉีเซี่ยงแล้ว คนอื่นๆ ที่รู้ข่าวก็รีบรุดมายังร้านเล็กๆ ของฟางฟางด้วยสีหน้าเครียดขึงเช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าสามพี่น้องนี้น่ากลัวเพียงใด เซียวเยียนอวี่อารมณ์เสียเล็กน้อยเมื่อรู้ข่าว นางไม่คิดว่าแม่ทัพเฒ่าโอวหยางจะส่งหลานชายของตนออกมาจัดการเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับร้าน ย่อมต้องเป็นความผิดนางโดยตรงเลยทีเดียว
ในตอนนั้นเอง หลายต่อหลายคนก็มุ่งหน้าไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ทุกคนต่างมั่นใจว่าร้านอาหารนี้จะต้องถูกสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางพังเละไม่เหลือซากเป็นแน่แท้…
………………………….