“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่พอใจเป็นอันมากจนตะโกนใส่เจ้ารู่เก๋อ พร้อมเบ้ปากและจ้องเขาเขม็ง
“สุราน้ำอัญมณีทิพย์จะไปเทียบชั้นอาหารของนายท่านตัวเหม็นได้อย่างไร ไอ้เจ้ารู่เก๋อนี่มันปัญญาทึบรึ สงสัยจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าร้านของนายท่านตัวเหม็นเป็นอย่างไร แม้สุราน้ำอัญมณีทิพย์นี่จะแพง แต่ก็ราคาเพียงห้าร้อยเหรียญทองเท่านั้น ยังเทียบไม่ได้กับข้าวผัดไข่สูตรธรรมดาด้วยซ้ำไป!” โอวหยางเสี่ยวอี้คิด
“โอวหยางเสี่ยวอี้ ข้าพูดอะไรผิดไปรึ ไอ้ร้านเส็งเคร็งในซอกหลืบแบบนั้นมันจะสักเท่าไหร่กันเชียว” เจ้ารู้เก๋อเย้ยและเมินสายตาโกรธเกรี้ยวของโอวหยางเสี่ยวอี้โดยสิ้นเชิง
“หึ! คำพูดของเจ้ามันบ่งบอกว่าเจ้าน่ะยังไม่เคยกินอาหารที่นายท่านตัวเหม็นทำ!” โอวหยางเสี่ยวอี้เย้ย จากนั้นก็หันหน้าหนีอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “หากเจ้าเคยกินจะไม่พูดเช่นนี้แน่นอน เจ้าถามใครที่เคยกินอาหารที่เถ้าแก่ปู้ทำก็ได้ แล้วมาลองดูว่าคำตอบของแต่ละคนจะไร้สมองเหมือนเจ้าหรือไม่”
“การไม่รู้นี่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอกนะ ที่น่ากลัวคือเจ้าทำท่าโอหังเหมือนฉลาดเสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรมากกว่า!”
ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้ารู่เก๋อบูดเบี้ยวทันทีที่ได้ยิน เขาหงุดหงิดมากเสียจนอยากกระอักเลือดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เหตุใดชายหนุ่มจึงไม่เคยรู้มาก่อนกันนะว่าโอวหยางเสี่ยวอี้ปากร้ายเหมือนซ่อนสุนัขเอาไว้หนึ่งคอกเช่นนี้! เด็กปากร้ายในวันนี้ จะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ขึ้นคานในวันหน้าแน่ๆ !
เซียวเยียนอวี่และคนอื่นที่ได้เห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเจ้ารู่เก๋อพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทำให้ใบหน้าหล่อของชายหนุ่มบูดหนักเข้าไปอีก เขารู้สึกราวกับว่าคนทั้งโลกกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย เซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ กำลังหัวเราะเยาะที่ชายหนุ่มช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย
“นายท่านทั้งหลาย สุราน้ำอัญมณีทิพย์นี้ฝ่าบาทเป็นคนประทานให้ ลองชิมดูเถิดเจ้าค่ะ” บรรดานางในร่างโปร่งใบหน้างดงามพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนปุยนุ่น เดินถือเหยือกไพลินมาที่โต๊ะอย่างแช่มช้า แล้วรินสุราด้วยความระมัดระวัง
“สุราน้ำอัญมณีทิพย์เป็นที่ต้องการมากเสียจนแม้กระทั่งนครหลวงยังได้รับมากสุดเพียงปีละสองพันเหยือกเท่านั้น ครั้งนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้เอาออกมาห้าร้อยเหยือกเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของท่านแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง พวกเจ้าต้องตั้งใจดื่มสุราชั้นยอดเช่นนี้ให้ดี เพราะคงไม่มีวันได้ดื่มของดีนี้ในร้านซังกะบ๊วยเช่นนั้นแน่นอน!” เจ้ารู่เก๋อยกจอกเหล้าขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
เซียวเสี่ยวหลงและสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางแค่เห็นสุราก็มีสีหน้าเหมือนต้องมนต์แล้ว
“ฮึ! ใครบอกกันว่านายท่านตัวเหม็นไม่มีสุรา เขากำลังหมักอยู่ต่างหาก!” โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่อยากยอมแพ้จึงเปิดเผยความลับออกมา
ดวงตาของเจ้ารู่เก๋อเป็นประกาย “อ้อ ถ้าเช่นนั้นมาพนันกันดีกว่า เราเอาสุราของไอ้หมอนั่นมาเทียบกับสุราน้ำอัญมณีทิพย์ไหมเล่า ว่าอันไหนจะดีกว่ากัน”
“พนันรึ เจ้าคิดจะพนันกับน้องหญิงของพวกข้ารึ!” ก่อนที่โอวหยางเสี่ยวอี้จะได้ตอบรับทำท้า สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาก่อน
ตระกูลโอวหยางให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกหลานตนเองเสมอ และเข้มงวดเป็นพิเศษกับโอวหยางเสี่ยวอี้ โดยปกติแล้วนางมักถูกเคี่ยวเข็ญให้ฝึกวิชาการต่อสู้และเย็บปักถักร้อยเพื่อให้เป็นสตรีที่บริสุทธิ์ สวยงาม ฉลาดปราดเปรื่อง และคล่องแคล่วว่องไว
“สิ่งแรกที่ไอ้เจ้ารู่เก๋อพูดคือพนัน มันพยายามจะชักจูงน้องหญิงของเราไปในทางที่ผิดหรืออย่างไร”
“ข้ายอมรับคำท้า” สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางกำลังจะกันไม่ให้โอวหยางเสี่ยวอี้รับคำท้า แต่เซียวเยียนอวี่ที่เงียบมาตลอดกลับเปิดริมฝีปากแดงเรื่อพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงอันเบา
ทุกคนตกใจเป็นอันมากที่เทพธิดาเซียวเยียนอวี่รับคำท้าพนันของเจ้ารู่เก๋อ
“ยอดเยี่ยม! หากเทพธิดาเซียวเยียนอวี่แพ้ เจ้าจะต้องไปงานชมจันทร์บนเรือกับข้าทั้งคืน ตกลงไหมเล่า” เจ้ารู่เก๋อพอใจเป็นอันมาก เขาเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าเซียวเยียนอวี่ที่ปกติแล้วมักจะเงียบและใจเย็นอยู่เสมอ ก็ตัดสินใจหุนหันพลันแล่นได้เหมือนกัน
เซียวเยียนอวี่ยิ้มบาง ใบหน้าของนางสวยเหมือนภาพวาดนางสวรรค์ ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด
“ย่อมได้ แต่หากเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องมอบโอสถรวมปราณระดับห้าให้ข้า” เซียวเยียนอวี่พูดหน้านิ่ง เสียงของนางไพเราะเหมือนเสียงนกร้องเพลง แต่กลับฟังดูเหมือนเสียงสายฟ้าฟาดสะท้อนในหูของเจ้ารู่เก๋อ
“แต่… โอสถรวมปราณระดับห้ามันออกจะ…” เจ้ารู่เก๋อลังเลเล็กน้อย ในความเป็นจริงแล้ว การนำโอสถรวมปราณระดับห้ามาพนันไม่ใช่สิ่งที่เขายอมเสียได้
“ไอ้ขี้ขลาด ก่อนหน้านี้เจ้าอวดเบ่งเสียเต็มที่ตอนท้าน้องหญิงข้าพนัน พอเทพธิดาจะพนันกับเจ้าบ้าง เจ้ากลับทำท่าเหมือนสุนัขโดนเหยียบหาง นี่เจ้าดูแคลนน้องหญิงของข้าหรืออย่างไร” โอวหยางเจินตะโกนพร้อมชี้หน้าเจ้ารู่เก๋อ
“หมอนี่กลัวแพ้น่ะสิ” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดเย้ยพร้อมเอามือกอดอก
แพ้รึ เขานี่นะจะแพ้ เจ้ารู่เก๋อคนที่เจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดวางแผนฆ่าผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ทั้งที่ตนเองมีปราณเพียงระดับสามขั้นคลั่งยุทธการนี่นะจะกลัวแพ้… ไม่สิ มันเป็นไปได้หรือที่เขาจะไม่ชนะพนันครั้งนี้
“ตกลง! ไม่มีทางที่ไอ้ร้านซังกะบ๊วยเช่นนั้นจะมีสุราดีๆ ไปได้หรอก” ชายหนุ่มพูดพร้อมพ่นลมเยาะ
…
ขณะที่ท้องพระโรงกำลังครึกครื้นอยู่นั้น ปู้ฟางก็กำลังลับมีดของตนอย่างสุขใจอยู่ในครัว
เขาหยิบวัตถุดิบที่ระบบเตรียมให้ออกมาจากตู้แช่
เนื้อหมูส่วนที่ใช้ในการทำซี่โครงเปรี้ยวหวานคือเนื้อตรงบริเวณกระดูกซี่โครง ขั้นแรกเขาต้องหั่นกระดูกซี่โครงออกเป็นชิ้นๆ ก่อน จากนั้นก็คลุกเคล้ากับแป้ง แล้วนำไปทอดในกระทะท่วมน้ำมันจนเหลืองกรอบเป็นสีทองอร่าม สุดท้ายก็นำไปคลุกกับซอสเปรี้ยวหวานสูตรพิเศษ เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
ซี่โครงชั้นยอดที่วางอยู่บนเขียงไม่ใช่เนื้อหมูเพลิงชนิดเดียวกับที่ใช้ในขนมจีบทองคำ ซี่โครงนี้อุดมด้วยไขมันนุ่ม อัดแน่นด้วยพลังปราณ เนื้อมีรอยไขมันเป็นริ้วๆ ชัดเจนเหมือนภาพวาดวิจิตร ดูก็รู้ว่าไม่ใช่เนื้อหมูธรรมดาแน่นอน
“เนื้อหมูที่เลือกใช้เป็นเนื้อของหมูป่าเมฆาทะยาน อสูรเวทระดับห้าจากเทือกเขาเทียนตั๋ง ชื่อเมฆาทะยานนี้ได้มาจากลายด่างสีขาวตามธรรมชาติบนหลังของมัน ที่ดูเหมือนเมฆบนท้องฟ้าขณะมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หมูป่าเมฆาทะยานมีเนื้อบริเวณต้นขาที่แข็งแกร่งแน่นด้วยมัดกล้าม แต่รสชาติกลับเหนียวไม่ได้เรื่อง ทว่าเนื้อส่วนซี่โครงทั้งอ่อนนุ่มและเต็มไปด้วยพลังปราณ จัดเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมเลยทีเดียว”
“เนื้อของอสูรเวทระดับห้ารึ… นั่นมันล้ำค่ามากเลยนะ” ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขณะหยิบมีดทำครัวขึ้นมา พยายามหั่นแผงซี่โครงชั้นเลิศออกเป็นชิ้นๆ ทว่าก็ต้องประหลาดใจที่เนื้อซี่โครงนั้นยังคงรูปร่างอยู่ได้ และส่งพลังสะท้อนกลับออกมาจนทำให้แขนของชายหนุ่มถึงกับชาหนึบ
“สมแล้วที่เป็นเนื้อของอสูรเวทระดับห้า ยอดเยี่ยมเหลือเชื่อจริงๆ …” ปู้ฟางพูดพร้อมถอนหายใจ จากนั้นก็ลงแรงหั่นและทำเนื้อให้นุ่มต่อไป…
หลังจากที่หั่นแผงซี่โครงออกเป็นชิ้นๆ แล้ว ชายหนุ่มก็นำซี่โครงแต่ละชิ้นไปคลุกกับส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ วัตถุดิบในการทำแป้งคลุกเองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน มันทำมาจากมันฝรั่งพลังปราณที่พบได้ในดินแดนรกร้างตอนกลางของจักรวรรดิวายุแผ่ว
หลังจากที่ซี่โครงทุกชิ้นถูกคลุกเคล้าด้วยแป้งจนทั่ว ปู้ฟางก็เริ่มเตรียมน้ำมันในกระทะ เขาเทน้ำมันคุณภาพสูงลงไปครึ่งหนึ่งของกระทะ จากนั้นก็รอให้ร้อนพอจะนำลงไปทอดได้
ปู้ฟางเอามืออังบนน้ำมันเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ รู้สึกได้ถึงความร้อนใต้ฝ่ามือ เมื่อไอน้ำมันร้อนพอลวกมือเขา ชายหนุ่มก็ใส่ซี่โครงชุบแป้งลงไปทอด
ฉ่า!
ทันทีที่ชายหนุ่มกลับซี่โครงชุบแป้งไปมาในน้ำมันร้อน แป้งที่เคลือบซี่โครงอยู่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างรวดเร็ว…
ปู้ฟางใช้ตะเกียบยาวพลิกซี่โครงทีละชิ้น เขาใช้ทักษะการทำอาหารกะเกณฑ์ดูให้แน่ใจว่าแต่ละชิ้นสุกกำลังดี เพื่อให้รสชาติเหมือนกันทุกชิ้น
เมื่อแป้งที่ชุบซี่โครงเริ่มกลายเป็นสีเหลืองเข้ม เขาก็ตักมันออกมาพักไว้ในชามดินเผาใบใหญ่ น้ำมันส่วนเกินไหลออกจากแป้งชุบซี่โครงทอด
ปู้ฟางคุ้นเคยกับการทำซี่โครงเปรี้ยวหวานเป็นอย่างดี และระบบก็เตรียมวัตถุดิบที่ต้องใช้ไว้ให้ทั้งหมดแล้ว จะทำมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับเขาเป็นคนกำหนด
ชายหนุ่มเตรียมซอสเปรี้ยวหวานอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันซี่โครงทอดที่พักอยู่ในชามดินเผาก็ค่อยๆ หายร้อน แม้ยังมีไอร้อนโชยออกมาแต่น้ำมันส่วนเกินก็หยุดซึมออกจากแป้งทอดเรียบร้อยแล้ว ปู้ฟางเทซอสเปรี้ยวหวานลงในชามใหญ่ แล้วเริ่มคลุกเคล้าให้เข้ากัน พร้อมจัดใส่จาน
ระยะเวลาตั้งแต่การเทซอสเปรี้ยวหวานและการคลุกเคล้าให้ซอสเข้าเนื้อไม่ควรเกินสามสิบลมหายใจ ถือเป็นกระบวนการที่ทดสอบทักษะการทำอาหารของปู้ฟางอย่างแท้จริง เนื่องจากต้องทำให้เสร็จอย่างรวดเร็ว และดูให้แน่ใจด้วยเช่นกันว่าซี่โครงแต่ละชิ้นนั้นเคลือบซอสถ้วนทั่วสม่ำเสมอ
เมื่อจัดชิ้นเนื้อใส่จานกระเบื้องสีฟ้าขาว ซี่โครงเปรี้ยวหวานที่ทั้งอร่อยหอมยั่วน้ำลายก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
กลิ่นของซอสเปรี้ยวหวานที่ลอยล่องอยู่ในอากาศหลั่งไหลเข้าโพรงจมูกของปู้ฟางไม่ขาดสาย จนทำให้น้ำลายสออย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มหยิบตะเกียบไม้ไผ่ขึ้นมา แล้วเดินถือจานซี่โครงเปรี้ยวหวานไปที่บริเวณห้องอาหาร กลิ่นหอมหวนพัดใส่หน้าไปตลอดทางจนทำให้น้ำลายไหล ความอยากอาหารพุ่งสูงขึ้นอีก
กลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานหอมเข้ม ผสมผสานระหว่างกลิ่นซอสหวานเปรี้ยวและกลิ่นเนื้อหมูทอดกรอบ
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่ตรงปากประตูลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของมันสว่างเจิดจ้าเหมือนหลอดไฟที่เพิ่งกดเปิดในความมืดมิด ภายในพริบตา สุนัขตัวนั้นก็หายตัวจากทางเข้ามาโผล่ในร้านเป็นที่เรียบร้อย
ปู้ฟางที่กำลังจะคีบซี่โครงเปรี้ยวหวานเข้าปากสังเกตเห็นดวงตาเจิดจ้าของเจ้าสุนัขตัวยักษ์ ที่กำลังจ้องเขม็งมายัง… ชิ้นเนื้อที่ตะเกียบของเขาคีบอยู่
………………………………………