“โอหัง!” รูม่านตาของเจ้ารู่เก๋อหดแคบ เขาตบมือลงบนโต๊ะแล้วตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
โต๊ะสั่นสะเทือนตามแรงตบ ทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นสะดุ้งเฮือก แต่ก็รู้สึกไม่ต่างกันว่าชายปริศนาผู้นี้อวดดีเกินไป
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นใครน่ะหรือ ในฐานะขุนนางชั้นสูงคนสำคัญของนครหลวง สถานะของเขาเทียบเคียงได้กับแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเลยทีเดียว ทว่าน้ำเสียงของชายผู้นี้กลับเต็มไปด้วยความดูหมิ่นที่มีต่อเสนาบดีฝ่ายซ้าย บอกยากเหลือเกินว่าเขามั่นใจในตนเองถึงเพียงนั้น หรือว่าแค่ยโสโอหังกันแน่
ดวงตาของเจ้ารู่เก๋อสว่างวาบ พลังปราณรอบกายเริ่มก่อตัวรุนแรงขึ้น กระแสปราณเลื้อยไหลออกจากร่างเหมือนแมลงที่ชอนไชอยู่บนผิวกาย ชายหนุ่มรวมพลังปราณเที่ยงแท้ไว้ภายนอกร่างอย่างรวดเร็ว
“เจ้านี่เสียงดังน่ารำคาญเสียจริง! มาร้านเถ้าแก่ปู้ เจ้าก็นั่งกินอย่างสงบๆ ไปเสียสิ หากอยากสู้ก็ออกไปสู้ข้างนอก” ชายปริศนาพูดเสียงเรียบ เขาไม่สนใจเจ้ารู่เก๋อที่กำลังรวมพลังปราณเตรียมเผด็จศึกแม้แต่น้อย
เมื่อพูดจบ ชายปริศนาก็ยกมือขึ้น ยื่นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ออกมา ท่าทางเหมือนกำลังจะบี้แมลงวันให้ตายคามือ
ขวับ!
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางที่นั่งอยู่ไกลพอตัวรีบพุ่งไปกันด้านหน้าโอวหยางเสี่ยวอี้ไว้ ขนทั่วกายของพวกเขาลุกชัน สายตาจ้องไปที่ชายปริศนาอย่างระวังตัวถึงขีดสุด
รูม่านตาของเซียวเยียนอวี่หดแคบลงเช่นกัน นางรวมพลังปราณภายในกายเข้าด้วยกันตามสัญชาตญาณ
ซู่ ซู่!!
ชายปริศนาดีดนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเหมือนดีดแมลงน่ารำคาญ พลันพลังที่มองไม่เห็นก็พุ่งออกจากนิ้วของเขาอย่างรวดเร็ว ร่างของเจ้ารู่เก๋อชะงักงันไปชั่วขณะ พลังที่รวมเอาไว้ทั่วร่างฝ่อตัวลงเหมือนลูกโป่งหมดลม
ชายหนุ่มร้องโอดโอย ร่างจิ้มพื้นเอาหน้าทิ่มลง…
เจ้ารู่เก๋อมีสีหน้าเหม่อลอย ร่างทั้งร่างสั่นเทา ปากไหวระริก น่ากลัวเกินไปแล้ว… ภายในเสี้ยวลมหายใจ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเองกำลังจะตายลงเสียตรงนั้น!
จุดสีแดงปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของเขา ก่อนขยายครอบคลุมทั้งหน้าผากอย่างรวดเร็ว
“หากเราไม่ได้อยู่ที่ร้านเถ้าแก่ปู้ ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว” ชายในชุดดำพูดเสียงราบเรียบ จากนั้นก็ค่อยๆ ลดมือลง แล้วไม่พูดสิ่งใดอีก
บรรยากาศภายในร้านพลันเย็นยะเยือก ทุกคนกลั้นหายใจ
เจ้ารู่เก๋อหน้าบูดเบี้ยวขณะยันตัวขึ้นจากพื้น จากนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตนเอง แล้วนั่งลงเงียบๆ
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางกำลังดึงโอวหยางเสี่ยวอี้ออกจากจุดอันตรายเช่นกัน หากประเมินจากความน่ากลัวของการโจมตีเมื่อครู่แล้ว ชายผู้นี้ต้องมีปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการเป็นอย่างน้อย
แต่นั่นก็เป็นการประเมินขั้นต่ำสุด เนื่องจากเจ้ารู่เก๋อมีปราณอยู่ที่ระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ และกำลังจะบรรลุระดับสี่ขั้นจิตยุทธการแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการก็น่าจะฆ่าเขาตายในเสี้ยวลมหายใจเดียวได้ยากพอตัว ดังนั้นชายตรงหน้าพวกเขานี้ จะต้องมีปราณระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการเป็นแน่!
บรรยากาศกระอักกระอ่วนภายในร้านดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น แต่กลิ่นหอมที่โชยออกจากครัวก็กู้สถานการณ์ได้ทันท่วงที
“ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงได้แล้ว” เสียงตายด้านของปู้ฟางดังออกมาจากครัว ชามข้าวผัดไข่ส่องแสงสีทองอร่ามเรืองรองปรากฏขึ้นบนหน้าต่างห้องครัว
โอวหยางเสี่ยวอี้เดินไปหยิบชามด้วยความกระตือรือร้น
กลิ่นหอมอบอุ่นของอาหารไล่บรรยากาศเย็นยะเยือกภายในร้านออกไปจนแทบหมดสิ้น กลิ่นชวนน้ำลายสอนั้นนุ่มนวลเหมือนผ้าไหมที่เข้าสัมผัสใบหน้าของพวกเขา ทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกจักจี้
“หอมเอาเรื่อง!” เจ้ารู่เก๋อดมกลิ่นข้าวผัดไข่ รู้สึกราวกับว่าความเจ็บปวดบนหน้าผากหายไปจนเกือบหมด
เซียวเสี่ยวหลงรับชามข้าวผัดไข่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ มือถือช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาว แล้วเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อยทันที
เจ้ารู่เก๋อกลืนน้ำลายเอื๊อก เขาไม่เคยกินข้าวผัดไข่ร้านนี้มาก่อน แต่ท้องก็ร้องรับกลิ่นไปเรียบร้อยแล้ว
เซียวเสี่ยวหลงกินอย่างมูมมากจนมีเมล็ดข้าวมากมายติดอยู่ตามมุมปาก เขารู้สึกได้ถึงสายตาหิวกระหายที่จ้องมาที่ตนเอง แล้วก็เงยหน้าขึ้นยิ้มยิงฟันใส่เจ้ารู้เก๋อ “เจ้าอยากลองกินดูไหม”
เจ้ารู่เก๋อมองหน้าชายหนุ่มจากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
“ถ้าอยากกินคราวหน้าก็ซื้อกินเองเสียสิ” เซียวเสี่ยวหลงแลบลิ้นออกมาตวัดข้าวที่มุมปากเข้าปาก แล้วเอ่ยอย่างยียวน
เจ้ารู่เก๋อชะงักกึก ดวงตาเผาไหม้ด้วยความโกรธ “มันกล้ากวนประสาทข้าได้อย่างไร!”
“ขนมจีบทองคำเสร็จแล้ว” เสียงเรียบของปู้ฟางลอยออกมาจากครัว
โอวหยางเสี่ยวอี้เดินไปรับขนมจีบทองคำเช่นกัน แล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าเซียวเยียนอวี่ ขนมจีบทองคำสีทองอร่ามสวยงามเหมือนภาพวาดของจิตกรเลื่องชื่อ ทอแสงเจิดจรัสสีทองราวกับเป็นทองคำแท้ที่อยู่ในจาน
เซียวเยียนอวี่คีบขนมจีบขึ้นมาหนึ่งลูก น้ำซุปซึมออกจากภายในขนมจีบ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนไปทั่วร้าน
แต่ก่อนที่น้ำซุปนั้นจะทันได้ไหลออกจากขนมจีบ นางก็เอาปากรับไว้ได้ทัน ริมฝีปากกระจับของนางดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นด้วยมันจากขนมจีบที่เคลือบปากไว้จนดูชุ่มชื้น
เจ้ารู่เก๋อมองภาพตรงหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด ไม่มีใครรู้ว่าที่ชายหนุ่มกำลังทำหน้าเคลิบเคลิ้มอยู่นี้เป็นเพราะอาหารหรือหญิงงามกันแน่ ทว่า… ภาพตรงหน้านั้นจัดว่าเป็นอาหารตาของเขาโดยแท้
จากนั้นระยะเวลาที่อาหารแต่ละจานถูกลำเลียงออกจากครัวก็สั้นลงเรื่อยๆ
ปลาดองเหล้าเองก็พร้อมกินแล้วเช่นกัน แต่อาหารจานนี้หนักเกินจะให้โอวหยางเสี่ยวอี้ถือ ปู้ฟางเลยต้องเดินออกจากครัวมาวางให้ด้วยตนเอง เมื่อเขาเดินเข้าบริเวณห้องอาหารมา ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชายปริศนาในหมวกไม้ไผ่
ชายปริศนาพยักหน้าให้ปู้ฟางผู้ซึ่งหยักหน้าตอบอย่างไร้อารมณ์
ทันทีที่จานปลาดองเหล้าถูกยกออกจากครัว กลิ่นสุราหอมกรุ่นก็ลอยกลบกลิ่นอาหารจานอื่นไปจนหมดสิ้น แม้กระทั่งชายปริศนายังดวงตาเป็นประกายและจับจ้องอยู่ที่จานปลาดองเหล้านานเป็นพิเศษ
“ดูท่าทางแล้ว… น่าจะอร่อยเหมือนกัน” ชายผู้นั้นคิดกับตนเอง “ข้าไม่รู้เลยว่านอกจากสุราชั้นเลิศแล้ว อาหารของเถ้าแก่ปู้ยังยอดเยี่ยมไม่แพ้กันด้วย”
“ซี่โครงเปรี้ยวหวานได้แล้ว” หลังจากกลับเข้าครัวไปครู่หนึ่ง เสียงปู้ฟางก็ลอยออกมาอีกครั้ง
โอวหยางเสี่ยวอี้รออยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างหมดความอดทน นางแทบรอดูอาหารจานล่าสุดของปู้ฟางไม่ไหว
ทันทีที่จานซี่โครงเปรี้ยวหวานสีส้มเข้มกลิ่นหอมหวนปรากฏขึ้นตรงหน้าโอวหยางเสี่ยวอี้ เด็กหญิงก็ชะงักค้าง แค่กลิ่นก็ทำให้นางกลืนน้ำลายเอื๊อก น้ำลายแทบไหลออกจากมุมปาก
หอมเกินไปแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นของซอสเปรี้ยวหวานนี้ยังทำให้เด็กหญิงแทบควบคุมตนเองไม่อยู่
ทว่าน่าเสียดายนัก… ที่คนสั่งอาหารจานนี้กลับเป็นไอ้หน้าสาวเจ้ารู่เก๋อ!
นางวางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงเบื้องหน้าเจ้ารู่เก๋ออย่างไม่อยากจะปล่อยมือ ส่วนชายหนุ่มนั้นน้ำลายยืด นั่งถือตะเกียบคอยท่าอยู่แล้ว กลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานหอมมากเสียจนเขาแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ เพราะโดนกักขังอยู่ในวังวนความอร่อยที่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มลอง
เขาใช้ตะเกียบคีบซี่โครงขึ้นมาใส่ปาก รสชาติทั้งเปรี้ยวและหวานระเบิดออกมาในปากทันที รสชาติเข้มข้นของเนื้อหมูพวยพุ่งเข้าเกาะกุมต่อมรับรสของชายหนุ่มอย่างไม่อาจฉุดรั้งได้ ซี่โครงนั้นยังร้อนเล็กน้อย เขาจึงต้องพ่นลมออกมาเพื่อทำให้มันเย็นลง
กลิ่นหอมของซี่โครงอบอวลไปทั่วร้าน
แม้แต่เซียวเสี่ยวหลงยังหยุดกิน ส่วนเซียวหลายยู่เองยังต้องหันไปมองเจ้ารู่เก๋อด้วยเช่นกัน… เพราะกลิ่นอาหารจานที่เขาสั่งมานั้นหอมมากจริงๆ!
เจ้ารู้เก๋อมีความสุขมากเสียจนน้ำตาแทบไหล อาหารจานนี้อร่อยล้ำจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เขารู้สึกว่าเงินห้าสิบผลึกที่เสียไปนั้นคุ้มค่าทุกผลึก!
ชายหนุ่มคีบซี่โครงขึ้นมาอีกชิ้นแล้วยัดใส่ปากท่ามกลางสายตาอิจฉาของโอวหยางเสี่ยวอี้ ซอสเปรี้ยวหวานเลอะไปทั้งสองมุมปาก แถมยังต้องเป่าลมฟู่ๆ ออกมาขณะกินเพื่อทำให้ซี่โครงเย็นลง
ตอนที่ปู้ฟางเดินออกจากครัวมานั้น อาหารทุกจานก็ถูกลำเลียงออกมาครบแล้ว เหลือเพียงสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเท่านั้น
ชายหนุ่มถือเหยือกออกมาสองเหยือก วางไว้ตรงหน้าเซียวเสี่ยวหลงและสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางที่ละเหยือก จากนั้นก็เดินกลับเข้าครัวไปหยิบออกมาอีกเหยือกหนึ่งแล้วเอาไปวางตรงหน้าชายปริศนา
“นี่สุราหัวใจหยกเยือกแข็งที่สั่ง ดื่มให้อร่อย” ชายหนุ่มพูดหน้าตาย
“ฮ่า… เถ้าแก่… เหล้าของเจ้า… ฮู่… ดีกว่า… สุราน้ำอัญมณีทิพย์จริงหรือ” เจ้ารู่เก๋อถามด้วยความสงสัยขณะพ่นลมออกทางปากเพื่อทำให้ซี่โครงเย็นลง เขากำลังเคี้ยวเนื้ออยู่ในปาก พ่นลมร้อนออกมาเป็นพักๆ ตามจังหวะการเคี้ยว
“ข้าบอกไปแล้วมิใช่รึ… สุราน้ำอัญมณีทิพย์ก็เป็นได้แค่น้ำล้างมือเท่านั้น เจ้าต้องลองดื่มสุราร้านข้าดู แล้วจะรู้เอง” ชายหนุ่มเจ้าของร้านพูดเรียบๆ
เสียงแหบห้าวของชายปริศนาดังขึ้นเช่นกัน “สุราน้ำอัญมณีทิพย์จะมาเทียบสุราหัวใจหยกเยือกแข็งของเถ้าแก่ปู้ได้อย่างไรกัน สุราอันดับหนึ่งในจักรวรรดิวายุแผ่วคือสุราหัวใจหยกเยือกแข็งของเถ้าแก่ปู้อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัย”
หลังพูดจบ ชายปริศนาก็เปิดผ้าคลุมเหยือกของตนออก ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานรุนแรงของเหล้าก็ไหลบ่าเข้าท่วมทั้งร้านเหมือนน้ำเชี่ยวกราก
กลิ่นสุรานั้นทั้งกลมกล่อมละมุนและเข้มข้นเป็นอันมาก พัดพาเอากลิ่นของปลาดองเหล้าให้กระจายหายไปหมดสิ้น ทำเอาทุกคนในร้านถึงกับต้องมนต์
ใบหน้าขาวผ่องของโอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเยียนอวี่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อด้วยความหลงใหล
แค่เทียบกลิ่นกัน สุราน้ำอัญมณีทิพย์ก็พ่ายแพ้เสียแล้ว
ส่วนรสชาตินั้น… เซียวเสี่ยวหลงและสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางแทบรอลิ้มลองไม่ไหว
……………………………………