“นายท่านทำพลาดในครั้งแรก”
เสียงระบบดังขึ้นในหัวปู้ฟางทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ เขาพลาดไปได้อย่างไร ในเมื่อกลิ่นมันหอมหวนถึงเพียงนี้…
ปู้ฟางเอาหม้อดินเผาออกจากเตาแล้วเปิดฝาหม้อ ไอน้ำหนาแน่นอบอวลด้วยกลิ่นไก่พวยพุ่งออกมา กลิ่นหอมของสะระแหน่เจืออยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ปู้ฟางรู้สึกมึนเมาเล็กน้อยเมื่อได้สูดเข้าไป
ภายในหม้อ เนื้อไก่สีแดงเหมือนเลือดเด้งดึ๋งราวกับเป็นวุ้น น้ำแกงไก่ยังคงเดือดปุด ทุกครั้งที่ฟองอากาศแตกกลิ่นหอมหวนจะพวยพุ่งขึ้นมา น้ำสะระแหน่สีม่วงเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหลังจากตั้งไฟไว้สักพัก นอกจากนี้ยังมีฟองหนาสีเหลืองลอยอยู่บนน้ำแกงด้วยเช่นกัน ฟองนี้เป็นพลังชีวิตจากสมุนไพรพลังปราณที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
“หืม” ปู้ฟางขมวดคิ้วขณะมองสีของน้ำแกง หลังจากจ้องอยู่นานสองนาน ชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาว ใบหน้าดูค่อนข้างเสียดาย
เป็นอย่างที่ระบบว่าไว้ เขาทำพลาดจริงๆ เสียด้วย สีของน้ำแกงไม่ควรเป็นสีเขียวมะนาว น้ำแกงไก่ที่สมบูรณ์แบบนั้นควรอยู่ในสภาพที่น้ำสมุนไพรซึมเข้าไปในเนื้อไก่จนหมด สีของน้ำแกงที่ถูกต้องควรเป็นสีเหลืองอำพัน
“คำแนะนำจากระบบ: ระหว่างกระบวนการปรุงอาหารโอสถทิพย์ นายท่านสามารถกระตุ้นให้น้ำสมุนไพรสะระแหน่ซึมเข้าไปในเนื้อไก่ได้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้พลังปราณเที่ยงแท้ ซึ่งจะช่วยรักษาประสิทธิภาพของสมุนไพรไว้ได้ดีเยี่ยมและทำให้รสสัมผัสของเนื้ออร่อยขึ้น” ระบบเอ่ย
“ใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการกระตุ้นรึ” ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขึ้นมา เขาปรุงตามที่สูตรบอกทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ผลกลับออกมาเป็นลบ จากนั้นก็ได้อ่านทวนอีกครั้งและพิจารณาดูอีกหน ทว่ากลับยังคิดไม่ออกเสียทีว่าทำสิ่งใดผิดไป ปู้ฟางเพิ่งนึกจุดที่ตนเองพลาดออกหลังจากที่ระบบเตือน
เขากำลังปรุงอาหารโอสถทิพย์อยู่ และยังต้องใช้สมุนไพรพลังปราณจำนวนมากอีกด้วย เพื่อให้พลังปราณของวัตถุดิบหลักและสมุนไพรหักล้างกันได้อย่างสมบูรณ์ เขาจะใช้เพียงอุปกรณ์ทำครัวประกอบอาหารไม่ได้ จำเป็นต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้เป็นตัวกลางในการปรุงอาหารโอสถทิพย์ให้สำเร็จด้วย
ในความเป็นจริงแล้ววิธีการนี้ไม่ได้ใช้กับอาหารโอสถทิพย์เท่านั้น ในอนาคตปู้ฟางจะต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้เป็นตัวกลางในการทำอาหารชนิดอื่นด้วยเช่นกัน ความจำเป็นในการใช้พลังปราณเที่ยงแท้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ระบบช่วยปู้ฟางแปลงผลึกเป็นพลังงานให้เขาบรรลุขั้นปราณได้
มีวัตถุดิบชั้นยอดจำนวนไม่น้อยที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณปริมาณมหาศาล จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เพียงเครื่องครัวอย่างเดียวในการประกอบอาหาร หากเขาทำผิดพลาด อาจเกิดเหตุระเบิดหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่นๆ ได้ ปู้ฟางจะต้องคิดถึงจุดนี้ให้มากขึ้นเมื่อเริ่มใช้วัตถุดิบที่สูงกว่าระดับห้าขึ้นไป
“ฟู่~” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เรียกเจ้าขาวมาหาตน แล้วใส่น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงที่ทำไม่สำเร็จเข้าไปในท้องของหุ่นยนต์เพื่อกำจัดเศษอาหาร
เขาบิดขี้เกียจแล้วหาวออกมาหวอดใหญ่ ได้เวลานอนแล้ว ชายหนุ่มที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเป็นพ่อครัวเทพให้ได้ จำเป็นต้องแบ่งเวลาการทำงานและการพักผ่อนอย่างเป็นสัดส่วนเคร่งครัด เมื่อถึงเวลานอนเขาก็ต้องนอน
แม้ความพยายามครั้งแรกของปู้ฟางจะผิดพลาดจนทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงไม่สำเร็จ แต่เขาก็ยังสงบนิ่งใจเย็นเช่นเดิม
ปู้ฟางตบท้องเจ้าขาวแล้วเดินกลับเข้าห้องไป นอนหลับอย่างปกติสุข
เช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตา แล้วเปิดร้านตามปกติ
ชายหนุ่มฝึกฝนทักษะการใช้มีดฝนดาวตกอย่างที่เคยทำ และทำภารกิจประจำวันสำเร็จเสร็จสิ้น จากนั้นก็ใช้หัวไชเท้าที่ได้จากการฝึกใช้มีดมาทำข้าวผัดไข่หัวไชเท้า
หลังจากลองชิมดูและพึงพอใจกับรสชาติที่ได้ เขาก็นำอาหารไปวางไว้ให้เจ้าดำที่นอนหลับอยู่ตรงทางเข้าร้านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ร้านของเขาเองก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเช่นกัน อย่างน้อยตอนเปิดร้านทุกเช้าก็จะเห็นกองทัพชายอ้วนลูกค้าประจำยืนคอยท่าอยู่ เจ้าอ้วนจินและสหายมากินข้าวที่ร้านเขาทุกวันไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก
“เถ้าแก่ปู้ วันนี้ข้าขอขนมจีบทองคำ! สวรรค์ช่วย ซี่โครงเปรี้ยวหวานราคาแรงถึงห้าสิบผลึกเชียวรึ! ในเมื่อแพงขนาดนี้ก็ต้องสั่งเสียหน่อย เอามาหนึ่งจานก็แล้วกัน!” เจ้าอ้วนจินหัวเราะ ไขมันบนใบหน้ากระเพื่อมตามคำพูด
เหล่าชายอ้วนคนอื่นๆ ก็สั่งอาหารที่ตนเองอยากกินเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงเริ่มทำงานมือเป็นระวิง โอวหยางเสี่ยวอี้มาถึงแต่เช้า หลังจากที่ทำงานไปสักพัก นางก็เริ่มชำนาญมากขึ้น
ในช่วงเวลาเปิดร้านชายหนุ่มทำงานตามปกติ เขาไม่มีเวลานั่งคิดเรื่องวิธีการทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิง และดูใจเย็นเป็นอันมาก
ซูฉีเดินเข้าร้านมาเนิบๆ ตั้งแต่องค์ชายรัชทายาทสั่งให้เขามาตรวจสอบร้านแห่งนี้ ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ตกหลุมอาหารอร่อยเข้าเต็มเปาจนมากินแทบทุกวัน
“หนูน้อย ข้าขอปลาต้มก็แล้วกัน!” ซูฉีพยักหน้าให้โอวหยางเสี่ยวอี้
ปลาต้มเป็นอาหารจานโปรดของเขา เขาชอบมันมากกว่าปลาดองเหล้าและน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเสียอีก ความรู้สึกสุขล้ำจากเนื้อปลาอ่อนนุ่มนิ่มลื่นแต่ละชิ้นที่เข้าปากนั้น ทำให้ซูฉีรู้สึกราวกับกำลังเมามาย
เมื่อรับรายการที่ลูกค้าสั่งเรียบร้อย ปู้ฟางก็พยักหน้าแล้วเดินไปที่ตู้ปลา เขาจุ่มมือลงไปในตู้ คว้าปลาสีดำออกมาอย่างรวดเร็ว ปลาชนิดนี้เป็นปลาน้ำจืด มีระดับต่ำกว่าปลาคาร์ปอัสนีเงินเล็กน้อย แต่เนื้อของมันนั้นนุ่มกว่ามาก
ตอนที่ปู้ฟางวางปลาซึ่งกำลังดิ้นเอาชีวิตรอดลงบนเขียง ปลาสีดำก็พ่นน้ำใส่เขาจนทำให้เสื้อเปียกเป็นดวง
เขาใช้ด้ามมีดทุบหัวปลาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็ขอดเกล็ดและควักไส้ปลาอย่างชำนาญ ทักษะการใช้มีดของชายหนุ่มพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก หลังจากได้ฝึกฝนเพิ่มเติมมาสองสามวัน ความเร็วในการแล่ปลานั้นน่าเหลือเชื่อ
เมื่อหั่นปลาเรียบร้อย กระบวนการที่เหลือก็ง่ายกว่ามาก ปู้ฟางหั่นสมุนไพรพลังปราณแล้วใส่ลงไปในหม้อเพื่อต้ม เมื่อมันส่งกลิ่นหอม เขาก็ใส่เนื้อปลาที่นำไปอุ่นในน้ำขิงเพื่อลดกลิ่นคาวเรียบร้อยลงไปในหม้อ ต้มอีกสักพักแล้วนำมาจัดใส่จาน
จานปลาต้มที่ทั้งหอมและมันวาวถูกวางลงตรงหน้าซูฉี ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย ใบหน้าแสดงความอยากกินออกมาอย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่าองค์ชายรัชทายาทจะไม่รู้แม้แต่น้อย ว่าที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของตนนั้นชอบกินอาหารเป็นชีวิตจิตใจ
ผ่าง
ชายวัยกลางคนใบหน้าหล่อเหลาราวสลักจากหินอ่อนก้าวเข้ามาในร้าน เขาเอามือไพล่หลัง ดวงตานิ่งเย็น พลังปราณรอบกายเข้มข้นรุนแรง
กลิ่นหอมหวนที่อบอวลอยู่ภายในร้านทำให้ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นแสดงความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเขาหันไปเห็นโอวหยางเสี่ยวอี้ ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งแล้วถามออกมาอย่างฉงน “หืม เสี่ยวอี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วร้าน ซูฉีที่กำลังจะคีบปลาต้มเข้าปากพาลตัวสั่นขึ้นมาทันที ปลาที่คีบไว้ตกลงใส่จานดังเดิม ทำให้น้ำซอสกระเด็นเปรอะเปื้อนหนวดงามของเขา
“ท่าน… ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง” เมื่อซูฉีหันไปเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันทีด้วยการเอาฝ่ามือชนกำปั้น ในใจก็คิด “สวรรค์โปรด… ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเองก็มาที่ร้านเล็กๆ แห่งนี้ด้วยรึ นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญมาก ข้าต้องรายงานให้องค์ชายรัชทายาทรู้”
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงพยักหน้ารับ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักที่ปรึกษาอันดับหนึ่งขององค์ชายรัชทายาท ทั้งยังชื่นชมความสามารถในการวางกลยุทธ์ของซูฉี และนับถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มากพรสวรรค์
“ท่าน… ท่านลุงเซียว ท่านมาที่นี่ทำไม” โอวหยางเสี่ยวอี้ยังคงกลัวเซียวเหมิงอยู่ อย่างไรเสียตำแหน่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนครหลวงก็เป็นที่น่ายำเกรงถึงขีดสุด
“ข้ามาร้านอาหาร ก็ต้องมากินสิ” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงตอบเรียบๆ จากนั้นก็หันหน้าไปมองรายการอาหารบนผนัง ราคาที่แพงหูฉี่ไม่ได้ทำให้แม่ทัพใหญ่ประหลาดใจแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ อารมณ์ของคนผู้นี้มั่นคงมาก
ซูฉีพยักหน้ากับตนเองคนเดียว พร้อมยกนิ้วโป้งชื่นชมแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงอยู่ในใจ
“เอาซี่โครงเปรี้ยวหวาน ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง ปลาดองเหล้า ขนมจีบทองคำ… และสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งเหยือก” เขาค่อยๆ อ่านชื่อรายการอาหารที่จะสั่งออกมาอย่างใจเย็น ยังคงเอามือไพล่หลังอยู่
เมื่อจำรายการที่สั่งได้เรียบร้อย โอวหยางเสี่ยวอี้ก็เดินไปที่ครัวแล้วบอกรายการกับปู้ฟาง
ปู้ฟางประหลาดใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าจะมีนักชิมกระเป๋าหนักมา สั่งเยอะขนาดนี้คงได้ผลึกไม่น้อย…” เขาพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์กับตนเองแล้วเริ่มทำอาหาร
ซูฉีกินปลาต้มหมดอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปบอกลาแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง ก่อนเร่งรีบจากไปเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้นายของตนรู้
การที่ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงมาเยือนร้านอาหารแห่งนี้ นับเป็นโอกาสงามสำหรับองค์ชายรัชทายาทที่จะชนะใจอีกฝ่าย
ไม่นานหลังจากที่ซูฉีจากไป โอวหยางเสี่ยวอี้ก็นำอาหารแต่ละจานมาให้แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง
อาหารทุกจานมีกลิ่นหอมน่ากิน แม้แต่คนที่จิตใจสงบเช่นแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ… นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารแต่ละจานอร่อยกว่าที่เขาคาดไว้มาก
อาหารของร้านนี้อร่อยกว่าร้านอาหารอันดับหนึ่งในนครหลวงอย่างร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เสียอีก
สำหรับรายการสุดท้ายคือสุราหัวใจหยกเยือกแข็งนั้น ปู้ฟางเป็นคนนำออกมาให้ด้วยตนเอง เมื่อเขาเดินออกจากครัวมา เซียวเหมิงก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายทันที
เขาวางตะเกียบลง มองปู้ฟางด้วยรอยยิ้มฝืดฝืนก่อนเอื้อนเอ่ย “เจ้าน่ะหรือเจ้าของร้าน เถ้าแก่ปู้ เจ้าทำให้บุตรสาวข้าได้รับบาดเจ็บ แถมยังอวดอ้างว่ารักษาชีวิตนางได้เช่นนั้นรึ”
…………………………………