“เจ้าทำให้บุตรสาวข้าได้รับบาดเจ็บ แถมยังอวดอ้างว่ารักษาชีวิตนางได้เช่นนั้นรึ” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงยิ้มฝืน น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย็นเยียบ เขาอยากเห็นนักว่าเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้จะสร้างปาฏิหาริย์อะไรได้บ้าง
อาการบาดเจ็บของเซียวเยียนอวี่นั้น แม้แต่หมอหลวงก็ยังแทบยื้อชีวิตเอาไว้ไม่ได้ แล้วคนที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมีหน้ามาอวดอ้างว่าจะรักษานางได้อย่างไร
ปู้ฟางถือเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งอยู่ในมือตอนเดินออกจากห้องครัวมา เมื่อได้ยินคำถามของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง เขาก็พลันตกอยู่ในภวังค์
“คนผู้นี้คือบิดาของเซียวเยียนอวี่รึ” ปู้ฟางคิดขณะมองไปที่ชายวัยกลางคนตรงหน้า พูดกันตามตรงแล้ว สายพันธุกรรมของตระกูลเซียวนี้เยี่ยมยอดจริงๆ ทุกคนในตระกูลหน้าตาดีกันหมด
“อ้อ ใช่ ข้านี่แหละเจ้าของร้านแสนใจบุญ” ชายหนุ่มพูดหน้าตาย
เขาเดินไปที่โต๊ะของแม่ทัพใหญ่แล้ววางเหยือกสุราลง “นี่สุราหัวใจหยกเยือกแข็งที่สั่ง ดื่มให้อร่อย”
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงมองปู้ฟางด้วยสายตาไร้อารมณ์ เขาวางมือหนึ่งลงบนผ้าที่คลุมเหยือกสุราเอาไว้แล้วพูดเสียงเย็น “เจ้าทำให้บุตรสาวข้าได้รับบาดเจ็บ ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรือ”
“จะให้ข้าพูดอะไรเล่า แม้ร้านอาหารข้าจะเล็กแถมยังตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล แต่ก็ยังมีกฎที่ต้องทำตาม ในเมื่อนางตัดสินใจก่อความไม่สงบภายในร้านข้า ก็ต้องเตรียมตัวไว้ว่าอาจบาดเจ็บได้” ปู้ฟางมองหน้าแม่ทัพใหญ่พลางตอบหน้าตาย
คำตอบที่ทั้งไม่ถ่อมตัวและไม่เย่อหยิ่งของอีกฝ่ายนั้นทำให้แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้น “นานแล้วที่ไม่มีคนพูดกับข้าเช่นนี้… ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นบิดาของเยียนอวี่ ก็ย่อมรู้ดีว่าข้าเป็นใคร
“ด้วยพลังปราณของข้า แค่ทำลายร้านเล็กๆ นี้ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือทำลายร้านของเจ้าหรือ”
เมื่อพูดจบ พลังปราณรุนแรงก็ไหลบ่าออกจากร่าง พลังนั้นหนักอึ้งเหมือนถูกกดทับด้วยโลกทั้งใบ บรรยากาศภายในร้านหนักเหมือนถูกบีบอัด
ใบหน้าน่ารักของโอวหยางเสี่ยวอี้พาลซีดเผือด ดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง นางรีบหนีไปซ่อนไกลๆ ตอนที่แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงโกรธนั้นน่ากลัวมากจริงๆ
“อ้อ เจ้าอยากทำลายร้านข้ารึ” ปู้ฟางที่ยืนอยู่ท่ามกลางพลังปราณรุนแรงของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงตอบเพียงคำว่า “อ้อ” อย่างใจเย็น ประโยคต่อมาของเขามีน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ามีน้ำยาไม่พอหรอก”
แม้พลังงานในร้านจะหนักอึ้งเหมือนขุนเขา ยิ่งใหญ่เหมือนพญามังกร ทว่าตราบใดที่ยังอยู่ในร้าน ตัวชายหนุ่มก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ระบบในร้านคอยช่วยปัดเป่าพลังงานไม่พึงประสงค์เสมอ
คำตอบของปู้ฟางนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคนในที่แห่งนี้มาก
โอวหยางเสี่ยวอี้ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็หันไปมองนายท่านตัวเหม็นของตนด้วยความชื่นชม แม้นางจะคิดว่าเขามุทะลุเหลือแสน แต่ก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนั้นช่างแสนตราตรึงใจ
“ข้าไม่มีน้ำยาพอรึ” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงลุกขึ้นยืน โกรธจัดเสียจนหัวเราะออกมา ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการจะไม่มีน้ำยาพอทำลายร้านเล็กๆ นี้ได้อย่างไรกัน
ภายในเสี้ยวลมหายใจ ดวงตาของปู้ฟางก็พร่าเลือน แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงมาปรากฏตัวตรงหน้าเขา ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ห่างจากหน้าของปู้ฟางไปเพียงหนึ่งคืบ ความเย็นที่แผ่ออกจากร่างทำให้รูขุมขนของชายหนุ่มหดตัว
“ยโสนักทั้งที่เป็นแค่ระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ ไหนขอดูเสียหน่อยว่าเจ้าจะสมราคาคุยหรือไม่” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงพูดเสียงเรียบ พร้อมยกมือขึ้นจะจับตัวปู้ฟาง
ปู้ฟางจับจ้องไปที่แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บรรยากาศในร้านตึงเครียดขึ้นทันที
ปัง!
ชายหนุ่มก้าวถอยไปข้างหลังสองก้าว ฝ่ามือของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงไม่ได้ปะทะร่างของเขาแต่อย่างใด เพราะเจ้าขาวเข้ามากันเอาไว้ได้ทันท่วงที
แขนหุ่นยนต์ของเจ้าขาวยกขึ้นหยุดฝ่ามือที่คิดโจมตีเอาไว้ได้ ควันสีเขียวลอยล่องออกจากฝ่ามือของทั้งสองขณะปะทะกัน
“พวกที่เข้ามาก่อความไม่สงบจะต้องโดนจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี” ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสงสีแดงวาบ เสียงจักรกลดังตามมา
ดวงตาของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเองก็สว่างวาบขึ้นเช่นกันขณะมองหุ่นยนต์ตรงหน้า “นี่คือหุ่นเชิดจักรกลที่ทำให้เยียนอวี่ได้รับบาดเจ็บสินะ มันกันการโจมตีของข้าได้อย่างไม่คณนามือ! เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ร้านนี้มีอะไรซ่อนไว้จริงๆ ด้วย”
ร่างของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงบิดงอ ขณะปล่อยอีกหมัดไปที่เจ้าขาวด้วยความเร็วแสง
ปัง!
ปัง ปัง ปัง!
ทั้งสองแลกหมัดกัน ฝ่ามือเร็วจนมองแทบไม่เห็น การปะทะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงดังสะท้อนไปทั่วร้าน
รูม่านตาของปู้ฟางหดแคบด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนต่อกรกับเจ้าขาวได้อย่างสูสี สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ
โอวหยางเสี่ยวอี้นั้นประหลาดใจยิ่งกว่า ในใจของนางคิดมาตลอดว่าท่านลุงเซียวที่น่ากลัวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเจ้าขาวเองจะมีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!
ทั้งสองก้าวเท้าออกจากกันด้วยเสียงดังลั่น
ควันสีเขียวลอยออกจากมือของเจ้าขาว ดวงตากะพริบไฟถี่
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สะบัดแขน ก่อนสูดหายใจเข้าลึก
“ระบบ เจ้าขาวไม่ได้ไร้เทียมทานหรอกรึ เหตุใดจึงเอาชนะลุงวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้” ปู้ฟางถามด้วยความงุนงง เขาคิดมาตลอดว่าเจ้าขาวนั้นไม่มีใครโค่นลงได้
“ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าขาวคิดจากขั้นปราณของนายท่านบวกเข้าไปอีกสี่ขั้น เจ้าขาวจะแข็งแกร่งต่อเมื่อนายท่านแข็งแกร่ง หากนายท่านอ่อนแอ การป้องกันร้านก็จะอ่อนแอตามไปด้วย” ระบบอธิบายเสียงเคร่ง
มุมปากของปู้ฟางกระตุก พลังปราณของเขาตอนนี้อยู่ที่ระดับสามเท่านั้น แปลว่าเจ้าขาวมีปราณอยู่ที่ระดับเจ็ด ซึ่งเท่ากับขั้นปราณของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง เพราะเหตุนี้จึงได้เสมอกันเช่นนี้
“ระบบ แล้วหากเจ้าขาวเอาชนะคนที่มาก่อความไม่สงบไม่ได้เล่า” ชายหนุ่มถามในใจ
“นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป เจ้าขาวไม่ใช่ด่านสุดท้ายของร้าน ทว่านายท่านก็ยังต้องทำงานหนักเพื่อหาผลึกมาให้ได้อยู่ดี นายท่านต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งขั้นปราณที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าขาวให้ไปถึงระดับเก้า” ระบบเอ่ย
ตูม ตูม ตูม!
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงจริงจังขึ้นหลังจากประมือกับเจ้าขาวสองสามครั้ง ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในอาณาจักรจะมาพลาดท่าให้หุ่นเชิดจากร้านเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หากมีใครรู้เข้า เห็นทีเขาคงได้กลายเป็นตัวตลกให้ทั้งจักรวรรดิหัวเราะเยาะเป็นแน่
ตอนที่เขากำลังจะปล่อยกระบวนยุทธเพื่อเผด็จศึกนั่นเอง แม่ทัพใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตน่ากลัว รังสีนั้นไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ และพุ่งตรงเข้าใส่จิตใจเขา ทำให้ร่างทั้งร่างพาลแข็งทื่อ พลังจากกระบวนยุทธ์ที่เขาเรียกมาไว้ในมือดับสลายลงไป
ที่ทางเข้าร้าน สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนหลับอยู่อ้าปากหาว ดวงตาเหลือบมองที่แม่ทัพใหญ่อย่างมีนัยยะ
เพียงมันปราดมองครั้งเดียว แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงก็เหงื่อแตกพล่าน เขาเกือบลืมไปเสียสนิทว่าที่หน้าร้านมีสุนัขลึกลับนอนอยู่
“เช่นนั้นก็ได้ ร้านของเจ้ามีฤทธิ์พอตัวเลยทีเดียว ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยชีวิตบุตรสาวข้าได้จริงในอีกสองวันต่อจากนี้ มิเช่นนั้นแล้วละก็… ต่อให้เราต้องตายตกไปตามกัน ข้าก็จะทำให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต” รังสีจากร่างกายแม่ทัพใหญ่สลายหายไป บรรยากาศหนักอึ้งที่ปกคลุมร้านอยู่สลายไปทันที ทั้งโอวหยางเสี่ยวอี้และปู้ฟางกลับมาหายใจทั่วท้องอีกครั้ง
บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวมลายหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่มันเกิดขึ้น แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงกลับไปยังที่นั่งของตนพร้อมเปิดผ้าคลุมเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งออก เขารินสุราลงจอก กลิ่นสุราหอมฟุ้งไปทั่วร้าน
“ขั้นปราณของผู้ก่อความไม่สงบแข็งแกร่งเกินไป ไม่สามารถจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชีได้…” ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวยังคงกะพริบวาบ ขณะรายงานสถานการณ์ให้ชายหนุ่มเจ้าของร้านรู้
ปู้ฟางตบพุงของเจ้าขาวด้วยสีหน้าเฉยเมยเป็นการปลอบใจ จากนั้นเจ้าหุ่นยนต์ก็กลับไปประจำที่ในห้องครัว
“เหตุใดเซียวเหมิงจึงหยุดโจมตีกัน” ปู้ฟางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ “หรือว่าเมื่อครู่ปราการด่านสุดท้ายที่ระบบบอกจะทำงาน ว่าแต่ไอ้ปราการด่านสุดท้ายที่ว่ามันคืออะไรกัน” ชายหนุ่มสงสัยขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรอีก เขากินอาหารและดื่มสุราจนหมด จ่ายเงินด้วยความอิ่มเอมแล้วจากไป
ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการนี้ช่างอู้ฟู่เสียจริง
ปู้ฟางมองแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงจากไป สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่หน้าร้านพ่นลมเยาะเย้ยก่อนกลับไปนอนอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ เสียแล้ว” ปู้ฟางสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย หากเขาทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงไม่สำเร็จ และช่วยชีวิตเซียวเยียนอวี่เอาไว้ไม่ได้ ชายวัยกลางคนเมื่อครู่ต้องจับเขาเชือดอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มเปิดร้านต่อไปด้วยความไม่สบายใจเต็มอก
เมื่อหมดเวลาทำการ เขาก็ปิดร้านแล้วพยายามทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงเป็นครั้งที่สอง
จากความพยายามครั้งแรก เขารู้แล้วว่าตนต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้เป็นตัวกลาง ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหาร จึงยังตอบไม่ได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่
สรุปแล้วงานนี้เขาต้องใช้ฝีมือพอตัว
……………………………..