ไอน้ำร้อนหนาแน่นลอยออกจากหม้อดิน นอกจากนี้ยังโอบล้อมเนื้อไก่สีขาวใสเหมือนวุ้นที่อยู่ภายในหม้ออีกด้วย น้ำแกงไก่นั้นเป็นสีเหลืองอำพันใสแจ๋ว ไม่มีสิ่งเจือปนแม้แต่น้อย มันไก่สะท้อนแสงไฟเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้อาหารทั้งจานดูราวกับบ่ออัญมณีส่องประกายสว่าง
ทั้งสี กลิ่น และรสชาติล้วนเป็นมาตรวัดที่ใช้ประเมินคุณภาพของอาหาร แม้น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงชามนี้จะถูกระบบวิจารณ์อย่างไม่มีชิ้นดี แต่ก็ยังจัดเป็นอาหารชั้นเลิศที่หายากยิ่ง หากตัดสินด้วยสามเกณฑ์ข้างต้น
เนื้อไก่ที่ดูราวกับวุ้นดูน่ากินเป็นพิเศษ จนปู้ฟางทนไม่ไหวที่จะได้เอาเข้าปาก
เขาหยิบชามกระเบื้องสีฟ้าขาวขนาดเล็กออกมา แล้วใช้ช้อนกระเบื้องตักน้ำแกงหอมเข้มข้นใส่ลงมาครึ่งชาม กลิ่นของน้ำแกงไก่สีเหลืองอำพันลอยล่องอยู่ที่ปลายจมูกปู้ฟาง ทำให้เขาเลียริมฝีปากตนเองด้วยความอยากกินโดยไม่รู้ตัว
น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงนั้นมีวิธีการกินเฉพาะตัว โดยต้องไม่เริ่มกินที่เนื้อไก่ แต่เริ่มจากการซดน้ำน้ำแกงหนึ่งช้อน เพื่อให้รสชาติกระจายทั่วทั้งปากและท้อง
เมื่อท้องอุ่นด้วยน้ำแกงแล้วจึงเริ่มกินเนื้อไก่ได้ วิธีนี้จะทำให้รับรู้รสชาติและความนุ่มนวลของเนื้อทุกคำได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อชายหนุ่มซดน้ำแกงสีเหลืองอำพันเข้าไปเต็มช้อน กลิ่นน้ำแกงหอมของมันก็ระเบิดอยู่ภายในปาก เข้าห่อหุ้มต่อมรับรสของเขาไว้ กลิ่นของไก่โลหิตปักษาเพลิง สะระแหน่ และสมุนไพรชนิดอื่นๆ ระเบิดออกมาในเวลาเดียวกัน
ปู้ฟางรู้สึกราวกับตนเองกำลังเดินท่องอยู่ในทุ่งสมุนไพรมากสรรพคุณบนเทือกเขา สมุนไพรเหล่านั้นไหวลู่ลม กลิ่นหอมของสมุนไพรโชยเข้าหาเขา ไก่โลหิตปักษาเพลิงสีแดงสวยกระพือปีกอยู่บนทุ่งสมุนไพรนั้น กำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข
“อร่อย!”
ปู้ฟางเอ่ยปากชมหลังจากซดน้ำแกงเข้าไปหนึ่งช้อน ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เนื้อไก่โลหิตปักษาเพลิงมาสักพักแล้ว
หนังไก่นุ่มหยุ่นด้วยวิธีการปรุงโดยใช้พลังปราณเที่ยงแท้ ชายหนุ่มฉีกน่องออกจากตัวไก่ ดึงเอาหนังจากส่วนอื่นติดมาด้วยเช่นกัน หนังไก่เปลี่ยนเป็นสีใสเล็กน้อยจากกระบวนการทำ
ถึงแม้เนื้อจะเป็นสีแดงเลือดแต่รสชาติไม่เหมือนเลือดแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับเนื้อไก่ธรรมดาแล้วมันมีรสชาตินุ่มกว่าจนกลืนได้ง่ายแทบไม่ต้องเคี้ยว
ปู้ฟางถือน่องไก่อยู่ในมืออย่างมีความสุข แล้วกัดกินด้วยความสุขใจ ไม่นานนักน่องทั้งน่องก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของชายหนุ่มเป็นมันย่อง
กระดูกของไก่โลหิตปักษาเพลิงเองก็เป็นสีเลือดเช่นกัน และมีกลิ่นที่แตกต่างจากเนื้อ
ปู้ฟางตักน้ำแกงอีกชาม ค่อยๆ ลิ้มรสอย่างช้าๆ ขณะนอนขดอยู่บนเก้าอี้ ความรู้สึกที่ได้กินจนอิ่มหนำนั้นยอดเยี่ยมเกินบรรยายจริงๆ
แม้เขาจะอยากกินไก่หมดทั้งตัวคนเดียวแต่ก็ทำไม่ได้ ไก่โลหิตปักษาเพลิงเป็นอสูรเวทที่มีพลังปราณอยู่ในตัวจำนวนมาก เมื่อเพิ่มสมุนไพรล้ำค่าและสะระแหน่สวรรค์เข้าไปอีก อาหารจานนี้จึงอัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
แม้ระบบจะช่วยลดผลกระทบที่จะตามมาแล้ว แต่ปู้ฟางก็กินได้เพียงเท่านี้ หากกินต่อไปอาจตัวระเบิดตายได้
กระนั้นหลังจากที่หยุดกิน ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าร่างทั้งร่างกำลังถูกเผาไหม้ ดวงตาถึงขั้นมีเปลวเพลงพุ่งออกมา
เขาหายใจหนักหน่วงพร้อมลุกขึ้นยืน เลือดไหลทะลักออกจากโพรงจมูก
อาหารจานนี้มีสารอาหารมากเกินไป… จนถึงขั้นทำให้เขาเลือดกำเดาไหล
สีหน้าของชายหนุ่มยังคงเรียบเฉย ตั้งใจว่าจะเอาอาหารที่เหลือใส่ในท้องเจ้าขาวเพื่อกำจัด แต่หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็หยิบไก่ที่เหลือไปให้เจ้าดำทั้งๆ ที่ยังบีบจมูกอยู่
“อะ เจ้าดำ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว” ปู้ฟางพูดเสียงอู้อี้ก่อนวางชามไก่ลงตรงหน้าสุนัข
เจ้าดำที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นโดยพลัน ดวงตาเป็นประกายสว่างวาบเหมือนฝนดาวตก
“บรู๋ววว~” มันหอนอย่างมีความสุขพลางคิด “เจ้ามนุษย์ ในที่สุดก็ฉลาดพอจะแสดงเคารพผู้อาวุโสแล้วสินะ!”
จากนั้นเจ้าดำก็กินไก่หมดอย่างตะกละตะกลาม
ปู้ฟางเดินกลับเข้าครัวไป เช็ดเลือดกำเดาออกจนหมด เขารู้สึกว่าร่างทั้งร่างพรั่งพรูด้วยพลังงานที่ไม่มีวันหมด จนไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบมีดสั่งทำพิเศษหนักอึ้งขึ้นมา แล้วนำหัวไชเท้าหลายพันหัวออกมาเริ่มหั่น
ชายหนุ่มไม่สามารถหยุดมือตนเองได้…
วันต่อมา ปู้ฟางยังคงมีพลังล้นเหลือแม้จะยืนหั่นหัวไชเท้าอยู่ทั้งคืน เขาเปิดร้านตามปกติ
เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนมาตามเวลา
“เถ้าแก่ปู้ เหตุใดวันนี้ข้าจึงรู้สึกถึงรังสีสังหารจากท่านกัน” เจ้าอ้วนจินจ้องปู้ฟางด้วยความงุนงง
ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองหน้าชายอ้วนอย่างไร้อารมณ์ แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากก่อนเอ่ยถาม “จริงรึ”
“สวรรค์ช่วย…” เจ้าอ้วนจินตัวสั่นไม่รู้ตัว ดวงตาจ้องไปที่ปู้ฟางอย่างตกใจพร้อมคิด “เมื่อกี้เถ้าแก่ปู้เลียปากมิใช่รึ เลียไปทำไมนะ”
หลังจากที่ปู้ฟางทำอาหารทุกจานที่เจ้าอ้วนจินสั่งเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าครัวไป จะไม่ให้เขามีรังสีสังหารได้อย่างไรเล่า หลังจากที่ยืนหั่นหัวไชเท้ามาทั้งคืนเช่นนั้น…
เด็กหญิงโอวหยางเสี่ยวอี้เดินสลับกระโดดมาที่ร้านอย่างเริงร่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่นางต้องทำงานใช้หนี้ จากนี้ก็จะได้เป็นไทในที่สุด
“แต่… เหตุใดข้าจึงรู้สึกละล้าละลังกันนะ” นางคิดพลางเอียงคอ
“เสี่ยวอี้ เอาอาหารออกไปให้ลูกค้าหน่อย”
เสียงปู้ฟางตะโกนเรียกทำให้โอวหยางเสี่ยวอี้ตื่นจากห้วงความคิด
“มาแล้ว” เด็กหญิงวิ่งไปที่หน้าต่างห้องครัวอย่างคุ้นเคย เดินถือชามอาหารกลิ่นหอมฉุยออกมา
ลูกค้าขาประจำมากินอาหารแล้วจากไปคนแล้วคนเล่า จนเวลาปิดใกล้เข้ามาในที่สุด
วันนี้จีเฉิงเสวี่ยก็มากินเช่นกัน ชายหนุ่มยังคงอ่อนโยนและสง่างามเหมือนเดิม เหตุการณ์ลอบสังหารไม่ได้มีผลอะไรต่อเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ไม่ได้มาสักพัก องค์ชายสามก็พบว่ามีอาหารรายการใหม่มากมาย จึงสั่งอาหารจานใหม่มาอย่างละจาน แล้วจากไปอย่างมีความสุขหลังกินเสร็จ
เลขาธิการใหญ่ซูเองก็มาเช่นกัน เขาชื่นชอบข้าวผัดไข่เป็นอันมากและสั่งอยู่รายการเดียวเท่านั้น
เซียวเยวี่ยเองก็แวะมาแล้วจากไปเช่นกัน เขาสั่งเพียงสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเท่านั้น และจองเอาไว้สำหรับพรุ่งนี้อีกเหยือกเหมือนเช่นทุกวัน
“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” โอวหยางเสี่ยวอี้รู้สึกล้าเล็กน้อย นางนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ หอบแฮก ตั้งแต่ร้านเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา จำนวนลูกค้าก็เพิ่มมากขึ้น ในหนึ่งวันต้องใช้พลังงานในการทำงานมากเช่นกัน กระนั้นเด็กหญิงก็ยังรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ทำ
“นายท่านตัวเหม็น ข้ากำลังจะบรรลุปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการแล้วนะ! ในที่สุดก็จะถึงเวลาของข้า ที่จะได้กินอาหารทุกรายการในร้านนี้ โดยเฉพาะน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา!” เด็กหญิงพูดกับปู้ฟางด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อ้อ ได้ ข้าจะรอแล้วกันนะ” ปู้ฟางที่นั่งพักเช่นกันตอบหน้าตาย
โอวหยางเสี่ยวอี้พูดเยอะเป็นพิเศษวันนี้ นางคุยจ้อกับชายหนุ่มไม่หยุด แต่ปู้ฟางกลับไร้อารมณ์เสียเหลือเกิน ชายหนุ่มทำเพียงพยักหน้าบางครั้งและตอบว่า “อ้อ” กลับไปบ้างเท่านั้น
“นายท่านตัวเหม็น พรุ่งนี้ท่านจะช่วยชีวิตพี่หญิงหยานยู่ได้จริงๆ ใช่ไหม ข้าเชื่อมั่นในตัวท่านนะ” โอวหยางเสี่ยวอี้หดหู่ขึ้นมาฉับพลัน
“ไม่ต้องกังวลไป เชื่อในตัวข้าก็พอ” ปู้ฟางชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ลูบศีรษะของเด็กหญิง และฝืนยิ้มบางออกมา
“นายท่านตัวเหม็นยิ้มน่าเกลียดเป็นบ้า!” เด็กหญิงกลอกตาใส่ชายหนุ่มอย่างรังเกียจ
สีหน้าของปู้ฟางแข็งทื่อไปทันที จากนั้นก็กลับไปเป็นเรียบเฉยอีกครั้ง
“นายท่านตัวเหม็นทำหน้าจริงจังแล้วหล่อกว่านะ” เด็กหญิงหัวเราะร่าพร้อมเดินกระโดดเด้งไปที่ทางเข้าร้าน
“พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก โปรดช่วยชีวิตพี่หญิงหยานยู่ด้วย ข้าเชื่อมั่นในตัวท่านนะ!”
ปู้ฟางมองร่างของเด็กน้อยกระโดดลับตาไป แววความอ่อนโยนฉายขึ้นบนใบหน้า เขาลูบผมตนเองที่มัดเอาไว้ด้วยเชือกขนสัตว์ หันหลังกลับแล้วเดินเข้าครัวไป
“ข้าจะทำพลาดได้อย่างไร ในเมื่อข้าหล่อถึงเพียงนี้” เขาพึมพำกับตนเองเสียงเรียบ
ในวันชี้ชะตาพรุ่งนี้ เขามั่นใจมากว่าตนเองจะไม่พลาด เนื่องจากมีประสบการณ์การทำน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงแล้ว
เขายังสงบจิตสงบใจอยู่ได้เพราะความมั่นใจนี้เอง
……………………………………