ด้านนอกกำแพงพระราชวัง หน้าปากทางเข้าอาคารสูงของราชสำนัก
มีคนจำนวนมากยืนเรียงแถวยาวอยู่นอกกำแพง คนเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงภายในนครหลวง มาพร้อมกับบริวารที่ยืนรออยู่ด้วยกันเพื่อเข้าไปยังประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ภายในพระราชวัง
นอกจากนี้ยังมีทหารในชุดเกราะมากมายนับไม่ถ้วนยืนเฝ้าทางเข้าพระราชวังอยู่ ทุกคนจะต้องถูกตรวจตราอย่างเข้มงวดก่อนจะเดินเข้าไปได้
ราชโองการจากจักรพรรดิที่ให้ประหารเชลยศึกจากสำนักวังวิญญาณทมิฬนั้นทำให้คนจำนวนมากหันมาจับจ้องความเป็นไปของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เกิดเป็นระลอกความโกลาหลภายในนครหลวง บรรดาขุนนางประจำราชสำนักก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีราชโองการนี้ออกมา ส่วนบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์จากสำนักน้อยใหญ่นอกอาณาจักรเองแน่นอนย่อมว่าเตรียมตัวรับมือไม่ทัน
เจ้าอ้วนจินและสหายมาถึงอย่างองอาจ ทว่าด้วยความที่พวกเขาไม่ได้มีตำแหน่งในราชสำนัก จึงไม่มีสิทธิ์เข้าทางประตูหลัง แต่ต้องมายืนเข้าแถวหน้าประตูเหมือนคนอื่นๆ แทน
ทว่าโชคก็เข้าข้างพวกเขา ทันทีที่มาถึง ทหารก็ปล่อยผู้ชมชุดแรกเข้าไป ด้วยเหตุนี้กลุ่มชายอ้วนจึงไหลตามฝูงชนเข้าไปยังประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ พร้อมด้วยขนมปังหอยนางรมในมือ
ราชสำนักสร้างประตูจัตุรัสมายาสวรรค์มาเป็นพิเศษ จัตุรัสนั้นใหญ่โตมโหฬารและกว้างขวาง เป็นที่จัดพิธีและงานสำคัญมากมาย เช่น งานบวงสรวงของราชสำนัก เป็นต้น
บรรยากาศภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ในวันนั้นเย็นเยือกจนชวนขนหัวลุก ตรงกลางมีลานประหารตั้งอยู่ รายล้อมไปด้วยทหารมากมายที่คอยยืนควบคุมสถานการณ์
บนลานประหารมีโต๊ะผู้พิพากษาทำจากไม้จันทน์และเก้าอี้สูงสองตัว เซียวเหมิงในชุดเกราะเต็มยศนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ชุดคลุมสีแดงโบกสะบัดตามแรงลมเหมือนทะเลโลหิตที่คลื่นซัดสาดปั่นป่วน
โอวหยางซงเหิงเองก็สวมชุดเกราะเช่นกัน ผมยาวมัดไว้ข้างหลังด้วยเชือกขนสัตว์สีดำ ปล่อยผมด้านหน้าสองปอยปลิวไสวตามสายลมล้อมกรอบหน้าผาก ดวงตาเคร่งขรึมจริงจัง สีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก
ทั้งสองดูเหมือนรูปปั้นที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้สูง ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงว่าเย็นเยือกเท่าใด ใบหน้าของทั้งสองก็เย็นชามิได้ต่างกัน
ทันใดนั้นโอวหยางซงเหิงก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หมู่เมฆค่อยๆ เคลื่อนคล้อยตามลมฤดูกาลที่พัดพา แต่มิได้เข้าบังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้าแผดเผาแต่อย่างใด
“ได้เวลาแล้ว นำนักโทษขึ้นมายังลานประหาร”
โอวหยางซงเหิงประกาศหน้าตายด้วยเสียงไร้ความรู้สึก เสียงของเขาดังกังวานอยู่ในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ ทำให้กลุ่มฝูงชนที่กำลังส่งเสียงจ้อกแจ้กเงียบลงทันที ทุกคนจ้องไปที่ลานประหารด้วยสายตาเครียดขึง
เสียงโซ่ตรวนดังกระทบกันลอยมาจากระยะไกล ทหารอารักขานำตัวเชลยศึกชายทั้งหกคนเดินออกมาอย่างช้าๆ ทั้งหกคนมีผมเผ้ารุงรังและอยู่ในชุดนักโทษ ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวนเย็นเยียบ
…
เจ้าอ้วนจินฉีกใบไผ่ออก ทันใดนั้นขนมปังหอยนางรมสีทองอร่ามก็เผยโฉมสู่สายตาชาวโลก กลิ่นหอมหวนเข้มข้นโชยออกจากขนมปังกระจายตัวไปทั่วบริเวณ ทำให้ผู้ชมรอบกายเขาดมจมูกฟุดฟิดในอากาศ
เจ้าอ้วนจินยิ้มเผล่ ขณะสูดดมกลิ่นอาหารหอมหวนด้วยใบหน้าเหมือนมึนเมา ไขมันบนใบหน้ากระเพื่อมเล็กน้อยด้วยความสุขใจ
“อาหารของเถ้าแก่ปู้นี่ดีที่สุดแล้ว กลิ่นช่างหอมหวานอะไรถึงเพียงนี้ รสชาติเองก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” เจ้าอ้วนจินคิดขณะอ้าปากเพื่อกัด
กรอบ! เสียงกัดดังกรอบดังไปทั่วบริเวณ ความกรอบของขนมปังทำให้ชายอ้วนถึงกับตาเบิกค้างด้วยความตกใจ หลังจากความกรอบก็ตามมาด้วยความอ่อนนุ่มชุ่มฉ่ำของหัวไชเท้าหันฝอยที่ไหลตามกันเข้ามาในปาก ทันใดนั้นรสชาติและกลิ่นที่อร่อยล้ำเกินบรรยายก็เข้ายึดครองทุกพื้นที่ในปากเขา ทะลักลามไปยังโพรงจมูก
“ให้ตายเถิด สวรรค์ช่วยข้าด้วย! นี่มันอร่อยเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนจินสุขใจจนตัวแทบลอยในอากาศขณะกัดลงไปอีกคำหนึ่ง คำที่สองอัดแน่นไปด้วยรสชาติของเนื้อ กลิ่นและรสชาติเลิศล้ำทวีความยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้น
เอื๊อก!
ชายอ้วนไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่าการกัดครั้งที่สองของตนนี้ จะทำให้กลิ่นขนมปังหอยนางรมกระจายออกไปไกล กลิ่นอาหารนั้นนุ่มนวลหอมหวนเหมือนผ้าไหมที่เข้าลูบไล้ใบหน้า ลมอ่อนของฤดูใบไม้ร่วงช่วยเร่งปฏิกิริยาของปรากฏการณ์นี้ขึ้นไปอีก
ชายอ้วนคนอื่นๆ ในกลุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาฉีกใบไผ่เพื่อกินขนมปังหอยนางรมที่ซื้อมาบ้าง ขณะที่ทุกคนกัดขนมปังกรอบกรุบกินนั้น เสียงกัดดังกรอบก็ดังสะท้อนก้องไปทั่วทุกมุมของประตูจัตุรัสมายาสวรรค์
กลิ่นหอมเข้มของขนมปังชิ้นเดียวอาจไม่มีฤทธิ์แรงพอ แต่กลิ่นของขนมปังหลายชิ้นที่โชยออกมาพร้อมกันนั้น กระจายไปทั่วลานเหมือนกระแสน้ำทะเลปั่นป่วน โดยมีลมฤดูใบไม้ร่วงเป็นตัวส่งเสริม
กลิ่นขนมปังหอยนางรมเปรียบเสมือนระเบิดของกลิ่นอาหารที่ระเบิดติดๆ กันหลายลูก ทั่วทั้งประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ตกอยู่ในความวุ่นวายทันที
“นี่มันบ้าอะไร! กลิ่นนี่… ใครเป็นคนเอายาพิษร้ายนี้มาปล่อยที่ลานประหารกัน!”
“หอมเหลือเกิน! หอมเกินไปแล้ว! กลิ่นอาหารมันเข้มข้นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
“พวกเจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่! นี่มันใช่ที่มายืนกินอาหารอร่อยหรือ ข้าขอบอกไว้เลยนะ… ถ้ามีเหลือก็แบ่งมาให้ข้าบ้างสักชิ้นนึงเถิด!”
…
ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ตกอยู่ในความโกลาหลทันที ทุกคนหันไปมองรอบๆ เพื่อตามหาต้นตอของกลิ่น พวกเขาต่างไม่เคยได้กลิ่นอะไรหอมหวานน่ากินเช่นนี้มาก่อน
ทหารอารักขาเพิ่มความเข้มงวดในการคุ้มกันทันที แต่เมื่อได้สูดกลิ่นเข้าไปด้วยตนเองแล้วก็อดไม่ได้เช่นกันที่จะกลืนน้ำลายด้วยความอยากอาหาร กลิ่นขนมปังหอยนางรมนี้ดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยมนตราที่แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง
กรอบ… เจ้าอ้วนจินกัดขนมปังหอยนางรมอีกครั้ง แล้วก็ต้องรู้สึกเหมือนเมามายอีกคราเมื่อกัดไปโดนหอยนางรมตัวอ้วน เขาอ้าปากพ่นลมหายใจออกมา แน่นอนว่ากลิ่นหอยนางรมก็ตามออกมาด้วย
“ไปให้พ้น! อย่ามากินต่อหน้าข้า…” เสียงที่ฟังดูหัวเสียดังขึ้นข้างๆ เจ้าอ้วนจิน เสียงเย็นนั้นดูเหมือนลอยสะท้อนออกมาจากโลกหลังความตาย
ชายอ้วนที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยสะดุ้งทันที เมื่อหันหน้าไปมองเขาก็เห็นชายคนหนึ่งที่หน้าตาค่อนข้างดูไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ ตน ชายผู้นั้นกำลังกลืนน้ำลายเอื๊อก จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าเป็นใครกัน ถึงมีหน้ามาบอกให้ข้าหยุดกิน ข้าจะกินแล้วมันจะทำไมกันเล่า มันหนักหัวเจ้ามากนักรึ” เจ้าอ้วนจินกัดขนมปังหอยนางรมอีกครั้งพร้อมพูดเย้ย
ชายหน้าตาอัปลักษณ์จ้องชายอ้วนข้างกายตนเขม็ง มือกำหมัดแน่นราวกับอยากฟาดใบหน้าหาเรื่องของเจ้าอ้วนจินเต็มเหนี่ยว
แต่เมื่อชายผู้นั้นนึกถึงแผนของสำนักที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เขาก็สะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตนเองลงไป ทำได้เพียงจ้องมองเจ้าอ้วนจินตาเขียวปั้ดแล้วพูดว่า “ไอ้อ้วนเอ๊ย รอก่อนเถิด!”
“พับผ่าสิ! ถึงกับต้องข่มขู่ข้าเลยรึ ข้าจะกินให้หมดต่อหน้าเจ้านี่ละ ถ้าแน่จริงเหมือนปากว่าก็ลองดูสิ!” เจ้าอ้วนจินพูดพร้อมยัดขนมปังหอยนางรมที่เหลือเข้าปากในคำเดียว จากนั้นก็หยิบขนมปังหอยนางรมชิ้นที่สองออกมาจากใบไผ่ แล้วโบกหราไปมาต่อหน้าชายข้างกายตน
ชายผู้นั้นสูดหายใจเข้าลึก เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนขึ้นบนหมัดที่กำแน่น
ในตอนนั้นเอง เชลยศึกทั้งหกคนก็คุกเข่าลงบนลานประหาร ศีรษะห้อยตกลง ข้างกายแต่ละคนมีเพชรฆาตร่างหนาที่มีผ้าสีแดงพันรอบศีรษะ ทุกคนดูดุดันเหมือนสัตว์ร้าย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังน่ากลัว ต่างมีพลังปราณอยู่ที่ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ
บรรยากาศในหมู่ผู้ชมกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง อุณหภูมิภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ดิ่งลงจนกลับมาเย็นเยือกเช่นเดิม รังสีสังหารระเบิดออกมาจากกลางลานประหาร
เซียวเหมิงเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์เจิดจ้าบนท้องนภา จากนั้นก็โบกมือ ฉับพลันเหรียญตราโลหะสีดำก็ลอยขึ้นจากโต๊ะผู้พิพากษา บนเหรียญนั้นสลักคำว่า “ตัดหัวประหารชีวิต”
แต่ตอนที่กำลังจะโยนเหรียญออกไปนั่นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แสนแปลกประหลาด แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงมองไปทางทิศหนึ่งท่ามกลางฝูงชนด้วยสีหน้างุนงง
“ไอ้อ้วนกวนประสาทนี่! โอ๊ย! ทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายคามือ!”
เสียงคำรามด้วยโทสะและความทุกข์ทนดังก้อง ตามมาด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ที่ระเบิดออกมาจากจุดนั้น
“หืม พลังปราณเที่ยงแท้สกัดวิญญาณจากสำนักวิญญาณรึ” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงพึมพำ ดวงตาหรี่ลงเป็นประกายวาบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
แรงระเบิดครั้งแรกนั้นตามมาด้วยแรงระเบิดต่อๆ มาในหมู่ผู้ชมภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ และไล่หลังมาด้วยเสียงตะโกนเย็นเยียบชวนเสียวสันหลัง
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้ในขณะนี้ทรงพลานุภาพมากจนน่ายำเกรง แต่ละกระแสพลังอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากสำนักน้อยใหญ่กำลังเดินหน้าเผด็จศึก!
ทว่าแม่ทัพทั้งสองบนลานประหารกลับงุนงงเล็กน้อย เนื่องจากช่วงเวลาที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลากหลายสำนักระเบิดพลังปราณออกมาดูแปลกๆ ชอบกล…
ตูม ตูม ตูม!
องครักษ์พยัคฆ์ร้ายแห่งตระกูลเซียวที่ยืนอยู่รอบลานประหารกระโจนเข้าใส่จุดกำเนิดกระแสพลังทีละจุด
ใบหน้าของเจ้าอ้วนจินซีดขาว ไขมันทั่วร่างเริ่มสั่นสะเทือน ขณะมองไปยังชายอัปลักษณ์ตรงหน้าที่จู่ๆ ก็ทรงพลังขึ้นมาเหมือนเทือกเขาสูงตระหง่าน
“ศิษย์พี่… ข้าไม่กวนประสาทท่านแล้ว… อยากกินรึ อะ ข้าให้…”
“กินรึ! ข้าจะกินน้องหญิงเจ้าให้เหี้ยนเลย ไอ้อ้วน!”
ชายหน้าตาอัปลักษณ์กำลังกลัดกลุ้มเป็นอันมาก ทันทีที่เขาระเบิดพลังปราณเที่ยงแท้ของตนออกมา ก็รู้แล้วว่าแผนการที่เตรียมมา… เละไม่เป็นท่าแล้ว!
แผนการที่วางมาอย่างแยบยลโดยผู้ฝึกตนหัวกะทิของสิบสำนักใหญ่ ถูกทำลายลงด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ทะลุฟ้าของ… ขนมปังหอยนางรม!
ไอ้ชั่วหน้าไหนกันนะที่มันเป็นคนทำขนมปังหอยนางรมนี้ขึ้นมา!
…………………………..