“เกิดอะไรขึ้นกัน! ทำไมถึงได้มีคนไม่ทำตามแผนที่วางไว้! หุนเชียนต้วน เจ้าสอนแผนให้ลูกน้องของตนเองประสาอะไร!”
ท่ามกลางฝูงชนในจัตุรัส สีหน้าของพ่อค้าในชุดคลุมลายปักที่กำลังยิ้มแป้นแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที เขาหันไปถามชายชราหลังโก่งข้างกายตนด้วยเสียงแหบห้าว
ใบหน้าของชายชราหลังโก่งบูดเบี้ยว เขายืดตัวขึ้นตรง คำพูดที่ออกจากปากเย็นเยียบ “เซียวเยวี่ย อย่าริอ่านใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า ข้าไม่ใช่ลูกน้องรองมือรองเท้าเจ้า…”
ใบหน้าของชายชรายังคงบิดเบี้ยวต่อไป ก่อนจะลอกคราบออกเหมือนสายน้ำไหล แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าซีดขาว ชายผู้นี้มีเบ้าตาลึกโหล ดวงตาดูราวกับมีเปลวไฟวิญญาณเต้นตุบๆ อยู่ภายใน
“ยอดเยี่ยมไปเลย! สำนักวิญญาณช่างไร้เทียมทานเสียจริง… หากแผนการของเราล้มเหลว คงเป็นความผิดใครไปไม่ได้นอกจากเจ้า” ร่างอ้วนของพ่อค้าผู้มั่งคั่งหดลงเรื่อยๆ เสื้อผ้าระเบิดออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งที่อยู่ภายใน
ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักน้ำแข็งที่อยู่ยั่งยืนมานับหมื่นปีหันไปมองหุนเชียนต้วนที่อยู่ข้างกาย เสียงกระบี่กังวานดังขึ้น พร้อมด้วยร่างของเซียวเยวี่ยที่ดีดขึ้นไปในอากาศ กระแสพลังปราณกระจายตามแรงอัด ชายหนุ่มพุ่งตรงไปที่ลานประหารทันที ทิ้งไอน้ำสีขาวไว้ตามทางที่ตนผ่าน
สีหน้าของหุนเชียนต้วนพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ก่อนพ่นลมเยาะอย่างเย็นชา เขาเขย่งเท้าแล้วกระโจนขึ้นไปในอากาศด้วยเช่นกัน ชุดคลุมสีดำเปิดออก พลังปราณเที่ยงแท้สกัดวิญญาณไหลบ่าสู่บรรยากาศภายนอก
ที่กลางลานประหาร แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงหรี่ตาลง เงยหน้าขึ้นมองร่างสองร่างที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตน เขาเอามือตบโต๊ะ ตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเหมือนสายฟ้าฟาดที่สะท้อนหายไปในระยะไกล
“ไอ้ชั่วสามานย์! เมื่อวานข้าฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ แต่อย่าคิดเลยว่าวันนี้เจ้าจะหนีเงื้อมมือของข้าไปได้อีก!”
ตูม!
รังสีพลังน่าสะพรึงกลัวของผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ขณะแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเปลี่ยนเป็นลำแสงที่พุ่งตรงเข้าหาผู้บุกรุกทั้งสอง
มุมปากของโอวหยางซงเหิงฉีกยิ้มกว้าง เท้ากระทืบลงบนพื้นแล้วกระโจนออกไปเช่นกัน เขาเหยียบลงบนลานประหาร อัดผู้ฝึกตนจากสำนักสองคนที่กำลังพุ่งเข้าใส่ลานประหารปลิวกระเด็นออกไปในฝ่ามือเดียว
“ในเมื่อข้า โอวหยางซงเหิงคนนี้ เป็นผู้ดูแลการประหารให้สำเร็จเสร็จสิ้น ใครหน้าไหนยังอาจหาญมาทำตัวโอหังอีก!”
กระแสพลังปราณทรงพลังยังคงปะทุไม่หยุดในหมู่ผู้ชม เหล่าองครักษ์พยัคฆ์ร้ายแห่งตระกูลเซียวประเดิมด้วยการพุ่งเข้าต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์จากสำนักนอกอาณาเขต เสียงการต่อสู้ดังไม่ขาดสายภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ เปลี่ยนลานประหารให้กลายเป็นลานสังหารหมู่ภายในพริบตา
…
ภายในส่วนลึกของพระราชวังหลวงสีทองเจิดจรัส ชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์รูปมังกร พร้อมด้วยขันทีผมสีขาวโพลนที่ยืนอยู่เคียงข้าง ศีรษะก้มต่ำมองพื้น
ชายชราผู้นั้นสวมมงกุฎสีม่วงประดับด้วยเพชรพลอยมีค่ามากมาย ผมของเขามัดขึ้นเป็นมวยสูง ทั้งยังสวมผ้าคาดศีรษะสีทองปักรูปมังกรสองตัวกำลังแย่งชิงไข่มุกกัน แม้เขาจะดูชราภาพมาก แต่พลังอำนาจแห่งความเป็นจักรพรรดิก็ยังคงอยู่
“เหตุการณ์ที่ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ดำเนินไปตามแผนการของเราหรือไม่” เสียงแผ่วเบาดังจากปากของจักรพรรดิชรา
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงและแม่ทัพโอวหยางเริ่มการประหารแล้ว ผู้ฝึกตนจากสำนักต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในนครหลวงหมดความอดทนและเดินหน้าเปิดศึกในที่สุด” มุมปากของขันทีผมขาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ขณะที่เขาโค้งคำนับลงเล็กน้อย แล้วพูดตอบด้วยเสียงสูง
“พวกนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดศึกที่ลานประหาร มิเช่นนั้นจะต้องเสียผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการไปถึงหกคน… ด้วยเหตุนี้แม้จะรู้ดีว่าเป็นกับดักที่ข้าวางเอาไว้ล่อ ก็ยังต้องกระโดดเข้ามาตะครุบเหยื่ออยู่ร่ำไป… แค่ก” จักรพรรดิยิ้มบาง ดวงตาลุ่มลึกอ่านยาก เขาไอออกมาเบาๆ
“ฝ่าบาทช่างทรงพระปรีชาสามารถเสียจริง สำนักเหล่านี้จะต้องถูกทำลายอย่างราบคาบแน่นอนพะย่ะค่ะ และจักรวรรดิวายุแผ่วของเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง” ขันทีลูบหลังจักรพรรดิอย่างเบามือพร้อมพูดเสียงอ่อน
จักรพรรดิโบกมือให้อีกฝ่ายถอยไป แล้วถอนหายใจเบา “ข้ารู้จักร่างกายตนเองดี ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรคงอยู่ไม่ถึงวันที่ทุกสำนักถูกทำลายลงราบคาบเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่ต้องลำบากสร้างกับดักนี้มาล่อแมลงหรอก… เสี่ยวฟู่ เจ้าจงไปช่วยพวกนั้นเถิด จากแหล่งข่าวของเรา ดูเหมือนว่าจะมีเพียงจิ้งจอกเฒ่าแห่งสำนักความลับแห่งสวรรค์เท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมด้วย ส่วนสำนักอื่นนั้นน่าจะนำผู้ฝึกตนมาเยอะพอตัวเลยทีเดียว ข้าเกรงว่าแม่ทัพเซียวจะรับมือทั้งหมดไม่ไหว”
ขันทีผมขาวก้าวออกมาหนึ่งก้าว โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วเอื้อนเอ่ย “น้อมรับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างโดดเดี่ยวขณะมองขันทีเดินจากไป เหลือเขาอยู่เพียงคนเดียวในพระราชวังมโหฬาร
“ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวฟู่ ครั้งนี้… น่าจะสำเร็จผล ต่อให้ทำลายพวกนั้นได้ไม่หมด ก็น่าจะตัดกำลังไปได้มากโขเลยทีเดียว… แค่ก แค่ก แค่ก”
…
ศึกใหญ่ที่ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์นั้นดุเดือดเลือดพล่านไม่น้อย จำนวนผู้ฝึกตนจากสำนักน้อยใหญ่ที่แทรกซึมเข้ามาในนครหลวงมากกว่าที่แม่ทัพใหญ่และคนอื่นๆ คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ทหารที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าถูกฆ่าตายไปมาก ขณะที่ผู้ฝึกตนจากนอกอาณาจักรหลั่งไหลเข้ามา
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเป็นยักษ์ที่ไม่อาจมีผู้ใดล้มได้ แม้ต้องเผชิญหน้ากับทั้งเซียวเยวี่ยที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธการ และหุนเชียนต้วนที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธการระดับสูงสุดก็ตาม เขาก็ยังสามารถสะกดทั้งสองเอาไว้ได้อยู่หมัด จนทั้งสองทำได้เพียงป้องกันตัวเองจากการโจมตีอันแสนเด็ดขาดเท่านั้น
โอวหยางซงเหิงต่อกรกับศัตรูมากมายขณะปกป้องลานประหารให้พ้นภัย เพื่อกันไม่ให้ใครขึ้นมาได้ ผู้ฝึกตนจากหลากหลายสำนักพากันกระโจนเข้าเปิดศึก ทหารประจำวังเองก็เข้าต่อสู้ด้วยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายเริ่มห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทั้งสองฝั่งมีกำลังเสริมมาไม่ขาดสาย การต่อสู้ทวีความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เลือดสดๆ สีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วกระเบื้องบนพื้นประตูจัตุรัสมายาสวรรค์
“ไอ้พวกสำนักมดปลวก ได้เวลาสูญพันธุ์แล้ว!”
ตอนที่ทุกคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือดนั่นเอง เสียงตะโกนก้องแหลมสูงด้วยโทสะก็ดังกังวานมาจากส่วนลึกของพระราชวัง ร่างที่มีผมสีขาวโพลนเหาะออกมา โบกแส้ฟาดม้าไปมาเล็กน้อย แล้วกระโจนเข้าร่วมตะลุมบอนด้วย
สีหน้าของเซียวเยวี่ยเปลี่ยนไปทันที เขาชะงักงัน “หัวหน้าขันทีเหลียนฟู่! หมอนี่ไม่ได้ต้องคอยปกป้องจักรพรรดิอยู่ตลอดเวลาหรอกรึ เหตุใดจึงเข้าร่วมต่อสู้ด้วยเสียได้!”
หุนเชียนต้วนเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน เขาลอบสบถอยู่คนเดียว พลังปราณของหัวหน้าขันทีเหลียนฟู่นั้นเทียบเท่าแม่ทัพใหญ่เซียงเหมิง หากทั้งสองคนร่วมมือกัน ต่อให้ฝั่งพวกเขามีผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการมากกว่านี้ ก็ไม่มีทางเอาชนะได้เลย
“ใช่จริงเสียด้วย นี่มันเป็นกับดักที่จีฉางเฟิ่งวางไว้! พวกเราถูกหลอกแล้ว! ทุกคน ถอยทัพ!”
…
“นายท่านตัวเหม็น ในเมื่อวันนี้ไม่มีลูกค้าแล้ว ข้าขอกลับบ้านเร็วได้หรือไม่” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามปู้ฟางที่กำลังนอนขดอยู่บนเก้าอี้แถวปากทางเข้า เด็กหญิงทำปากเบะ
วันนี้มีลูกค้าน้อยกว่าปกติจริงเสียด้วย หลังจากที่กองทัพคนอ้วนขาประจำจากไป ก็มีลูกค้าเข้ามาอีกเพียงคนสองคนเท่านั้น ลูกค้าประจำอย่างจีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ เองก็ไม่มาเช่นกัน
“ก็ได้ เจ้ากลับไปก่อนได้เลย” ชายหนุ่มเจ้าของร้านตอบหน้าตาย แสงแดดอุ่นของฤดูใบไม้ร่วงนั้นสบายตัวเป็นอันมากจนเขาเริ่มง่วงขึ้นมา
เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ได้ยินคำตอบของปู้ฟาง ดวงตาของนางก็เริ่มยิ้ม เด็กหญิงพยักหน้าด้วยท่าทางน่ารัก จากนั้นก็กระโจนออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูจัตุรัสมายาสวรรค์
พอได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าอ้วนจินและสหายเข้า นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายมาตั้งแต่เช้า เนื่องจากบิดาของนางเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบการประหารในวันนี้ หากสิ่งที่พวกนั้นพูดเป็นความจริง บิดาของนางต้องกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
เด็กหญิงถอนหายใจเล็กน้อยขณะกำลังจะก้าวออกจากร้านไปยังตรอกทางเข้า แต่ตอนที่ไปถึงทางเข้าร้าน นางก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณน่ากลัวที่ซัดเข้าใส่ร่าง
สีหน้าของโอวหยางเสี่ยวอี้เปลี่ยนไปทันที นางรีบหันหลังกลับไปยังทางที่ตนเองจากมาโดยไม่ต้องคิดอะไร
แต่ก่อนที่จะทันได้ก้าวครั้งที่สองนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกายนางเสียก่อน แขนทรงพลังหอบตัวนางขึ้นมายกค้างไว้กลางอากาศ
“หยุดนะ! เซียวเหมิง! มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าแม่นางน้อยของตระกูลโอวหยางให้ตายคามือ!”
เสียงแหบพร่าของเซียวเยวี่ยประกาศก้อง ร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล กลิ่นเลือดสดๆ โชยออกจากปาก ดวงตาแหลมคมดุร้ายเหมือนสุนัขป่าเดียวดาย ขณะมองกลับไปยังนักล่าที่ไล่ตามมา ซึ่งคือแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงและขันทีผมขาวเหลียนฟู่
หน้าอกของหุนเชียนต้วนยุบลงไปภายใน ใบหน้าซีดขาวปราศจากซึ่งสีใดๆ ทั้งปวง
“หลบเข้าไปในตรอกนั่นเสีย เห็นร้านนั้นหรือไม่ เข้าไปซ่อนตัวข้างใน” เซียวเยวี่ยหันไปพูดกับหุนเชียนต้วน ขณะกอดโอวหยางเสี่ยวอี้เอาไว้ในวงแขนข้างหนึ่ง
ใบหน้าน่ารักของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นสีแดงก่ำ นางดีดแขนสะบัดขาไปมา หอบตัวโยนด้วยความโกรธ ทั้งยังตะโกนก่นด่าอย่างเผ็ดร้อน “ไอ้เซียวเยวี่ย! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!”
เซียวเยวี่ยไม่มีเวลามาสนใจโอวหยางเสี่ยวอี้ในตอนนี้ ดวงตาเย็นเฉียบของเขาจับจ้องอยู่ที่เซียวเหมิงและเหลียนฟู่ ส่วนร่างก็หลีกหนีไปที่ทางเข้าร้านพร้อมด้วยหุนเชียนต้วน
ดวงตาของปู้ฟางเพิ่งปิดลงตอนที่ได้ยินเสียงก่นด่าอันไม่มีใครเหมือนของโอวหยางเสี่ยวอี้ ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นทันทีด้วยความงุนงง จากนั้นก็เห็นเซียวเยวี่ยที่บาดเจ็บไปทั้งตัวแบกโอวหยางเสี่ยวอี้เข้าร้านมา ทั้งยังมีชายที่ดูเหมือนผีตามเข้ามาด้วย
ปู้ฟางชะงักเล็กน้อย เกิดบ้าอะไรขึ้นกัน
เซียวเยวี่ยปล่อยโอวหยางเสี่ยวอี้ลงแล้วทรุดลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ไม่หยุด ชายหนุ่มหยิบโอสถออกมาจากกระเป๋าตรงอกเสื้อ แล้วกลืนเข้าไปทันทีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
หลังจากที่ปฐมพยาบาลตนเองเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หันมายิ้มให้ปู้ฟางด้วยใบหน้าซีดเซียว
“เถ้าแก่ปู้ มีคนมาก่อความไม่สงบในร้านของเจ้า… เจ้าจะเข้ามาห้ามทัพหรือไม่”
…………………………………