อากาศเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฤดูกาลเปลี่ยนผันจากฤดูใบไม้ร่วงไปเป็นฤดูหนาวภายในพริบตา ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนของนครหลวงเริ่มนำผ้าผืนหนามาห่อหุ้มกายเพื่อกันลมหนาว เมื่อเดินย่ำไปบนถนนหนาวเหน็บยามเช้า ควันขาวต่างลอยล่องออกจากปากของพวกเขายามหายใจออก
ปัง ปัง ปัง!
เสียงทุบประตูดังมาจากปากทางเข้า ปู้ฟางที่เพิ่งตื่นมาฝึกทักษะการใช้มีดฝนดาวตกในครัวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยิน “ใครมาเคาะประตูแต่เช้าเช่นนี้กัน” ชายหนุ่มคิด
ปู้ฟางวางมีดทำครัวในมือลง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปที่ปากทางเข้าเพื่อเปิดประตู ภาพของโอวหยางเสี่ยวอี้ในชุดเสื้อกันหนาวสีชมพูสะท้อนอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม ดวงตากลมโตมีชีวิตชีวากะพริบปริบขณะมองชายหนุ่มเจ้าของร้าน
“เสี่ยวอี้ เหตุใดวันนี้จึงมาแต่เช้า” ปู้ฟางถามด้วยน้ำเสียงงุนงงพลางคิด “ปกตินางมาถึงหลังจากที่กลุ่มเจ้าอ้วนจินกินเสร็จแล้วตลอดเลยมิใช่รึ”
เสี่ยวอี้หอบเล็กน้อยราวกับวิ่งมาตลอดทาง ใบหน้าเล็กน่ารักเป็นสีเรื่อ ปลายจมูกเองก็แดงเล็กน้อยจากอากาศหนาวเช่นกัน ซึ่งทำให้นางดูน่ารักมากยิ่งขึ้นไปอีก
“นายท่านตัวเหม็น วันนี้ท่านพี่องค์ชายจะจากนครหลวงไปแล้ว เราไปส่งเขากันเถอะ” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดอย่างมีความหวัง
ปู้ฟางเหม่อไปทันที สมองเขานึกย้อนกลับไป จำได้ว่าจีเฉิงเสวี่ยพูดว่าตนเองจะต้องจากนครหลวงไปในเร็วๆ นี้ เพื่อสู้รบกับสำนักน้อยใหญ่นอกอาณาจักร
ชายหนุ่มระลึกได้ว่าจีเฉิงเสวี่ยเองอุดหนุนกิจการของเขามาตลอด จึงคิดว่าอย่างน้อยตนเองก็ควรไปส่งอีกฝ่ายเพื่อแสดงความขอบคุณ ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงไม่ปฏิเสธคำชวนของเสี่ยวอี้และพยักหน้าตกลงแทน
“รอข้าสักครู่” ปู้ฟางพูดเรียบๆ ก่อนหันหลังกลับเข้าร้านไป ไม่นานนักก็เอาป้ายไม้ป้ายหนึ่งออกมา
ป้ายไม้นั้นเขียนไว้ว่า วันนี้ร้านหยุดทำการ
หลังจากที่แขวนป้ายเอาไว้หน้าร้านเรียบร้อย ปู้ฟางก็นั่งยองๆ ลงลูบขนนุ่มสลวยของเจ้าดำ ชายหนุ่มปิดทางเข้าร้านแล้วจากไปพร้อมโอวหยางเสี่ยวอี้
ปู้ฟางห่อร่างกายตนเองอย่างแน่นหนาด้วยเสื้อคลุมยาวทำจากขนแกะ พร้อมผ้าพันคอสีเทารอบคอเพื่อกันไม่ให้ลมหนาวพัดผ่านคอเสื้อเข้าไปได้
โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ได้คาดคิดว่าปู้ฟางจะตอบตกลงคำชวนของตน นางเพียงอยากลองมาถามดูเท่านั้น โดยคิดเอาไว้ว่าตนเองจะต้องโดนปฏิเสธอย่างแน่นอน… แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงข้ามกับที่คาดคิดเอาไว้เสียนี่
ทั้งสองเดินไปที่ทางเข้าตรอกด้วยกัน สองพี่น้องหน้าตาดีอย่างเซียวเสี่ยวหลงและเซียวเยียนอวี่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก เซียวเยียนอวี่ปิดบังใบหน้างดงามของตนเองด้วยผ้าคลุมจนมองไม่เห็น นางดูโดดเด่นเป็นสง่าเหมือนเทพธิดาจากสรวงสวรรค์
อาการบาดเจ็บของหญิงสาวใกล้หายดีแล้ว นางกลับมาเคลื่อนไหวร่างกายได้ปกติอีกครั้ง เมื่อเซียวเสี่ยวหลงเห็นปู้ฟางและโอวหยางเสี่ยวอี้ เขาก็เริ่มโบกมือเรียกทั้งสองจากระยะไกล
สองพี่น้องใส่เสื้อกันหนาวยาวทำจากขนสัตว์สีขาว ทำให้ดูสวยสง่ามากขึ้นไปอีก บวกกันหน้าตาท่าทางที่ดูงดงามไม่มีที่ติ ทั้งสองจึงทำให้บรรยากาศบนถนนแห่งนี้กลายเป็นภาพที่สวยงามขึ้นมาได้
“เถ้าแก่ปู้ ท่านยอมมาส่งองค์ชายสามกับพวกเราด้วยรึนี่!” เซียวเสี่ยวหลงมองปู้ฟางด้วยสายตาตื่นตาตื่นใจ สีหน้าดูเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้บอกว่านางอยากชวนปู้ฟางด้วย ชายหนุ่มคิดว่าปู้ฟางคงไม่ยอมมาด้วยอย่างแน่นอน เนื่องจากคนผู้นี้นั้นเย็นชาเสียยิ่งกว่าอะไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตบหน้าเซียวเสี่ยวหลงจนตื่นขึ้นมาดูโลกแห่งความเป็นจริงได้เสียนี่
“ทำไม มีอะไรประหลาดรึ” ปู้ฟางตอบเรียบๆ มองหน้าเซียวเสี่ยวหลงอย่างไร้ความรู้สึก
เซียวเสี่ยวหลงหัวเราะออกมาทันทีอย่างกระอักกระอ่วน และไม่พูดสิ่งใดอีก เซียวเยียนอวี่ที่ยืนอยู่ข้างน้องชายมองชายหนุ่มเจ้าของร้าน เวลาผ่านไปสักพัก นางจึงคำนับเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า…”
ปู้ฟางพยักหน้ารับ บรรยากาศแห่งความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสี่ทันที พวกเขาเดินออกจากตรอก มุ่งหน้าไปยังถนนสายหลักของนครหลวง
ลมหนาวยามเช้าตรู่นั้นเย็นเยือกชวนปวดกระดูก ปู้ฟางกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้นแล้วมองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ เขาแทบไม่เคยออกจากร้านเลย จึงไม่ค่อยรู้ว่านครหลวงนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แม้จะอยู่ที่นี่มานานกว่าสองเดือนแล้วก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางแม้แต่น้อย
ขณะท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางก็เริ่มมีร้านรวงรถเข็นเปิดขายของ เจ้าของร้านต่างขดตัวด้วยความหนาวเย็น ปากก็ร้องเรียกลูกค้าให้มาอุดหนุนตน ควันขาวลอยออกจากปาก
มีลูกจ้างหลายคนที่หาวหวอดด้วยความง่วงงุนขณะเปิดร้านตอนเช้าเช่นกัน หลังจากที่หลับพักผ่อนในยามกลางคืน นครหลวงแห่งนี้ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า
ปู้ฟางแสดงสีหน้าสนใจสิ่งรอบตัวอย่างชัดเจน ส่วนโอวหยางเสี่ยวอี้ก็แนะนำเมืองและตึกรามบ้านช่องต่างๆ ให้ชายหนุ่มฟัง
“นั่นร้านปักษาเพลิงนิรันดร์รึ ที่ว่ากันว่าเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในนครหลวงน่ะนะ” ปู้ฟางถามพร้อมชี้ไปที่ตึกสามชั้นตกแต่งอย่างสวยงามตรงหน้า
โอวหยางเสี่ยวอี้และคนอื่นๆ พลันมีสีหน้างุนงง แล้วพากันพยักหน้าตอบรับ
เด็กหญิงชี้นิ้วไปที่ป้าย “ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์” อันแสนหรูหราบนปากประตูทางเข้า จากนั้นก็พูดเสียงน่ารัก “นายท่านตัวเหม็น ชื่อร้านสามคำนั้นเป็นลายมือท่านปู่จักรพรรดินะ!”
ปู้ฟางมองไปตามมือที่ชี้ ตัวอักษรทั้งสามคำดูลึกซึ้งกินใจมาก ลายพู่กันของจักรพรรดิจัดว่าสวยงาม น่าเสียดายที่… ระบบไม่อนุญาตให้เขาตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นเขาคงตกลงรับป้ายชื่อร้านมาแล้ว
เนื่องจากตัวเขาเองก็อยากได้ป้ายร้านเอามาติดไว้เช่นกัน
“ภารกิจฉุกเฉิน: นายท่าน โปรดชิมอาหารทั้งสิบสามจานของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ ประเมินคุณภาพรสชาติและข้อด้อย และหาสามจุดที่อาหารจานนั้นทำได้ไม่ดีพอ จงทำภารกิจให้เสร็จภายในวันนี้”
(ผู้ที่อยากประสบความสำเร็จต้องกำจัดจุดด้อยของตนเองด้วยจุดแข็งเสมอ พ่อหนุ่ม จงใช้ลิ้นที่ละเอียดอ่อนของท่านในการจับผิดอาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เสีย)
รางวัลภารกิจ: ได้รับพลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มอีกร้อยละสิบ และสูตรอาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ฉบับปรับปรุงหนึ่งจาน
ขณะที่ปู้ฟางกำลังประเมินร้านปักษาเพลิงนิรันดร์อยู่นั้น เสียงจริงจังของระบบก็ดังขึ้นในศีรษะ ทำให้ชายหนุ่มยืนเหม่ออยู่กับที่
เขาคิด “ภารกิจฉุกเฉินรึ คราวนี้ให้ข้าใช้ลิ้นจับผิดเช่นนั้นหรือ”
“ได้… สมแล้วที่เป็นภารกิจที่ระบบสั่งให้ทำ แต่การปกปิดจุดอ่อนด้วยจุดแข็งก็ถือว่าเป็นหลักการที่ถูก”
แม้ปู้ฟางจะมีระบบคอยช่วยเหลือ แต่การใช้ชีวิตอย่างปลีกวิเวกอยู่หลังเขาไม่รับรู้โลกภายนอกนั้น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องดีต่อชายผู้ที่อยากเป็นพ่อครัวเทพเช่นกัน
แถมรางวัลที่ระบบจะมอบให้หากทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จยังน่าสนใจมากอีกด้วย พลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มร้อยละสิบและสูตรอาหารใหม่นั้นดึงดูดความสนใจชายหนุ่มได้ชะงัด…
หากเขาได้พลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มอีกร้อยละสิบ ย่อมบรรลุขั้นปราณไปเป็นระดับสี่ขั้นจิตยุทธการได้เร็วๆ นี้แน่ ระบบจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นและเขาก็จะได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
“นายท่านตัวเหม็น มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ เราต้องรีบแล้วนะ มิเช่นนั้นจะไม่ทันส่งท่านพี่องค์ชายกัน” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดพลางดึงชายเสื้อคลุมขนสัตว์ของปู้ฟาง
ชายหนุ่มเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้งแล้วพยักหน้ารับ เขาหันกลับไปมองร้านปักษาเพลิงนิรันดร์อีกรอบด้วยสายตามีความหมาย ก่อนเดินตามทั้งสามเข้าถนนใหญ่แห่งนครหลวงไป
ไม่นานนักทั้งสี่ก็มาถึงประตูเมือง สองข้างประตูมีทหารในชุดเกราะยืนเรียงแถวอยู่ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง สร้างบรรยากาศถมึงทึง
นอกกำแพงเมืองมีทหารยืนเรียงแถวเป็นระเบียบเช่นกัน ทั้งหมดเป็นทหารในกองกำลังขององค์ชายสาม ที่จะคอยปกป้องเขาระหว่างการทำภารกิจทางทหารกับบรรดาสำนักต่างๆ
วันนี้จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้สวมชุดคลุมสวยงาม แต่เป็นชุดเกราะและหมวกเหล็กสำหรับนักรบ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเคย แต่กลับเย็นชาและเคร่งขรึมจริงจัง
“ขอบคุณที่มาส่งข้านะเถ้าแก่ปู้ ช่างเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก” เมื่อจีเฉิงเสวี่ยเห็นว่าปู้ฟางยอมออกจากร้านมาส่งเขาด้วย องค์ชายหนุ่มก็รู้สึกประหลาดและอบอุ่นใจเล็กน้อย
“องค์ชายพะย่ะค่ะ อย่าลืมดูแลร่างกายของท่านระหว่างปฏิบัติภารกิจด้วย สุขภาพของท่านสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จำเอาไว้นะพะย่ะค่ะ ว่าท่านยังคงมีศักดิ์เป็นองค์ชายเสมอ!” เซียวเหมิงเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
การปฏิบัติภารกิจต่อกรกับสำนักนอกอาณาจักรนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และจัดเป็นภารกิจที่อันตรายเป็นอันมาก หากทำพลาดเพียงน้อยนิดอาจทำให้ทหารทั้งกองทัพพินาศย่อยยับได้เลยทีเดียว เนื่องจากสมาชิกสำนักนอกอาณาจักรล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ด้วยกันทั้งสิ้น แม้ทหารของจักรวรรดิจะจัดว่าแข็งแกร่ง แต่พญามังกรก็ไม่อาจพิชิตอสรพิษทั้งรังได้ แม้แต่จักรพรรดิฉางเฟิ่งเองยังไม่สามารถกำจัดสำนักให้สิ้นซากได้ทั้งหมด ถึงจะใช้เวลาหลายต่อหลายปีในการรบพุ่งกันก็ตามที
จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าพร้อมขึ้นขี่ม้ามีเขาสีน้ำตาลเข้ม แล้วคว้าแผงคอมันเอาไว้ เขามองไปที่พระราชวังอันแสนยิ่งใหญ่ ดวงตาไม่แสดงทั้งความสุขหรือความเศร้า
กองทัพที่เรียงแถวเป็นระเบียบค่อยๆ เคลื่อนขบวนออกจากนครหลวง มุ่งหน้าห่างไปเรื่อยๆ จนหายลับไปที่ขอบฟ้า…
ทันทีที่ร่างของจีเฉิงเสวี่ยลับสายตาไป โอวหยางเสี่ยวอี้ก็หันหลังกลับแล้วหันมาพูดกับปู้ฟาง “นายท่านตัวเหม็น ในเมื่อเราส่งองค์ชายเสร็จแล้วก็กลับไปเปิดร้านกันไหม”
เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงหันไปมองทั้งสองพร้อมกัน หากปู้ฟางจะกลับไปเปิดร้าน ทั้งสองก็จะตามไปด้วย การได้กินอาหารฝีมือปู้ฟางทุกวันถือเป็นความสุขของพวกเขาเช่นกัน
แต่ปู้ฟางกลับส่ายศีรษะแล้วมองไปทางร้านปักษาเพลิงนิรันดร์แทน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแข็งทื่อ
“วันนี้เราไปกินข้าวที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์กันเถิด ข้าอยากรู้ว่าร้านอาหารอันดับหนึ่งในนครหลวงขายอาหารรสชาติอย่างไร…”
………………….