“หา… นี่ท่านประกาศว่าจะมาก่อเรื่องด้วยท่าทางเหมือนกำลังทำสิ่งที่ถูกได้อย่างไรกัน นิสัยเช่นนี้ช่างสมกับที่เป็นเถ้าแก่ปู้เสียจริง”
เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ งงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าปู้ฟางจะมาจับผิดร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ไปเพื่ออะไร
“เถ้าแก่ปู้… ท่านมีความแค้นกับร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนั้นหรือ” เสียงชวนฟังของเซียวเยียนอวี่ถามขึ้นเบาๆ ไม่ใช่แค่เซียวเสี่ยวหลงเท่านั้นที่ไม่เข้าใจเจตนาของปู้ฟาง แม้แต่คนฉลาดอย่างเซียวเยียนอวี่เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ปู้ฟางหันไปมองเซียวเยียนอวี่ ดวงตาประสานเข้ากับดวงตาสว่างสดใสของนาง “ต้องมีเหตุผลด้วยรึ ที่ข้าจับผิดก็เพราะข้าอยากทำ”
“ก็ได้… จะตอบเช่นนี้ก็ไม่แปลก ก็เหมาะกับนิสัยเถ้าแก่ปู้ดี” แม่นางคิด
ทุกคนหยุดพูดคุยกันแล้วนั่งรอให้อาหารมาวางที่โต๊ะอย่างเงียบๆ ชั้นหนึ่งของร้านเสียงดังมากและมีกลิ่นมากมายลอยผสมกันอยู่ในอากาศ กลิ่นสุราราคาถูกผสมกับกลิ่นอาหารหลายชนิด เปลี่ยนจากกลิ่นที่ควรหอมกลายเป็นเหม็นชวนคลื่นไส้ทันที
แม้แต่ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงเองยังแสดงอาการดูถูกออกมาให้เห็น ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์อาจเป็นร้านอันดับหนึ่งในนครหลวง แต่ความสะอาดที่ชั้นหนึ่งนั้นจัดได้ว่าย่ำแย่ เหตุผลหลักก็คือจำนวนลูกค้าที่เข้ามากินอาหารที่ชั้นนี้มีมากเกินไป จนทำให้ทำความสะอาดไม่ทัน
“อาหารมาแล้วขอรับ!” เสียงบริกรที่มีผ้าเช็ดมือสีขาวพาดบ่าอยู่ดังขึ้น ในมือถืออาหารค่อยๆ เดินเข้ามายังโต๊ะของปู้ฟาง
“ท่านลูกค้า นี่ลูกชิ้นตุ๋นตำรับจีนที่สั่งขอรับ!” บริกรยิ้มขณะวางจานลูกชิ้นตุ๋นลงบนโต๊ะของทั้งสี่
สีของลูกชิ้นตุ๋นตำรับจีนในซอสสีแดงนั้นดูสวยงามน่ากิน กลิ่นหอมลอยออกมาพร้อมไอน้ำโชยขึ้นและจางหายไปในอากาศ
“ลูกชิ้นตุ๋นนี่ดูน่ากินใช้ได้!” เซียวเสี่ยวหลงพยักหน้าแล้วมองไปที่จานอาหารบนโต๊ะ
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะกับโต๊ะเบาๆ เพื่อให้ตรงเป็นระเบียบ ก่อนคีบลูกชิ้นในซอสสีแดงขึ้นมาหนึ่งลูก
ปู้ฟางเองก็หยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นกัน เขาคีบลูกชิ้นขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วใส่ลงในชามของตนเอง จากนั้นก็ใช้ตะเกียบจิ้มลูกชิ้นดูเพื่อวัดระดับความแข็ง แล้วยกขึ้นมาใกล้จมูกเพื่อดมกลิ่น
โอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเยียนอวี่ต่างกินลูกชิ้นกันคนละลูกเช่นกัน รสชาตินั้นอร่อยใช้ได้ เนื่องจากเป็นอาหารจานที่ดีติดอันดับสิบของชั้นหนึ่งในร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ แม้รสชาติจะเทียบไม่ได้กับอาหารของปู้ฟาง แต่ก็จัดว่าอร่อยถ้าเทียบกับอาหารธรรมดาทั่วไป
ใบหน้าน่ารักของโอวหยางเสี่ยวอี้แดงเป็นสีเรื่อขณะกินลูกชิ้นหมดภายในไม่กี่คำ สีหน้าดูพึงพอใจ
เซียวเสี่ยวหลงเองก็ดูดริมฝีปากจากนั้นก็ดื่มน้ำตามเข้าไป เขาคีบลูกชิ้นขึ้นมากินอีกลูก ทั้งจานมีอยู่ห้าลูก เขากินเข้าไปสอง
“เถ้าแก่ปู้ ลองกินดูสิ รสชาติลูกชิ้นนี่จัดว่าใช้ได้เลยทีเดียว ดูเหมือนพ่อครัวแม่ครัวร้านปักษาเพลิงนิรันดร์จะมีความสามารถอยู่เหมือนกัน” เซียวเสี่ยวหลงพูดกับปู้ฟางขณะเคี้ยวลูกชิ้นเต็มปาก
ปู้ฟางไม่พูดอะไร เพียงกัดเข้าไปคำเล็กๆ เท่านั้น ทันทีที่ซอสไหลเข้าปาก รสสัมผัสประหลาดก็สำแดงออกมา ชายหนุ่มเคี้ยวอยู่สองสามครั้ง กลืนลูกชิ้นลงไป แล้วก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่กินต่อ
ปฏิกิริยาของปู้ฟางทำให้คนทั้งสามที่ร่วมโต๊ะกับเขาหันมามองด้วยสายตาประหลาด
“ซอสของลูกชิ้นตุ๋นเค็มเกินไป เห็นได้ชัดว่าใส่เกลือเกินพอดี ยิ่งไปกว่านั้นน้ำตาลในซอสยังละลายไม่หมด จึงมีรสสัมผัสหยาบประหลาด อาหารรายการลูกชิ้นตุ๋นตำรับจีนนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าลูกชิ้นสี่สุข ทำมาจากการนำเนื้อไร้ไขมันร้อยละเจ็ดสิบมานวดรวมกับเนื้อที่อุดมด้วยไขมันร้อยละสามสิบปั้นให้เป็นก้อน เนื้อส่วนที่ไร้ไขมันนั้นต้องนำมาบดให้ละเอียดด้วยมือ ส่วนเนื้อส่วนที่มีไขมันจะต้องไม่มันเกินไป การที่ชิ้นเนื้อของลูกชิ้นนั้นติดกันแน่น แปลว่าเนื้อส่วนไร้ไขมันยังบดไม่ละเอียดพอ ตรงกันข้ามกับเนื้อส่วนที่มีไขมันซึ่งมันมากเกินไป จนส่งผลต่อรสชาติของลูกชิ้น จานนี้ข้าให้ศูนย์คะแนน”
ปู้ฟางผ่อนลมหายใจออกเบาๆ แล้วพูดเสียงเรียบ เซียวเสี่ยวหลงและอีกสองคนที่เหลือมองเขาอย่างจนด้วยคำพูด ชายหนุ่มบรรยายความด้อยค่าของลูกชิ้นตุ๋นตำรับจีนเสียยืดยาวจนฟังดูเหมือนเศษขยะในจานอาหารเลยทีเดียว
เซียวเสี่ยวหลงตกใจมากเสียจนทำตะเกียบร่วงจากมือตกลงไปบนโต๊ะ หลังจากที่ฟังการประเมินของปู้ฟาง ลูกชิ้นที่เคยอร่อยก็ไม่อร่อยอีกต่อไป เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าลูกชิ้นตรงหน้ามีข้อผิดพลาดเยอะถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้เขายังพออยากอาหารอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความอยากอาหารนั้นได้มลายหายไปสิ้นแล้ว ชายหนุ่มถุยลูกชิ้นที่เคี้ยวไปครึ่งเดียวกลับลงชามของตน
“เถ้าแก่ปู้… มาที่นี่เพื่อก่อเรื่องจริงๆ เสียด้วย อาหารที่ชั้นหนึ่งของร้านถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียไม่เหลือชิ้นดีถึงเพียงนี้ แต่ด้วยทักษะการทำอาหารของเถ้าแก่ สิ่งที่เขาพูดย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มคิด
อาหารจานที่สองซึ่งคือปลานึ่งถูกนำมาวางที่โต๊ะเรียบร้อย กลิ่นหอมสดชื่นโชยออกจากปลาพร้อมด้วยไอน้ำอุ่น
หน้าตาของปลานึ่งดูสวยงามครบถ้วน บนตัวปลามีการบั้งเอาไว้สองสามรอย เนื้อปลาเองก็สุกจากการนึ่งจนทำให้รอยบั้งเปิดออก เผยให้เห็นเนื้ออ่อนนุ่มภายใน น้ำแกงปลาสีอ่อนล้อมรอบปลานึ่งอยู่บนจาน
คราวนี้ไม่มีใครหยิบตะเกียบขึ้นมาสักคน ทุกคนจ้องไปที่ปู้ฟาง รอให้เขาให้คะแนนอาหารก่อนค่อยกิน
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหยิบตะเกียบของตนเองขึ้นมา เขาใช้ตะเกียบจิ้มไปที่เหงือกปลาก่อนเป็นอันดับแรก รู้สึกได้ถึงแรงต้านเล็กน้อยที่ผลักตะเกียบออกมา ทำให้เขาพยักหน้าขณะคิด “ดูเหมือนว่าคนที่ทำอาหารจานนี้จะควบคุมความร้อนได้ดีทีเดียว”
เขาจุ่มปลายตะเกียบลงไปในน้ำแกงปลาแล้วเอาขึ้นมาใส่ปาก น้ำแกงมีรสคาวปลาเล็กน้อย แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที
“ถุย!” ปู้ฟางหันหน้าออกจากโต๊ะแล้วถุยน้ำลายออกมาเบาๆ จากนั้นก็ดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่เพื่อล้างความคาวออกจากปาก
“แม้แต่เรื่องพื้นฐานอย่างการกำจัดคาวปลายังทำได้ไม่ดี ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากินหรอก แค่ชิมน้ำแกงดูก็รู้ว่าเนื้อปลาคงมีรสคาวเช่นกัน” สีหน้าของชายหนุ่มบอกบุญไม่รับ น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อยขณะประเมินคุณภาพอาหารตรงหน้า
เซียวเสี่ยวหลงและอีกสองคนที่เหลือต้องประหลาดใจอีกครั้ง เถ้าแก่ปู้ให้คะแนนอาหารจานนี้เป็นศูนย์ตั้งแต่ยังไม่ได้ชิมเนื้อปลาด้วยซ้ำ… แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้เชื่อทันที เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อปลาเข้าปาก
รสชาตินั้นจัดว่าอร่อยใช้ได้ ความคาวของปลาที่ปู้ฟางบอกแน่นอนว่ามีอยู่ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงเพียงนั้น อยู่ในระดับที่รู้สึกได้แต่ก็รับได้เช่นกัน
“การทำอาหารนั้นต้องทำตามกระบวนการที่ถูกต้องอย่างเข้มงวด หากมองข้ามสิ่งใดไปหรือทำอะไรพลาดไปเพียงเล็กน้อย ความผิดพลาดนั้นย่อมแสดงออกมาในรสชาติของอาหาร! รสคาวปลาไม่ควรมีตั้งแต่แรก อาหารจานปลารายการใดที่มีรสคาวของปลา ถือว่าสอบตก” ปู้ฟางวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร้ความปราณี
สหายร่วมโต๊ะทั้งสามพยักหน้าแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดทั้งหมด ไม่นานนักพนักงานก็นำอาหารจานอื่นมาวางเพิ่มเติม แต่เมื่อเห็นสภาพอาหารบนโต๊ะที่แทบไม่มีใครแตะ เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย
บางจานนั้นแทบไม่ถูกแตะเลย ส่วนบางจานก็มีร่องรอยการกินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยรวมแล้วดูเหมือนว่าชิมเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่ได้กินเพิ่มอีก
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์มาก่อน อาหารที่พ่อครัวแม่ครัวร้านนี้ทำมักทำให้ทุกคนยอมสยบเสมอ!
หลังจากที่บริกรนำอาหารจานสุดท้ายของโต๊ะปู้ฟางออกมา เขาก็เดินไปบอกพี่หญิงใหญ่ชุนว่าเกิดเหตุไม่ชอบมาพากลขึ้นที่โต๊ะนั้น ตัวนางเองก็ประหลาดใจเช่นกัน สีหน้าของนางดูเคลือบแคลงขณะนำอาหารจานสุดท้ายไปวางบนโต๊ะของปู้ฟาง
เมื่อพี่หญิงใหญ่ชุนเดินมาถึงโต๊ะ ก็เห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่แทบไม่มีใครแตะ รูม่านตาของนางหดแคบลงเล็กน้อยขณะเอ่ยถาม “ตายแล้ว นายน้อยเซียวเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงไม่กินอะไรเลยเล่าเจ้าคะ รสชาติไม่ถูกปากเช่นนั้นหรือ”
ตอนนี้ปู้ฟางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก การที่เขาไม่ได้กินอาหารอร่อยถูกปากทำให้หน้าตาบูดบึ้งมากขึ้นไปอีก
เซียวเสี่ยวหลงชี้ไปที่ปู้ฟางอย่างจนปัญญา “นายน้อยปู้ท่านนี้บอกว่าอาหารของร้านเจ้า… รสชาติแย่จนกินไม่ได้”
“อะไรกัน นายน้อยเซียวพูดเล่นใช่หรือไม่เจ้าคะ ทุกคนในนครหลวงรู้ดีว่าอาหารของร้านเรายอดเยี่ยมที่สุด แม้ว่านี่จะเป็นเพียงชั้นหนึ่งของร้าน แต่คุณภาพและรสชาติก็เทียบได้กับอาหารจานเด็ดของร้านอาหารใหญ่เจ้าอื่นเลยทีเดียว!” พี่หญิงใหญ่ชุนพูดพร้อมโบกมือรัวๆ
นางหันไปมองปู้ฟาง สีหน้าบอกบุญไม่รับ
ปู้ฟางไม่สนใจนางและใช้ตะเกียบคีบอาหารจานสุดท้ายขึ้นมา
หลังจากที่กินเข้าไปเพียงคำเดียวชายหนุ่มก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ เขาส่ายหน้าแล้วพูดเสียงเรียบ “สำหรับหน่อไม้ผัดกุ้งจานนี้ หน่อไม้ที่เลือกใช้แก่เกินไป บางชิ้นก็ขมเกินและเหนียวจนเคี้ยวยาก นอกจากนี้กุ้งแต่ละตัวยังคุณภาพไม่เสมอกัน บางตัวตอนที่เอามาทำอาหารนั้นยังไม่ตายแต่บางตัวก็ตายแล้ว รสชาติจึงต่างกันจนเกินไป ข้าให้ศูนย์คะแนน”
เมื่อได้ยินคำประเมินของปู้ฟาง พี่หญิงใหญ่ชุนก็มีสีหน้าเหมือนตกอยู่ในภวังค์ นางหงุดหงิดมากเสียจนหน้าอกเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงพลางคิดว่า “ไอ้หน้าผีดิบตายซากนี่มันมาหาเรื่องพวกเราจริงๆ เสียด้วย! กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าอาหารจานพิเศษของชั้นหนึ่งรสชาติเลวเกวไร้ค่า! หมอนี่มันเป็นใครถึงกล้ามาวิจารณ์พวกเราเช่นนี้!”
พี่หญิงใหญ่ชุนนวดหน้าอกใหญ่เบิ้มของตนเอง ดวงตามองไปที่ปู้ฟางอย่างเย็นชาพร้อมเอ่ย “ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นพ่อครัวเหมือนกันใช่หรือไม่ ในเมื่อเป็นพ่อครัวเหมือนกันก็ควรจะเข้าใจสิ… คิดว่าตนเองเป็นใครกันถึงมาวิจารณ์อาหารของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนี้!”
……………………..