พี่หญิงใหญ่ชุนโกรธมาก สหายของเซียวเสี่ยวหลงคนนี้มาเพื่อหาเรื่องร้านนางโดยแท้ แม้อาหารที่ชั้นหนึ่งจะไม่ได้ทำโดยพ่อครัวที่เก่งที่สุดในร้าน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คุณภาพและรสชาติจะห่วยแตกขนาดที่หมอนี่บรรยายไว้
ขณะเดียวกัน เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ ต่างมองพี่หญิงใหญ่ชุนด้วยสีหน้าประหลาด พวกเขาคิดในใจ “ปู้ฟางเนี่ยนะไม่มีคุณสมบัติพอจะวิจารณ์อาหารของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ อยากหัวเราะให้ฟันหัก แม้แต่ท่านจักรพรรดิเองยังชื่นชอบรสชาติอาหารของเขาเป็นอันมาก แล้วร้านปักษาเพลิงนิรันดร์มีสิทธิ์อะไรมาจองหองถึงเพียงนี้”
คำพูดของพี่หญิงใหญ่เรียกได้ว่าจองหองไม่น้อย แต่นางก็มีคุณสมบัติพอให้เย่อหยิ่ง พี่หญิงใหญ่ชุนมั่นใจในความสามารถของพ่อครัวแม่ครัวร้านปักษาเพลิงนิรันดร์มาก ไม่มีร้านอาหารใดในอาณาจักรที่ยอดเยี่ยมกว่าร้านนี้อีกแล้ว พ่อครัวแม่ครัวที่จ้างมาก็จัดได้ว่าเก่งที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่ว
สายตาเย้ยหยันของทั้งสามทำให้พี่หญิงใหญ่ชุนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ใบหน้าสวยสดของนางแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง พร้อมเอ่ยถาม “ข้าพูดผิดรึ”
ทั้งสามไม่ได้พูดอะไร เพียงหัวเราะเล็กน้อยและส่ายหน้าเบาๆ เช่นนั้น ส่วนปู้ฟางเองก็จ้องนางอย่างไร้อารมณ์
สายตาของเขาดูเหมือนกำลังมองตัวตลกไม่มีผิด
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ปรายตามองไปที่พี่หญิงใหญ่ชุนแล้ววางเหรียญทองลงบนโต๊ะ “พาข้าขึ้นไปที่ชั้นสองด้วย อาหารทุกจานที่กินที่ชั้นแรก… ข้าให้ศูนย์คะแนน”
“เจ้า…” พี่หญิงใหญ่ชุนหัวเสียเป็นอันมาก “เหตุใดหมอนี่จึงผยองถึงเพียงนี้! คิดว่าตนเองเป็นใครกัน ถึงมาวิจารณ์อาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนี้!”
เมื่อเซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ เห็นว่าปู้ฟางกำลังจะขึ้นไปชั้นสอง ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน
เซียวเสี่ยวหลงยิ้มแล้วขยับเข้าไปใกล้พี่หญิงใหญ่ชุน “พี่หญิงใหญ่ชุน อย่าโกรธไปเลย สหายข้าคนนี้นิสัยเป็นเช่นนี้ละ พาพวกเราไปชั้นสองเถิด อาหารที่ชั้นสองนั้นเทียบกับชั้นหนึ่งไม่ได้เลยมิใช่หรือ เมื่อเจอจานที่ถูกใจเขาก็ย่อมยอมจำนนเองนั่นละ”
“ก็ได้! ข้าอยากรู้นักว่าพ่อหัวสูงนี่จะยังด่ากราดเช่นนี้อยู่ไหมพอขึ้นไปชั้นบน!” พี่หญิงใหญ่ชุนพ่นลมเยาะเบาๆ จากนั้นก็หันหลังเดินส่ายสะโพกนำไป
เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ ยิ้มอย่างสนุกสนาน ก่อนเดินตามนางไปเช่นกัน
ชั้นสองของร้านนั้นแคบกว่าชั้นหนึ่งพอตัว เมื่อปู้ฟางและคนอื่นๆ ขึ้นมาถึง ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปทันที
ชั้นสองเงียบสงบและน่านั่งเป็นอันมากเมื่อเทียบกับชั้นแรกที่แสนแออัด การตบแต่งเองก็สวยงามประณีตเช่นกัน ทางร้านวางสมุนไพรเอาไว้มากมายเพื่อทำให้อากาศหอมสดชื่นเสมอ มีลูกค้านั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
พี่หญิงใหญ่ชุนเดินส่ายสะโพกพาทั้งสี่ไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ สีหน้าของนางบอกบุญไม่รับขณะพูดกับปู้ฟาง “ดูรายการอาหารเอาแล้วกัน บอกมาว่าอยากกินอะไร!”
ปู้ฟางรับรายการอาหารมาดู มีอาหารให้เลือกประมาณยี่สิบรายการ ทุกจานราคาแพงหูฉี่ แม้จะเทียบไม่ได้กับราคาอาหารของร้านเขา แต่ก็แพงจนคนธรรมดาจ่ายไม่ไหว
ชายหนุ่มมองรายการอาหารปราดเดียวแล้ววางกลับลงบนโต๊ะ พร้อมพูดเสียงเรียบ “เอามาทุกจานที่คิดว่าดีที่สุดของชั้นสอง”
“หือ” รูม่านตาของพี่หญิงใหญ่ชุนหดแคบขณะมองไปที่ชายหนุ่มอย่างเย็นชา นางคิด “ฟังดูจากน้ำเสียง ไอ้หมอนี่ยังคิดจะจับผิดอาหารร้านเราอีกรึ นี่มันชั้นสองของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เชียวนะ ยังจะกล้าหาเรื่องอีก”
“ย่อมได้! จงยอมสยบแทบเท้าอาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เสีย!” พี่หญิงใหญ่ชุนพ่นลมเยาะอย่างโกรธแค้น ก่อนจะหันหลังจากไปเพื่อเตรียมอาหาร
หลังจากที่นางจากไป เซียวเสี่ยวหลงก็หันไปถามปู้ฟางเบาๆ “เถ้าแก่ปู้… วันนี้เตรียมตัวมาวิจารณ์อาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์จริงๆ รึ
“ท่านคิดว่าตนเองทำถูกแล้วหรือ ญาติดีกันไว้ย่อมดีกว่านะ”
ปู้ฟางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันไปมองชายหนุ่ม จากนั้นก็พูดเสียงเรียบ “พวกเขาควรจะซาบซึ้งใจที่ข้าอุตส่าห์บอกข้อผิดให้ต่างหาก”
โอวหยางเสี่ยวอี้ระเบิดหัวเราะออกมาทันที หน้าตาจริงจังของเถ้าแก่ปู้ขณะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาดูตลกมากสำหรับนาง
เซียวเยียนอวี่เองก็ปิดปากหัวเราะเช่นกันจนใบหน้าเป็นสีแดงเรื่อดูงดงาม
ส่วนตัวเจ้าของคำพูดกลับมีสีหน้างุนงง เขาเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น การประเมินของเขาชี้ให้เห็นว่าอาหารจานตรงหน้าทำพลาดอย่างไรบ้าง หากนำไปปรับปรุงรสชาติย่อมดีขึ้นอย่างน้อยหนึ่งระดับแน่นอน
ผ่านไปสักพัก กลิ่นอาหารก็ลอยมาเข้าจมูก
พี่หญิงใหญ่ชุนเดินส่ายสะโพกทอดน่องเข้ามาใกล้พร้อมจานอาหารในมือ นางวางจานปูม้าจานใหญ่กลิ่นหอมฉุยลงบนโต๊ะ ปูม้าเหล่านั้นผ่าครึ่งวางตั้งตรงเด่นหราอยู่บนจาน ดูสวยงามน่ากินมาจากระยะไกล
“นี่เป็นอาหารจานดังของชั้นสองร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ ผัดปูม้า” นางจ้องปู้ฟางด้วยสายตาท้าทายขณะวางอาหารลงบนโต๊ะ
เซียวเสี่ยวหลงรู้สึกควบคุมตนเองไม่ได้เล็กน้อยขณะสูดกลิ่นปูม้าเข้าปอด ก่อนหน้านี้ตอนที่เขามากินที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ เขาจะสั่งจานนี้อมากินตลอด
ชายหนุ่มหยิบปูม้าหนึ่งซีกมาใส่ชาม แกะเปลือกออกแล้วเริ่มกินทันที
ปู้ฟางเองก็หยิบปูม้ามาซีกหนึ่งด้วยเช่นกัน สีของปูม้าดูสวยเหมือนควบคุมความร้อนอย่างดี เปลือกสีแดงและกลิ่นหอมฟุ้งหลังจากที่นำไปผัดในกระทะทำให้ดูน่ากินพอตัว
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาหนึ่งข้าง เอาไปสะกิดกระดองปูให้เปิดออก กลิ่นหอมของเนื้อปูฟุ้งกระจายใส่หน้า เนื้อปูสีขาวนุ่มยังคงอุ่นอยู่เล็กน้อย เมื่อวางตัดกับกระดองสีแดงจึงทำให้ดูสวยน่ากิน
ปู้ฟางไม่ได้กินเนื้อปูเข้าไปทันที แต่ใช้ตะเกียบช้อนมันปูขึ้นมาจากกระดอง มันปูเป็นสีเหลืองอำพันดูน่ากินเป็นอันมาก แม้กลิ่นหอมจะไม่แรงนักแต่มันก็ถือเป็นหัวใจหลักของการกินปู
“หืม” หลังจากที่ชิมมันปูในกระดองเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร เขากัดเนื้อปูนุ่มหอม สีหน้ายังคงตายด้าน
หลังจากที่ชิมทั้งมันปูและเนื้อปูเสร็จ ชายหนุ่มก็วางปูม้าลงและไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
“เป็นอะไรไป หาที่ติไม่ได้รึ อาหารที่ชั้นแรกเตรียมไว้ให้คนทั่วไปกิน แน่นอนว่าต้องมีข้อบกพร่องอยู่แล้ว แต่ที่ชั้นนี้อาหารทุกจานเตรียมไว้สำหรับผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเป็นเหล่าผู้มีชื่อเสียงของนครหลวง เจ้ายังจะหาที่ติได้อีกหรือไม่”
เมื่อพี่หญิงใหญ่ชุนเห็นว่าปู้ฟางไม่ได้พูดอะไร นางก็เริ่มเย้ยหยันเขาทันที
เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ ชะงักและจ้องปู้ฟางด้วยสายตางุนงง พวกเขารู้จักนิสัยของชายหนุ่มดี และรู้ดีว่าชายตรงหน้าย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะทับถมคนอื่นแน่นอน
ปู้ฟางปรายตาไปมองพี่หญิงใหญ่ชุนที่กำลังได้อกได้ใจ จากนั้นก็เม้มปากก่อนพูดเสียงเรียบ “ไม่ใช่ว่าข้าอึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร แต่ข้ารู้สึกหมดคำพูดต่างหาก นี่มันอาหารจานเด็ดของชั้นสองร้านปักษาเพลิงนิรันดร์จริงๆ รึ
“ยังไม่ต้องพูดถึงกระบวนการปรุงปูม้า แค่การเลือกปูม้าที่จะนำมาใช้ก็ผิดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดของปูม้าผัดคือวิธีการเลือกปูม้า เนื้อของปูม้าที่เลือกมาอ่อนนุ่มไม่พอแถมยังจืดเหมือนน้ำเปล่า แค่มองดูข้าก็รู้แล้วว่าปูนี้เพาะขึ้นมาสำหรับเป็นอาหารไม่ได้โตตามธรรมชาติ สัมผัสของเนื้อปูดูว่างเปล่าแถมรสชาติก็แย่กว่าปูม้าที่โตตามธรรมชาติมากโข ยิ่งไปกว่านั้นวิธีการผัดก็ผิดไปหมด การควบคุมความร้อนทำได้ไม่ดี ผลที่ออกมาคือมันปูกลิ่นจืดจางและมีรสชาติจืดชืดจากการทำให้สุกจนเกินไป โดยรวมแล้วข้าให้ศูนย์คะแนน”
ไม่ใช่ว่าปู้ฟางอึ้งกับความอร่อยจนพูดไม่ถูก แต่มันแย่จนขี้เกียจพูดต่างหาก ตอนที่เขาได้กลิ่นอาหารจานนี้เป็นครั้งแรกนั้น เขาคิดว่ามันน่าจะพอกินได้ แต่เมื่อชิมแล้วความคาดหวังก็ตกฮวบดิ่งลงเหว จะเรียกว่าร่วงหล่นจากท้องฟ้าตกสู่นรกขุมที่ลึกที่สุดก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด
พี่หญิงใหญ่ชุนชะงักไปทันที เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ เองก็เช่นกัน แปลว่า… อาหารจานนี้มีข้อผิดพลาดมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ! พวกเขาบอกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
“ฮึ! คนไม่รู้จริงก็พูดมั่วไปได้! ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมันถูกต้องหรือไม่!” พี่หญิงใหญ่ชุนเริ่มตอกกลับ
ปู้ฟางมองนางด้วยสายตาไม่ใส่ใจก่อนหันไปทางอื่น “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า รีบเอาอาหารจานอื่นมาเร็ว ข้าเริ่มหมดความอดทนกับคุณภาพอาหารร้านเจ้าแล้ว”
จริงตามที่ปู้ฟางพูด ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่เชื่อชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขามากินข้าวที่ร้านนี้เพื่อทำภารกิจจากระบบเท่านั้น ไม่ได้มาเป็นอาจารย์สอนพี่หญิงใหญ่ชุนเสียหน่อย
“พี่หญิงใหญ่ชุน เกิดอะไรขึ้นรึ ดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนะ”
ในตอนที่หน้าอกของพี่หญิงใหญ่ชุนกำลังกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโมโหนั่นเอง ร่างผอมก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาแล้วพูดกับนาง
เมื่อพี่หญิงใหญ่ชุนเห็นว่าใครเดินมา ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้น “เถ้าแก่เฉียน มานี่เร็วเข้า ลูกค้าคนนี้บอกว่าอาหารร้านเราปรุงได้ไม่ดีพอ!”
……………………..