คำถามของปู้ฟางห่างไกลจากสิ่งที่ถังอิ่นคิดไว้มาก เนื่องจากคำถามนั้นไม่ได้ตรงตามตรรกะที่ควรจะเป็นแม้แต่น้อย
หมูวิญญาณเพลิงอัสนีเป็นอสูรเวทระดับหก ซึ่งจัดว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วในวงแหวนชั้นนอกของดินแดนป่ารกชัฏ แน่นอนว่ามันย่อมเป็นวัตถุดิบที่คุณภาพเยี่ยมที่สุดในบริเวณนี้ด้วย หากต้องการหาวัตถุดิบที่ดีกว่าหมูวิญญาณเพลิงอัสนี พวกเขาต้องเข้าไปในวงแหวนชั้นกลางของดินแดนป่ารกชัฏ
วงแหวนชั้นกลางของดินแดนป่ารกชัฏจัดเป็นสถานที่อันตรายสำหรับพวกเขา ถังอิ่นมีปราณอยู่ในระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ ส่วนลู่เซียวเซียวอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ หากทั้งสองเข้าไปในวงแหวนชั้นกลางด้วยปราณระดับนี้ ก็มีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะมีชีวิตรอดกลับออกมาได้
เหตุผลก็คืออสูรเวทที่อ่อนแอที่สุดในบริเวณวงแหวนชั้นกลางมีปราณอยู่ที่ระดับหก ส่วนอสูรเวทระดับเจ็ดและแปดก็เจอได้ทั่วไป
เมื่อปู้ฟางเห็นสีหน้าประหลาดของถังอิ่น เขาก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มในชุดเขียวตรงหน้ารู้ว่าจะไปหาวัตถุดิบที่คุณภาพดีกว่านี้ได้ที่ไหน
“หากเจ้าบอกข้าว่าจะไปหาวัตถุดิบคุณภาพดีกว่านี้ได้ที่ไหน หรือว่านำทางข้าไปได้ ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินโดยไม่คิดเงิน” ปู้ฟางพูดอย่างจริงใจ
ถังอิ่นยิ้มเยาะออกมา ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ปู้ฟางพูดมากนัก หากถังอิ่นไม่ได้ตื่นเต้นเรื่องความสามารถในการล้มหมูวิญญาณเพลิงอัสนีได้ในดาบเดียวของอีกฝ่าย เขาคงพาลู่เซียวเซียวจากไปนานแล้ว การนำปู้ฟางเข้าไปยังวงแหวนชั้นกลางของดินแดนป่ารกชัฏเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ชายหนุ่มไม่เชื่อสักนิดว่าอาหารที่ปู้ฟางบอกว่าจะทำให้กินจะอร่อยคุ้มค่ากับการเอาชีวิตตนเองไปทิ้ง
ตอนที่ถังอิ่นกำลังลังเลอยู่นั่นเอง ลู่เซียวเซียวก็หันไปมองศิษย์พี่ของตนแล้วเอ่ยขึ้นมา “พี่สอง หุบเขาปักษาเพลิงพ่ายมีอสูรเวทอยู่มิใช่รึ ท่านอาจารย์บอกให้พวกเราลองไปที่นั่นดูหากมีความสามารถพอ แต่ไม่ก็ให้นำหมูวิญญาณเพลิงอัสนีกลับมาแทน อสูรเวทตัวนั้นน่าจะเป็นวัตถุดิบที่ดีกว่าหมูนี่ใช่ไหม”
ดวงตาของลู่เซียวเซียวเป็นเส้นโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มน่ารักของนางถูกขนาบข้างด้วยลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง
ถังอิ่นนิ่วหน้า ดวงตาหันไปมองศิษย์น้องหญิง ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าลู่เซียวเซียวจะพูดถึงอสูรเวทที่หุบเขาปักษาเพลิงพ่ายขึ้นมาตอนนี้
“หือ มีอสูรเวทที่ดีกว่าหมูวิญญาณเพลิงอัสนีนี่ด้วยหรือ ได้ พาข้าไปดูหน่อย” ปู้ฟางพูดหน้าตาย
ถังอิ่นดูเหมือนอยากจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่ทันทีที่คำพูดนั้นกำลังจะหลุดออกจากปาก ลู่เซียวเซียวก็เข้ามาเกาะแขนเขาไว้แล้วลากให้เดินไปข้างหน้า
“พี่สอง ความสามารถของศิษย์พี่ท่านนี้จะช่วยให้เรากำจัดอสูรเวทตัวนั้นได้! พอไม่มีมันมาเกะกะขวางทางแล้ว เราก็จะเข้าไปเก็บสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงในหุบเขาได้อย่างไรเล่า! นั่นก็แปลว่าเราจะทำภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบหมายได้สำเร็จ!” ลู่เซียวเซียวกระซิบบอกถังอิ่น
“แต่นั่นแปลว่าเรากำลังหลอกใช้ศิษย์พี่ไม่ใช่รึ เราทำเช่นนั้นไม่ได้นะ… เราต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมา” ถังอิ่นพูดพร้อมขมวดคิ้ว ขณะมองศิษย์น้องหญิงแสนเจ้าเล่ห์ของตนด้วยสายตาไม่พอใจ
“พี่สอง ถ้าเราบอกไปแล้วศิษย์พี่ไม่ยอมไปเล่า ถึงอย่างไรเขาก็กำลังมองหาอสูรเวทที่ระดับสูงกว่าอยู่แล้ว แล้วอสูรเวทตัวนั้นก็ระดับสูงกว่าไอ้หมูนี่อย่างแน่นอน!” ลู่เซียวเซียวพูดพร้อมลากแขนถังอิ่นไปข้างหน้าด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
ถังอิ่นลังเลอยู่สักพัก ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกำลังต่อสู้กันภายใน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วเอ่ย “เมื่อถึงเวลาจริง เราต้องช่วยกันระดมกำลังกับศิษย์พี่กำจัดอสูรเวทตัวนั้นน่ะ”
“แน่นอน! มันแน่อยู่แล้ว!” เมื่อถังอิ่นตอบตกลงเรียบร้อย ลู่เซียวเซียวก็ยิ้มดีใจจนแก้มสองข้างบุ๋มอีกครั้ง
แน่นอนว่าปู้ฟางที่เดินตามทั้งสองพร้อมถุงสัมภาระในมือไม่ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว
ถังอิ่นเก็บซากหมูวิญญาณเพลิงอัสนีไปเรียบร้อยแล้ว เขาคงมีอุปกรณ์ปราณคลังเก็บอยู่กับตัว เนื่องจากสามารถเก็บซากหมูไปได้ทันทีเพียงแค่โบกมือ
“ศิษย์พี่ อสูรเวทที่ข้าบอกอาศัยอยู่ในหุบเขาปักษาเพลิงพ่าย จากที่นี่ไปหุบเขานั้นไกลพอตัว เราต้องเดินทางกันทั้งคืนเพื่อไปถึงให้เร็วขึ้น” ถังอิ่นเอ่ย
ปู้ฟางพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ “ได้ แค่ไปถึงก่อนพรุ่งนี้บ่ายก็พอ”
ระบบให้เวลาปู้ฟางสองวันในการเก็บวัตถุดิบ เมื่อฟังจากที่ถังอิ่นพูดแล้ว เขาก็ไม่ได้กระวนกระวายแต่อย่างใด
ทั้งสามเดินทางเข้าบริเวณป่ารก ป่านี้กินพื้นที่กว้างใหญ่ภายในดินแดนป่ารกชัฏ นานๆ ทีทั้งสามจะเจออสูรเวทระดับสามและระดับสี่ประปราย และถังอิ่นก็เป็นคนสังหารหมดทุกตัว ไม่จำเป็นต้องให้ปู้ฟางเข้าช่วยเหลือ
พวกเขาเดินต่อไปอีกสักพัก จนออกจากบริเวณป่ารกเข้าสู่บริเวณป่าหินในที่สุด บริเวณนี้เป็นพื้นกรวดรกร้างกว้างใหญ่
“พอข้ามป่าหินไปแล้วก็จะถึงหุบเขาปักษาเพลิงพ่าย… ศิษย์พี่ เรามาพักค้างคืนที่นี่กันก่อนดีไหม” ถังอิ่นถามปู้ฟางด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซียวเซียวเองก็รีบพูดเช่นกัน “ใช่แล้ว ศิษย์พี่! มาพักกันก่อนเถิด! ข้าเหนื่อยเหลือเกิน!”
“ดินแดนป่ารกชัฏนั้นอันตรายมากตอนกลางคืน ถึงศิษย์พี่จะแข็งแกร่งมาก แต่เราก็ยังควรพักค้างแรมที่นี่ก่อนเพื่อความปลอดภัย แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกันต่อดีหรือไม่”
ปู้ฟางมองท้องฟ้าที่มิดลง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “พักค้างคืนก่อนก็ดีเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าจะทำอาหารให้พวกเจ้ากินหากพวกเจ้านำทางข้า เช่นนั้นก็ช่วยเอาเนื้อตรงกระดูกสันหลังของหมูวิญญาณเพลิงอัสนีมาให้หน่อยก็แล้วกัน”
ทั้งสามเจอจุดที่ดูเงียบสงบพักพิงได้ที่ข้างหลังหินก้อนใหญ่
ปู้ฟางเดินเข้าป่าไป ก่อนกลับออกมาพร้อมกิ่งไม้แห้งในมือ เขาหันไปหาถังอิ่นแล้วถาม “เจ้ารู้วิธีก่อไฟไหม”
ถังอิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคิด “อย่า… อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่จะทำอาหารให้เราจริงๆ” เขายังคงคิดว่าปู้ฟางล้อเล่นอยู่ ไม่ได้คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะทำอาหารให้พวกเขากินจริงๆ
ลู่เซียวเซียวเองก็ประหลาดใจเช่นกัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกังขาแทน “ศิษย์พี่คนนี้… เป็นพ่อครัวจริงๆ น่ะรึ ไม่ได้เป็นพ่อครัวสามวันดีสี่วันเลิกเหมือนท่านอาจารย์ของเราใช่ไหมนะ”
“เจ้า ก่อไฟที แล้วก็เอาเนื้อส่วนกระดูกสันหลังของหมูนั่นมาให้ข้าหน่อย ข้าต้องเตรียมวัตถุดิบ” ปู้ฟางพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ถังอิ่นรีบหยิบเนื้อส่วนกระดูกสันหลังของหมูวิญญาณเพลิงอัสนีออกมาจากอุปกรณ์ปราณคลังเก็บแล้วส่งให้ปู้ฟาง
ปู้ฟางหยิบเนื้อตรงสันหลังนั้นมา จากนั้นก็หยิบหินมาก้อนหนึ่ง แล้วใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำความสะอาดพื้นผิว หลังจากที่หินสะอาดหมดจดเรียบร้อย เขาก็เอาน้ำเต้าที่ใส่น้ำจากบ่อน้ำพุเอาไว้เต็มออกมาเพื่อล้างเนื้อหมู ชายหนุ่มล้างเนื้อเพื่อเอาเลือดที่ติดกรังอยู่ออก แล้วปล่อยให้พลังปราณจากน้ำซึมเข้าเนื้อ
หลังจากที่ปู้ฟางใช้พลังปราณเที่ยงแท้ทำให้น้ำระเหยออกจากเนื้อเรียบร้อย เขาก็โบกมือเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมา มีดทำครัวสีดำสนิทหมุนวนอยู่สองสามรอบบนฝ่ามือ ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้มีดหั่นเนื้อออกเป็นสามชิ้นใหญ่
ลู่เซียวเซียวจ้องปู้ฟางด้วยความอึ้ง ทักษะการใช้มีดที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจยังคงฉายซ้ำไปมาในศีรษะ นางงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอตัว ศิษย์พี่คนนี้เป็นพ่อครัวจริงๆ น่ะรึ
ถังอิ่นที่อยู่ใกล้ๆ กันก่อกองไฟเสร็จเรียบร้อย การให้ผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการมาก่อกองไฟเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ค้อนทุบถั่วให้แตกเลยสักนิด
ปู้ฟางหยิบกิ่งไม้ออกมาสองสามกิ่งแล้วเหลาปลายให้แหลม กลิ่นประหลาดลอยออกจากเนื้อไม้ที่ถูกเหลา
หลังจากใช้ไม้เสียบเนื้อเสร็จ ปู้ฟางก็สร้างที่วางบนกองไฟที่ถังอิ่นจุดรอไว้ เขาวางเนื้อเสียบไม้ลงบนที่วางเพื่อค่อยๆ ย่างมันอย่างช้าๆ
เนื้อเสียบกิ่งไม้สามชิ้นถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบลงบนเตาเฉพาะกิจ และกำลังถูกย่างให้ค่อยๆ สุก
“ศิษย์พี่… ท่านดูมีทักษะเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเป็นพ่อครัวจริงๆ” ถังอิ่นพูดอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี แปลว่าปู้ฟางตั้งใจจะทำอาหารให้พวกเขามาตั้งแต่แรกเลยหรือ
ชายหนุ่มหันไปมองถังอิ่น “ก็ข้าเป็นพ่อครัว”
พอพูดจบเขาก็หยิบขวดเครื่องปรุงรสออกมา มีทั้งเกลือ พริกไทย ผงขมิ้น และอื่นๆ อีกมากมาย
ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวมองขวดเหล่านั้นอย่างพูดไม่ออก ต่างคนต่างคิดว่า “สรุปเป็นพ่อครัวจริงๆ สินะ”
“สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ของเรา… การมาที่ดินแดนป่ารกชัฏก็ไม่ต่างอะไรกับการมาเดินเล่นในสวนสำหรับท่านเลยล่ะสิ ถึงกับเอาเครื่องปรุงมาเตรียมอาหารด้วย” ลู่เซียวเซียวหัวเราะแห้งๆ
ปู้ฟางตอบ “ถ้าไม่ถูกห้ามเอาไว้ข้าคงเอาอุปกรณ์ทำครัวอื่นๆ มาด้วยแล้ว จากนั้นข้าก็จะสามารถทำอาหารที่อร่อยกว่านี้ได้ พวกเจ้านี่ช่างโชคร้ายจริงๆ”
ลู่เซียวเซียวและถังอิ่นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจนด้วยคำพูด
พอไม่มีใครพูดอะไรไปอีกพักใหญ่ บรรยากาศรอบตัวก็เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงไม้แตกปะทุในกองเพลิงเท่านั้น
ท่ามกลางความเงียบนี้เอง กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ก็เริ่มตลบอบอวลไปในอากาศ
…………………..
Related