ตอนที่ 6 ฝีมือปักผ้าระดับอาจารย์
“ได้สิ ในเมื่อเธออาศัยอยู่คนเดียวมันก็ดีมากเลยที่จะเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้าน ฉันบอกเธอมาก่อนแล้วแต่
เธอก็ไม่เต็มใจและหาว่ามันสกปรก” คุณแม่จี้พบว่าหลังจากสะใภ้สามกินยาฆ่าแมลงไปในครั้งนี้ ในที่สุดเธอก็
เข้าใจและยอมรับมันได้เสียที
นี่เป็นลูกสะใภ้ที่นางเลือกมาด้วยตัวเอง ตราบใดที่เธอยินดีที่จะเรียนรู้และดูแลลูกชายของนางอย่างเอาใจใส่ เรื่องต่างๆ ที่ซูตานหงก่อไว้เมื่อก่อนหน้านี้คุณแม่จี้จะไม่ถือสา
ตอนที่คุณแม่จี้เดินกลับไปนั้น นางมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าพร้อมกับถือจานเกี๊ยวอยู่ในมือ
คุณพ่อจี้เห็นแล้วก็รู้สึกแปลกใจ เขาเลยถามขึ้นมา “คุณไม่ได้ไปทะเลาะกับบ้านสามมาหรอกเหรอ?”
ตอนที่ภรรยาของเขาเดินกลับมาก่อนหน้านี้ นางกำลังโกรธมากเพราะเดินไปกลับจากบ้านสามมา
หลายรอบแล้วและยังไม่เห็นสะใภ้สามกลับมาเสียที เขาจึงคิดว่าเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภรรยาตนอารมณ์ดีกลับมาและยังถือจานเกี๊ยวกลับมาอีกด้วย
“ตานหงไม่ได้ไปเที่ยวเล่นอะไร หล่อนแค่เห็นว่าครั้งนี้เจี้ยนอวิ๋นไม่มีเสื้อผ้าจะใส่เลยไปซื้อผ้าในเมืองจะ
เอามาตัดชุดใหม่ให้เจี้ยนอวิ๋นสองตัว แถมยังซื้อไหมพรมจะเอามาถักเสื้อไหมพรมให้เจี้ยนอวิ๋นด้วย บอกว่าใช้
เวลาเรียนถักไหมพรมกับพี่สาวเจ้าของร้านอยู่นานเลยกลับมาช้า” คุณแม่จี้เล่าด้วยรอยยิ้ม
คุณพ่อจี้พยักหน้าขณะรับฟัง
“ตานหงให้ฉันเอานี่กลับมาด้วยล่ะ ฉันบอกว่าไม่เอาหล่อนก็ยืนยันจะให้มา” คุณแม่จี้พูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเย็นนี้กินเกี๊ยวอีกอย่างแล้วกัน” คุณพ่อจี้เอ่ย
“เดี๋ยวฉันจะเอาขนมเปี๊ยะไปให้หล่อนก่อน” คุณแม่จี้บอก
นางเอาเกี๊ยวใส่จานของตัวเองก่อนหยิบขนมเปี๊ยะใส่แทนและนำกลับไปให้ซูตานหง ในตอนที่กลับมา คุณแม่จี้ก็ถือซุปไข่ใส่สาหร่ายชามใหญ่มาด้วย
คุณแม่จี้เป็นคนมีความสามารถมาก ใช้เวลาไม่นานก็นำลูกสุนัขเพิ่งหย่านมหน้าตาน่ารักที่เลี้ยงเชื่อง
มากมาให้เธอหนึ่งตัว
หลังขอบคุณคุณแม่จี้แล้ว ซูตานหงจึงหาอะไรมาให้มันกิน และเจ้าลูกหมาสีดำก็ได้นอนสบายอยู่
ในบ้าน
เมื่อนำผ้าออกมาแล้ว ซูตานหงจึงเริ่มตัดเสื้อผ้า เธอรู้ขนาดตัวของจี้เจี้ยนอวิ๋นหลังจากค่ำคืนอันลึกซึ้ง
คืนนั้นมาแล้ว
เธอไม่สามารถเสแสร้งว่าไม่รู้ได้หรอก
ซูตานหงหยิบเข็มและด้ายขึ้นมาด้วยท่าทางเหนียมอาย ก่อนเริ่มเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้สามีของเธอ
พลางนึกถึงจี้เจี้ยนอวิ๋นไปด้วยความสงสัยว่าเขาจะชอบชุดใหม่ที่เธอทำให้หรือไม่?
จี้เจี้ยนอวิ๋นยังเดินทางอยู่บนรถไฟ และเป็นเหมือนเดิมที่เขาต้องซื้อขนมเกลียวมาไว้สองชิ้นก่อนจะขึ้นรถไฟเพื่อรับมือกับการเดินทางนานถึงสองวัน ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ทำแบบนี้ยามต้องออกเดินทาง ชายคน
อื่น ๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน บนรถไฟมีอาหารขายแต่มีราคาค่อนข้างแพง ดังนั้นเขาจึงกินเพียงขนมเกลียวที่ซื้อมา
หลังจากที่แทะขนมเกลียวหมดไปสองชิ้นแล้วกระเพาะของเขาก็ว่างเปล่า ในเวลาที่เหลือของการเดิน
ทางเขาจึงต้องทนหิวเอาเอง
อย่างไรก็ตาม จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับคิดถึงภรรยาผู้ให้ความอบอุ่นอย่างมหาศาลกับเขาขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกโล่งใจที่ได้ออกจากบ้านในทุกครั้ง แต่ครั้งนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นพบว่าตนเองรู้สึกคิดถึงบ้าน
ขึ้นมา
ฝ่ายซูตานหงไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก เธอกำลังตัดเย็บชุดและถักเสื้อไหมพรมให้กับจี้เจี้ยนอวิ๋นอย่าง
เต็มความสามารถ
ตอนนี้อากาศหนาวแล้วและเธอต้องรีบทำอย่างเร็วเพื่อส่งไปให้จี้เจี้ยนอวิ๋น เขาจะได้ใส่มันตั้งแต่เนิ่นๆ
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ ภายในสิบวันเธอก็ตัดชุดเสร็จไปสองตัวและถักเสื้อไหมพรมเสร็จอีกหนึ่ง
ตัว
หลังได้คุยกับคุณแม่จี้แล้วเธอจึงเดินทางไปที่ไปรษณีย์ในเมืองเพื่อส่งพวกมันไปให้จี้เจี้ยนอวิ๋น
ครั้งก่อนเป็นครั้งแรกที่เธอเข้าเมือง เธอจึงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับอะไร แต่ครั้งนี้ซูตานหงตัดสิน
ใจไปซื้อของที่ตลาดในเมือง เสื้อผ้าได้ถูกส่งไปให้จี้เจี้ยนอวิ๋นแล้วและตัวเธอเองก็มีเสื้อผ้าอยู่มากมาย ดังนั้นจึง
ไม่มีอะไรต้องทำ
จริงสิ เธอควรจะหาอะไรทำเพื่อเลี้ยงชีพสินะ
ในชาติก่อน แม้ว่าจะไม่ได้ออกจากจวน แต่เธอก็เปิดร้านขายผ้าปักและกิจการก็ดีมาก โดยให้พี่ชาย
ของเธอจะเป็นคนช่วยดูแลหน้าร้านให้
เมื่อคิดว่าจะกลับไปทำกิจการแบบเดิม เธอก็ต้องทิ้งความคิดนี้ไปหลังจากที่เธอได้เดินสำรวจไปรอบ ๆ เนื่องจากพบว่าสินค้าที่มีในร้านผ้าปักร้านเดียวในเมืองนั้นช่างไม่ถูกใจเธอเสียเลย
ถ้าจะต้องปักผ้าด้วยตัวเอง ธุรกิจคงไปไม่รอด เธอไม่มีผู้ช่วยเลยแล้วจะดูแลร้านผ้าปักทั้งหมดด้วยตัว
เองได้อย่างไร?
ในอดีตร้านผ้าปักได้เชิญช่างปักผ้ามาสี่คน แต่เป็นที่นี่แล้วเธอจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี? ถ้าผ้าปักเป็น
แบบที่ขายในร้านนั้นเธอก็คงจะไม่ชื่นชมมันเลย
ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็รู้สึกว่าควรจะรอบคอบให้มาก
เมื่อมาที่ร้านผ้าปักแห่งนี้อีกครั้ง ซูตานหงพยายามนึกถึงความคิดดี ๆ เธอมองดูงานปักอย่างละเอียด
จากนั้นก็ดูที่ราคา แล้วก็รู้สึกว่าเธอยังสามารถหาเงินเล็กน้อยมาจุนเจือครอบครัวได้
“คุณเจ้าของร้านรับซื้อผ้าปักไหมคะ?” ซูตานหงถาม
หญิงเจ้าของร้านยิ้มพลางเดินมาหาและกล่าวว่า “เรียกฉันว่าพี่หงก็พอค่ะ เรียกเจ้าของร้านแล้วฟังดู
เป็นคนเก่าคนแก่เลยเชียว”
ซูตานหงพูดตามอย่างลื่นไหล “พี่หง ฉันสามารถปักผ้าได้ดีกว่าผ้าปักผืนนี้ พี่จะรับซื้อไหมคะ?”
“รับสิ” หงเจี่ยได้ยินแบบนี้ก็มองมาที่เธอแล้วกล่าวว่า “แต่เธอรู้วิธีปักผ้าแน่นะคะ?”
ซูตานหงเข้าใจว่าหล่อนหมายถึงอะไร เธอไม่ได้มีรูปลักษณ์แบบที่ช่างปักควรจะเป็น แถมนิ้วของเธอยังหยาบกร้านดูไม่ละเอียดอ่อนแบบช่างปักผ้าเลย
“พี่หงมีตัวอย่างไหมคะ? ฉันจะปักสักสองสามฝีเข็มให้พี่ดู” ซูตานหงกล่าว
“ได้สิ” หงเจี่ยพยักหน้าแล้วนำตัวอย่างออกมาให้เธอ ผ้าปักชิ้นนั้นเป็นผ้าที่ปักเสร็จเพียงเสี้ยวเดียว จากนั้นหงเจี่ยก็กล่าวกับเธอ “น้องสาว เธอสามารถปักอันนี้ได้เลย”
ซูตานหงพยักหน้า เธอนั่งลงสัมผัสเส้นด้ายบนผ้าปักผืนนั้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากคุณภาพของด้ายปักนั้นอยู่ในระดับธรรมดา
ซูตานหงไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ว่าอย่างไรหงเจี่ยคงไม่ให้เส้นด้ายที่ดีที่สุดกับเธอได้ทันทีหรอก หล่อนต้องดูก่อนว่าซูตานหงมีความสามารถทำได้หรือไม่
ซูตานหงนั่งลงปักผ้าเงียบๆ และเข้าสู่ภวังค์อย่างรวดเร็ว ลายปักที่หงเจี่ยต้องการให้เธอปักนั้นเป็นลายนกและดอกไม้ ซึ่งมันเป็นแบบที่เรียบง่ายที่สุด เธอใช้รูปแบบลายนี้ฝึกปักผ้าตอนที่อายุได้ 6 ขวบ
ดังนั้นเธอจึงปักมันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเธอก็ปักรูปนกที่หงเจี่ยให้ทำจนเสร็จเรียบร้อย
เมื่อได้เห็นนกสีเหลืองสดใส แววตาของหงเจี่ยก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย จากนั้นหล่อนก็มองไปที่ซูตานหงด้วยสายตาจริงจัง “นี่เธอเรียนปักผ้ามากี่ปีแล้วคะ?”
“ไม่ได้คิดปิดบังอะไรพี่หงนะคะ นี่เป็นสิ่งที่ฉันเรียนรู้ด้วยตัวเอง ฉันแอบเรียนแอบหัดเท่านั้นเองค่ะ”
ซูตานหงลุกขึ้นแล้วพูดถ่อมตัวด้วยรอยยิ้ม
เธอเริ่มเรียนตอนอายุ 6 ขวบในชาติที่แล้วและเรียนอยู่ถึงสิบปีเต็ม แต่เธอเป็นคนมีพรสวรรค์ในด้าน
งานปักผ้าอยู่ด้วย คนอื่นต้องใช้ถ่านวาดแบบก่อนปักแต่เธอไม่ต้องทำแบบนั้น แค่มองไม่กี่ครั้งเธอก็สามารถปักลายได้แล้วและยังทำได้อย่างรวดเร็วทีเดียว
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เธอไม่ทำให้มารดาต้องเป็นกังวล
หงเจี่ยรู้สึกประหลาดใจและไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เลย สาวน้อยคนนี้แอบเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?
จากฝีปักนี้แล้ว คงไม่มีอาจารย์ด้านงานปักผ้าคนไหนที่มีฝีมือเทียบเท่ากับเธอเลยด้วยซ้ำ!
____________________