ตอนที่ 7 ตานหง เธอปักผ้าเป็นด้วยหรือ?
หงเจี่ยสงสัยว่าเป็นศาสตร์ประเภทใดกันที่ถูกสืบทอดมา?
จากนั้นหล่อนก็ได้ยินเสียงซูตานหงกล่าวต่อ “พี่หงคะ งานผ้าปักของฉันได้ราคาเท่าไหร่หรือคะ?”
ก่อนจะคุยถึงเรื่องการขาย เป็นธรรมดาที่ต้องเจรจาตกลงราคากันก่อน
หงเจี่ยอยู่ในธุรกิจนี้มานานหลายปีและมันถูกทำลายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้หล่อนกลับมาเปิดร้านอีกครั้งและมีช่องทางการขายเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่ยังขาดคือช่างปักฝีมือชั้นยอด แน่นอนว่าหล่อนไม่ต้องการจะปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญในภูมิปัญญาพื้นบ้านเช่นซูตานหงหลุดมือไป
“ให้พี่เรียกน้องสาวว่าอะไรดีคะ?” หงเจี่ยยิ้มพร้อมกับยกน้ำชามาให้
ตอนที่ซูตานหงเดินเข้ามาในร้าน หล่อนคิดว่าซูตานหงเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อซูตานหงนั่งลงและเริ่มปักผ้า เธอก็ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เธอคือคำอธิบายในคำพูดที่ว่าไม่สามารถตัดสินคนจากภายนอก หรือไม่สามารถคำนวณน้ำในมหาสมุทรได้
ซูตานหงบอกชื่อของเธอออกไป มันไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังอยู่แล้ว
หงเจี่ยหัวเราะในทันทีที่ได้ยิน “นับเป็นโชคชะตาจริง ๆ ชื่อของพี่คือเจินเหมียวหง ส่วนเธอชื่อซูตานหง เราทั้งสองคนต่างมีอักษรตัวหงอยู่ในชื่อด้วยกันทั้งคู่เลยนะคะ”
ซูตานหงยิ้มออกมา
“บอกได้เลยนะคะว่าจากที่พี่อยู่ในธุรกิจนี้มาเกือบสิบปี ยังไม่เคยเห็นอาจารย์ด้านงานปักผ้าที่ทำงานได้เร็วและปักงานออกมาได้ดีเท่ากับเธอเลยค่ะ” หงเจี่ยกล่าว
ซูตานหงยิ้มอย่างถ่อมตัว “เป็นพี่หงที่ชอบงานฉัน ฉันจะเทียบฝีมือกับคนฝีมือระดับอาจารย์ได้อย่างไรกันคะ”
“อย่าถ่อมตัวเลยค่ะ ฝีมือของเธอเป็นระดับปรมาจารย์ได้เลย อาจารย์ปักผ้าทั่วไปเทียบฝีมือกับเธอยังไม่ได้เลยค่ะ”
จากนั้นหงเจี่ยก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ปิดบัง “งั้นพี่จะไม่โกหกกับเธอแล้วกันนะคะ ถ้าเธอเอางานฝีมือแบบนี้ไปขายข้างนอก มันอาจจะได้ราคาที่สูงมากก็จริง แต่เธอจะต้องออกไปหาตลาดด้วยตัวเอง ซึ่งมันทำได้ยากและคนอื่นอาจจะยังไม่เชื่อถือในตัวเธอด้วย ดังนั้นงานจะถูกกดราคาเป็นธรรมดาค่ะ”
“งานปักแบบนี้ไม่ได้ขายออกไปได้ง่าย ๆ นะคะ เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว นอกจากร้านเราก็มีร้านผ้าปักที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองเจียงชุ่ยอยู่น้อยมาก แต่ถ้าเธอไว้ใจพี่ เธอก็มารับด้ายและเข็มไปจากที่นี่ เมื่อปักเสร็จก็นำงานของเธอมาให้พี่ แล้วพี่จะเป็นคนตีราคาให้เธอเอง ถ้าไม่พอใจราคาเราก็สามารถคุยกันได้ แล้วถ้าพี่ขายผ้าปักของเธอได้ พี่ก็ต้องคิดค่าคนกลางจากตรงนี้ด้วยเล็กน้อย น้องสาวคิดว่ายังไงคะ?”
“ทำตามที่พี่หงบอกได้เลยค่ะ” หลังจากที่ได้ฟังแล้ว ซูตานหงก็พยักหน้า
เจินเหมียวหงบอกเธอได้ครบถ้วนทุกอย่าง เธอคิดว่าคงเป็นเพราะเจินเหมียวหงเห็นว่าผลงานลายนกขมิ้นของเธอดึงดูดสายตาได้มากพอและอยากจะเก็บคนไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้รับการดูแลแบบนี้อย่างแน่นอน
“น้องสาวเป็นคนน่ารัก ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่หงไม่จะทำให้เธอต้องลำบากเลย” หงเจี่ยดีใจมากที่ได้พบเธอและเห็นว่าเธอสมควรจะได้เป็นอาจารย์ปักผ้าระดับชั้นนำ วิธีคิดของเธอไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“แต่พี่หงคะ ฉันตั้งใจว่าจะใช้ด้ายปักที่ดีกว่านี้” ซูตานหงบอก
“แน่นอนค่ะ นี่มันเป็นการฝึกฝีมือเท่านั้น” หงเจี่ยหัวเราะ จากนั้นก็เอาด้ายปักที่ดีที่สุดในกล่องมาให้เธอ
ซูตานหงรู้สึกคาดหวัง แต่หลังจากที่ได้เห็นมันเธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมานิดหน่อย
อย่างไรก็ดี นี่เป็นด้ายที่ดีที่สุดของหงเจี่ยแล้ว
เธอคงทำได้เพียงต้องใช้มัน
ซูตานหงมีความต้องการในด้านนี้สูงมาก และมีมุมมองต่อรายละเอียดบางอย่างมากกว่าเล็กน้อย
หงเจี่ยเองก็รู้ว่าซูตานหงไม่ค่อยพอใจกับด้ายปักของหล่อนนัก แต่หล่อนไม่เพียงแต่จะไม่เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจซูตานหงเท่านั้น แต่ยังยกระดับฐานะของซูตานหงที่อยู่ในใจของหล่อนขึ้นมาอีกด้วย
ความจริงแล้วผลงานปักของซูตานหงจะยอดเยี่ยมหรือไม่มันยังไม่แน่ชัด แต่หงเจี่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าซูตานหงจะรู้คุณภาพของด้ายปักได้เพียงแค่สัมผัสมันเท่านั้น
“น้องสาวไม่ต้องกังวลไปนะคะ ครั้งหน้าเมื่อเธอกลับมา พี่จะให้ด้ายปักที่ดีกว่านี้กับเธออย่างแน่นอน!” หงเจี่ยบอก
ซูตานหงยินดีเช่นกัน “ถ้างั้นรบกวนพี่หงด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ”
หงเจี่ยเคยไม่กล้าเข้าร้านขายด้ายปักคุณภาพสูงเพราะกลัวว่าจะเสียของ แต่เมื่อตอนนี้ได้เจอบุคคลมีค่าเช่นนี้ หล่อนจะต้องไปซื้อมันมาอย่างแน่นอน นอกจากนี้การใช้ด้ายปักคุณภาพดีมากขึ้นก็จะทำให้คุณภาพของงานปักที่ได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้พวกเธอยิ่งขายได้ในราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
นี่มันมีแต่ข้อดีชัด ๆ
หงเจี่ยไม่ต้องการเงินมัดจำใด ๆ ดังนั้นซูตานหงจึงนำด้ายปักที่ดีที่สุดและเข็มจากที่ร้านกลับไปด้วย แต่เธอไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านนัก เธอเดินไปรอบ ๆ ตลาดและซื้อของใช้ที่จำเป็นจนพอใจก่อนจะกลับบ้าน
หลังจากเห็นว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ซูตานหงจึงรีบผัดกับข้าวสองอย่าง จานแรกคือต้นหอมผัดไข่ อีกจานเป็นพริกหวานผัดกับหมู จากนั้นเธอก็นำอาหารมาที่บ้านใหญ่ตระกูลจี้
“ตานหงเหรอ?” คุณพ่อและคุณแม่จี้ที่กำลังเตรียมตัวจะกินข้าวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสะใภ้สามมาหา
“คุณพ่อคุณแม่คะ ฉันไม่ได้เตรียมอาหารไว้ก็เลยผัดกับข้าวมาสองอย่างตั้งใจจะเอามาแบ่งกินกับของคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ” ซูตานหงบอก
คุณพ่อจี้พยักหน้ารับรู้และให้เธอนั่ง
“มาที่นี่แล้วเธอจะผัดกับข้าวมาอีกทำไมกัน?” คุณแม่จี้กล่าว นางรู้สึกพอใจมากเมื่อได้เห็นจานกับข้าว ไม่ใช่เป็นเพราะว่านางโลภอยากกินอาหารสองอย่างนี้หรือเป็นเพราะทัศนคติที่มีปัญหาของสะใภ้บ้านสาม
แต่เป็นเพราะซูตานหงแสดงความกตัญญู ที่แม้แต่อาหารจานเนื้อเธอยังเต็มใจที่จะนำมาให้
คุณแม่จี้เอาจานและตะเกียบส่งให้เธอและบอกให้เธอนั่งลงกินด้วยกัน
อาหารของคุณพ่อกับคุณแม่จี้นั้นเรียบง่ายมาก มีกะหล่ำดองหนึ่งจาน ถั่วเค็มหนึ่งจาน แล้วก็อาหารสองจานที่ซูตานหงนำมาให้ ซึ่งเป็นอาหารจานเนื้อที่เพิ่มขึ้นมา
คุณพ่อจี้นั่งกินข้าวเงียบๆ แต่คุณแม่จี้นั้นไม่ได้สุภาพมากนัก นางกินข้าวไปด้วยและพูดคุยไปด้วย
ซูตานหงกล้าจ้องหน้าจี้เจี้ยนอวิ๋นก็จริง แต่เธอไม่กล้าทำแบบนี้กับคุณแม่จี้
“ส่งเสื้อผ้าทั้งหมดไปให้เจี้ยนอวิ๋นแล้วหรือ?” คุณแม่จี้ถาม
“ส่งไปแล้วค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า
“เธอเขียนจดหมายไปให้เจี้ยนอวิ๋นด้วยหรือเปล่า?” คุณแม่จี้ถามขึ้นอีกครั้ง
หน้าของซูตานหงแดงระเรื่อขึ้นและพยักหน้าน้อยๆ “ฉันเขียนส่งไปไม่กี่คำค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ คุณแม่จี้จึงมองอย่างขบขันและกล่าวว่า “มีอะไรต้องอายกันกับอีแค่เขียนจดหมายให้สามี? นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือไง?
ซูตานหงรีบเปลี่ยนเรื่องและพูดกับพ่อสามีของเธอทันที “คุณพ่อคะ ฉันอยากจะรบกวนให้คุณพ่อช่วยทำสะดึงปักผ้าให้ฉันหน่อยน่ะค่ะ”
คุณพ่อจี้เคยเป็นช่างไม้ กล่าวได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีนี้มีคนในหมู่บ้านต้องการทำตู้เสื้อผ้าเป็นสินสอด และพวกเขาก็มาหาพ่อสามีของเธอ
“สะดึงปักผ้าเหรอ?” คุณพ่อจี้ไม่ได้เป็นคนเอ่ย แต่เป็นคุณแม่จี้ที่เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เธอต้องการของสิ่งนั้นไปทำอะไร?”
ซูตานหงบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่าเธอเห็นงานผ้าปักในเมืองเมื่อสองปีก่อนและรู้สึกว่ามันดูสวยดี เธอเลยแอบเรียนรู้ด้วยตัวเองที่บ้าน
“วันนี้ฉันไปส่งเสื้อผ้าให้เจี้ยนอวิ๋นแล้วเห็นว่ายังเช้าอยู่ ฉันเลยไปร้านผ้าปักของพี่หงมาค่ะ แล้วก็ได้ปักผ้าลายนกขมิ้นให้พี่หงดู หล่อนบอกว่างานปักผ้าของฉันสามารถหาเงินได้ค่ะ ฉันเลยคิดว่าอยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่ได้ประโยขน์อะไร แต่หากได้ทำงานฝีมือแล้ว อย่างน้อยก็ยังพอจะสามารถหาเงินมาเพิ่มให้ครอบครัวได้บ้าง”
เธออยากจะหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ซึ่งตัวเธอเองพร้อมที่จะมีลูกแล้ว ส่วนเจี้ยนอวิ๋นทำงานอยู่ในกองทัพที่ถึงแม้จะมีเงินเดือนทุกเดือนแต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเธอมีลูกจริง ๆ มันจะต้องใช้เงินราวกับน้ำไหล ดังนั้นจะพึ่งพาแต่เจี้ยนอวิ๋นคนเดียวได้อย่างไร?
ที่บ้านมีเงินเก็บอยู่ก็จริง แต่อาหารและเสื้อผ้าสำหรับเด็ก ๆ จำเป็นต้องพิถีพิถันและลูกๆ ยังต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอนาคตอีก จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
อย่าว่าแต่คุณแม่จี้จะตกใจเลย แม้แต่คุณพ่อจี้ก็ยังนิ่งอึ้งไปด้วยเหมือนกัน
คุณแม่จี้เป็นคนตรงขวานผ่าซาก เมื่อมองไปที่ลูกสะใภ้สามผู้มีเอวหนาบั้นท้ายใหญ่และมือหยาบกระด้าง นางก็ไม่เก็บความสงสัยไว้ในใจ “ตานหงเธอปักผ้าเป็นด้วยหรือ?”
_____________________