ตอนที่ 120 คู่คนชราผู้สุขสันต์
แม้เธอจะยังไม่โตนัก แต่เด็กหญิงก็รู้ความดีมาก เมื่อรับรู้ว่าซูตานหงมีเด็กอีกคนหนึ่งอยู่ในท้อง เธอก็รับหน้าที่ดูแลเหรินเหรินน้อยในแบบของตนเอง นั่นก็คือการเล่นกับเขา
ถ้าต้องการอะไร เธอก็จะไม่ไปหาซูตานหง แต่ไปหาจี้เจี้ยนอวิ๋นแทน
จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินแล้วก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ฉันเป็นลุงสามของหนูต่างหาก พ่อของหนูยังไม่กลับมา แต่เขาจะกลับมาอีกไม่กี่วันนี้แหละ ถ้าหนูยังเรียกลุงสามว่าพ่อ เกิดพ่อของหนูกลับมา เขาจะมีเรื่องไม่สบายใจกับลุงสามนะ”
เยียนเอ๋อร์ยังไม่เข้าใจในคำพูดยาวเหยียดนี้ แต่หลังจากได้รับลูกพลับแห้งแล้ว เธอก็แบ่งให้น้องชายกินอย่างลิงโลด
เธอสามารถกินมันได้ หลังกัดเนื้อลูกพลับจนขาดแล้ว เธอก็ยื่นให้เหรินเหรินน้อยได้ชิม ซึ่งเหรินเหรินน้อยก็อ้าปากให้เธอป้อนอย่างว่าง่ายในทุกครั้ง
สองพี่น้องผลัดกันกินลูกพลับแห้งในแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เยียนเอ๋อร์เป็นคนกินทั้งหมด แต่เธอคิดไปเองว่าน้องชายของเธอก็ได้กินด้วย ทั้งที่ความจริงเหรินเหรินน้อยได้ชิมแค่นิดเดียว เขามีความสุขกับการกัดกินทีละน้อย ทั้งพี่สาวและน้องชายต่างผลัดกันกินทีละคำจนลูกพลับแห้งลูกนั้นหมดเกลี้ยง และทั้งคู่ก็มีความสุขมาก
แม้จะนำของไปขายในเมืองมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีของกินเหลืออยู่ในบ้านอีกมากเช่นกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นเองได้ซื้อแอปเปิลลังหนึ่งมา มันเป็นพันธุ์ที่สุกช้าและต่างจากพันธุ์ที่บ้านเขาปลูกไว้ ซึ่งครอบครัวของเขาได้เก็บเกี่ยวผลผลิตไปเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว
กิจวัตรประจำวันของซูตานหงก็คือการกินแอปเปิลวันละลูกทุกวัน และพิจารณาดูว่ามันอร่อยเพียงใด ส่วนตอนกลางคืนก็คือการได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงซึ่งกันและกันกับสามี ซึ่งเธอรู้สึกว่าชีวิตตนเองช่างไร้แก่นสารนัก มันมีแค่กินของดี ๆ และทำเรื่องอย่างว่ากับสามี มีเท่านี้เอง!
ชีวิตประจำวันในตอนนี้ของเธอจึงเป็นการดูแลตัวเอง และด้วยความที่ไม่ถูกจริตกับฝีมือการทำอาหารของจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ไม่ได้พัฒนาขึ้น เธอจึงไม่ทรมานตัวเองต่อไป และลุกขึ้นมาทำอาหารด้วยตัวเอง
เรื่องอย่างอื่นก็ไม่มีอะไร มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่จี้เจี้ยนอวิ๋นวิตกจริตไปเองหรอก อย่างไรเสียเธอก็ได้ขยับมือและเท้าบ้าง
ทุกวันเธอจะไปที่สวนหลังบ้านเพื่อรดน้ำให้ผักกาดขาว หัวไชเท้า และขึ้นฉ่ายที่ปลูกไว้ในโรงเรือนปลูกต้นไม้ จากนั้นก็พรวนดินให้กับต้นกล้าเบญจมาศ ช่างเป็นเรื่องง่ายดายนัก
เบญจมาศในคราวที่แล้วถูกขายไปจนหมด พวกมันถูกขายไปก่อนจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในเดือนแปด และขายในเมืองมหาวิทยาลัยด้วยราคาดีมากเช่นกัน ซึ่งเบญจมาศที่ซูตานหงเป็นคนปลูกนั้นถูกขายไปในราคากระถางละมากกว่า 60 หยวนเลยทีเดียว
นี่ยังเป็นราคาครึ่งหนึ่งจากที่คุณป้าหูขายไป ซึ่งก็คือ 120 หยวน!
คุณแม่จี้เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาจึงมาถาม และนางก็ถามเพียงเรื่องนี้ ไม่ได้มีเรื่องอะไรอย่างอื่น
ซูตานหงบอกไปอย่างไม่ได้ปิดบัง เมื่อนางรู้ว่าดอกเบญจมาศถูกขายไปในราคาสูงขนาดนี้ นางก็ตะลึงไป และสายตาที่นางมองมายังเธอก็พลันอ่อนโยนและรักใคร่เธอมากขึ้นราวกับกำลังมองตุ๊กตาทองคำตัวหนึ่ง
ในใจของคุณแม่จี้ ซูตานหงมีสถานะสูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย บอกได้ว่าซูตานหงพูดอะไรไป ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจของเธอได้
เพราะในสายตาของคุณแม่จี้แล้ว นางไม่เคยเห็นสะใภ้คนไหนจะได้ความเท่ากับสะใภ้สามเลย
การหาเงินเป็นเรื่องที่ยาก แต่พอมาเป็นสะใภ้สามแล้ว เธอกลับทำให้เป็นเรื่องง่ายราวกับกำลังดื่มกิน
อย่างการปักผ้าในคราวก่อนที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ต่อให้เรียนรู้มา แล้วเทียบกับเธอล่ะ? ที่ถ้าปักผ้าด้วยกำลังความสามารถที่มีแล้วก็จะได้งานปัก 2 ชิ้นในหนึ่งเดือน จากนั้นก็ขายได้ชิ้นละ 100-200 หยวน มันได้เงินง่ายขนาดไหนกันล่ะ?
ไม่ต้องพูดถึงสวนผลไม้ ฟาร์มแกะ ฟาร์มไก่เลย ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีงานปลูกดอกไม้อีก งานละเอียดอ่อนนี้ทั้งหมู่บ้านรวมถึงตระกูลหูต่างก็ปลูกกันเป็นปกติ แถมยังไม่ได้มีความลับอะไรด้วย
แต่ดูสะใภ้สามสิ แค่รดน้ำแล้วนำมันออกมารับแดด ดอกเบญจมาศก็ดูสวยสดงดงามมากจนขายได้ราคาดีแล้ว
ดอกเบญจมาศดูสวยงามจริง ๆ นางเคยเห็นอยู่ ต่อให้นางจะไม่ได้เข้าถึงสุนทรียภาพในการชื่นชมมัน แต่นางก็รู้สึกได้ว่าเบญจมาศที่สะใภ้สามปลูกเลี้ยงนั้นดูเป็นดอกไม้ชั้นสูงเป็นพิเศษ ดูสูงส่งกว่าที่คุณป้าหูปลูกเป็นสามเท่า!
คุณแม่จี้จึงไม่ประหลาดใจที่เธอสามารถหาเงินได้ แต่ที่นางตกใจก็คือวิธีการหาเงินของสะใภ้สาม ต่อให้นางอยากจะทำก็ไม่สามารถทำอย่างเธอได้ ดังนั้นคนอื่น ๆ ก็อย่าหวังว่าจะแย่งชามข้าวของเธอไปได้เช่นกัน!
จากนั้นคุณแม่จี้ก็รู้สึกภูมิใจในวิสัยทัศน์ของตัวเองอีกครั้ง และรู้สึกลึก ๆ ว่าซินแสคนนั้นในตอนนั้นช่างมีความสามารถจริง ๆ เขาทำนายทายทักได้แม่นยำมากเหลือเกินว่าการแต่งลูกสาวของเหล่าซูเข้ามาเป็นสะใภ้นั้นจะทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งได้ขนาดนี้ ต่อให้ค่าสินสอดจะสูงลิ่วไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกับสะใภ้ที่แต่งเข้ามาแล้วก็คุ้มค่าทีเดียว
ทำนายได้แม่นจริง ๆ!
ซูตานหงที่ไม่รู้ว่าแม่สามีตัวเองคิดถึงอะไรไปไหนต่อไหนแล้วก็เอ่ยขึ้น “ฉันสังเกตเห็นว่าช่วงนี้คุณแม่ดูมีผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นนะคะ? ตอนกลางคืนนอนหลับสบายดีหรือเปล่าคะเนี่ย?”
“ฉันนอนสบายทุกคืนล่ะ เธอไม่ต้องห่วง ทั้งร่างกายของฉันกับคุณพ่อตอนนี้แข็งแรงดีกว่าแต่ก่อนเยอะ” คุณแม่จี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
ในบางครั้งจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ส่งตัวยาสมุนไพรไปให้นางต้มกับน้ำไว้แช่เท้าอยู่บ้าง
คู่สามีภรรยาชราที่มีชีวิตอยู่มายาวนานก็ได้เสวยสุขที่เกิดจากสะใภ้ของตนในตอนนี้เอง หลังรู้ว่าตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นมีรายได้ที่ดีแล้ว ทั้งคู่จึงเปิดรับอย่างเต็มใจ พวกเขาแช่เท้าในทุกครั้งที่ลูกชายนำสมุนไพรมาให้ แล้วมันก็อุ่นสบายอย่างที่คิดจริง ๆ
นอกจากนี้พวกเขายังได้กินอาหารดี ๆ ทุกวัน ทุกมื้อล้วนไม่ขาดเนื้อสัตว์และไข่ อีกทั้งยังมีผักสด เช่นเดียวกับน้ำแกงบำรุงร่างกาย นอกจากนี้พวกเขายังไม่ต้องทำงานหนักทุกวัน และได้ออกกำลังกายเพียงพอ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะมีรูปลักษณ์และผิวพรรณที่ดี
แม้พวกเขาจะมีอายุมากขึ้น แต่ใครจะบอกไม่ได้ล่ะว่าทั้งคู่ดูอ่อนเยาว์มากกว่าเดิมเสียอีก?
คุณแม่จี้กำลังจะเดินขึ้นภูเขา ซูตานหงก็เอ่ยขึ้น “คุณแม่คะ ฉันตุ๋นน้ำแกงไก่ใส่งาไว้ รอเดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันจะตักน้ำแกงให้ไปกินสักส่วน”
“ไม่เป็นไรหรอก เธอเก็บไว้กินบำรุงร่างกายของเธอเถอะ” คุณแม่จี้พูดรัวเร็ว
“ทำไมคุณแม่ต้องพูดติดขัดแบบนั้นด้วยล่ะคะ?” ซูตานหงยิ้ม “คุณแม่รอก่อนเถอะค่ะ อย่าเพิ่งไปเลย ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกให้เจี้ยนอวิ๋นตามไปส่งให้ทีหลังนะคะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินไปตักน้ำแกงไก่มาให้ ในนั้นมีทั้งน่องไก่ ปีกไก่ และเนื้อไก่บางส่วน น้ำแกงหนึ่งถ้วยไม่พอที่จะประทังหิวได้ ต้องเป็นน้ำแกงสองถ้วยถึงจะพอดีกินสำหรับคนทั้งคู่
“เธอเก็บไว้กินเองเถอะ” คุณแม่จี้บอกขณะที่เห็นเธอกำลังยกน้ำแกงออกมาให้
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ รีบรับไปกินกับคุณพ่อขณะที่มันยังร้อนอยู่เถอะค่ะ” ซูตานหงตอบ
“งั้นก็ได้” คุณแม่จี้รับน้ำแกงเหล่านั้นแล้วจากไป
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม ต่อให้ช่วงนี้จะเป็นช่วงกินอาหารว่าง แต่อาหารว่างนี้ก็อุดมไปด้วยสารอาหารจริง ๆ
เมื่อขึ้นไปบนภูเขาแล้ว คนชราทั้งคู่ก็ลงมือกิน น้ำแกงนี้มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง มีทั้งเมล็ดงาและเนื้อไก่แล้วมันก็ให้รสชาติที่อร่อยเป็นพิเศษ
“คุณต้องบำรุงร่างกายให้ดี ๆ นะ เจี้ยนอวิ๋นเอาของไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัยครั้งนี้คุณกลับเป็นหวัดขึ้นมาเสียได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ขอความช่วยเหลือจากพี่ชายรองของภรรยาเขาหรอก” คุณแม่จี้พูด
“ก็ผมไม่รู้เหมือนกันนี่” คุณพ่อจี้ตอบ
“พรุ่งนี้เจี้ยนเหวินกับลี่ลี่จะกลับมาหา แล้วก็อวิ๋นอวิ๋นด้วย” คุณแม่จี้บอก
“พวกเขาจะมาเมื่อไหร่ก็ให้มากันเมื่อนั้นแล้วกัน” คุณพ่อจี้เลื่อนชามออกห่างและเอ่ยด้วยท่าทางไม่แยแส
ลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกสาวพวกนี้จะกลับมาหาตอนไหนก็ไม่เห็นจะแตกต่างอะไร แต่คนชราล้วนอยากจะเห็นภาพความปรองดองและงดงามอยู่ ดังนั้นควรกลับมาที่บ้านเก่าจะดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ที่สถานการณ์ทางบ้านถือว่าดีมาก เขาเองก็อยากมีปีที่ดีสักปีเหมือนกันนะ
“ตอนนี้เยียนเอ๋อร์เรียกเจี้ยนอวิ๋นกับตานหงว่าพ่อกับแม่ไปแล้ว คุณต้องบอกเจ้าสี่ในเรื่องนี้แล้วนะ” คุณพ่อจี้เอ่ยอย่างนึกขึ้นมาได้
“แล้วอย่างไรล่ะคะ? เด็กยังไร้เดียงสาอยู่ ใครเลี้ยงหล่อนดีหล่อนก็เรียกว่าเป็นพ่อเป็นแม่ทั้งนั้นแหละ” คุณแม่จี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
เด็ก ๆ ล้วนเป็นแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ? ตอนที่เจี้ยนเหวินกับลี่ลี่กลับเข้าเมืองเจียงสุ่ยแล้วฝากเยียนเอ๋อร์ไว้ เยียนเอ๋อร์ก็โตพอรู้ความบ้างแล้ว เด็กน่ะโตแล้วก็ลืมง่าย ถ้าจำพวกเขาได้ก็นับว่าแปลก
การที่เธอเรียกคุณลุงสามและคุณป้าสามว่าเป็นพ่อแม่ของเธอล้วนแสดงให้เห็นว่าเจ้าสามกับสะใภ้สามดีกับเยียนเอ๋อร์จริง ๆ ไม่อย่างนั้นเยียนเอ๋อร์จะถูกเลี้ยงดูมาดีขนาดนี้หรือ? นางกล้ารับรองเลยว่าต่อให้เยียนเอ๋อร์อยู่กับพ่อแม่ของตัวเอง เธอก็คงถูกเลี้ยงมาไม่ดีเท่ากับตอนที่อยู่ในบ้านของคุณลุงสามหรอก
…………………………………………