ตอนที่ 133 หลักการของคุณแม่ซู
เมื่อเห็นว่าลูกชายคนรองถามขึ้น คุณแม่ซูก็ไม่คิดปิดบังและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขา
ซูจิ้นตั๋งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เรื่องนี้รอดูไปก่อนเถอะครับ”
“ไม่ต้องไปกังวลเรื่องพวกเขาหรอก ทำตัวเองกันทั้งนั้น เราก็ฉลองปีใหม่ของเรากันเถอะ” คุณแม่ซูไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก
ซูจิ้นตั๋งเอ่ย “ไปทำงานกับเจี้ยนอวิ๋นก็ดีนะครับ ขอแค่พี่ใหญ่ไม่ไปแสดงนิสัยเสียของเขาให้คนอื่นเห็นก็พอ คนทางนั้นยิ่งมีเยอะอยู่ ถ้าเขาทำเสียบรรยากาศคงไม่ดีแน่ครับ”
“แต่ถ้าพี่สะใภ้เกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ของแกไม่ได้ ฉันก็หมดปัญญาจะช่วยอะไรแล้ว คิดว่าเงินทองมันหาง่ายนักหรือยังไงกัน?” คุณแม่ซูกล่าว
ใจนางเองก็หวังให้ลูกเขยกำราบลูกชายคนโตให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้าง ด้วยฝีมือของลูกเขยนางเชื่อว่าจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน แม้ไม่ได้หวังให้ลูกชายเป็นคนเก่งกาจ ทว่าอย่างน้อยก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
ซูจิ้นตั๋งไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก สะใภ้รองซูเอ่ยปากถามเมื่อเขากลับเข้ามาในห้อง “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ? ยังจะฉลองปีใหม่กันอยู่หรือเปล่าคะ?”
เป็นธรรมดาที่หล่อนจะไม่พอใจ เพราะนาน ๆ ทีจะได้กลับมาที่นี่ทั้งทีหลังจากอาศัยอยู่ในเมืองแต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ นี่มันเป็นการจงใจทำให้เสียบรรยากาศไม่ใช่หรือ? ไม่ต้องพูดถึงหล่อนที่อยู่ไม่นานเลย ต่อให้อยู่ที่นี่เป็นประจำ หล่อนก็นับว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของตนเช่นกัน!
ซูจิ้นตั๋งจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟัง
“คุณแม่นี่ก็เหลือเกินจริง ๆ ท่านก็รู้ว่าพี่ใหญ่ไม่เอาถ่านไม่ใช่เหรอคะ? ให้เขาไปทำงานกับเจี้ยนอวิ๋นจะต่างอะไรกับการสร้างปัญหากันล่ะ?” สะใภ้รองซูว่าออกมาตามตรง
“เห็นบอกว่าตานหงกับเจี้ยนอวิ๋นเป็นคนเสนอออกมาเองนะ” ซูจิ้นตั๋งบอก
“แต่คุณแม่ก็น่าจะปฏิเสธไปสิคะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าพี่ใหญ่ไม่เอาไหนขนาดนั้น จะไปทำงานที่นั่นไหวเหรอคะ? คนงานบนเขามีฝีมือกันทั้งนั้นอย่าไปทำให้พวกเขาเสียงานเลยค่ะ” สะใภ้รองซูเอ่ยปราม
หล่อนรู้ว่าน้องสามีหวังดี แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าซูจิ้นจวินมีนิสัยเหลาะแหละ แม้น้องเขยกับน้องสามีจะเสนอมาเองแต่คุณแม่ซูก็ควรจะคัดค้านเรื่องนี้
ถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครอยากจ้างคนงานที่ขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่เช่นนั้นคงเป็นการกินแรงคนอื่นที่ขยันขันแข็ง ทั้งที่ได้ค่าแรงเท่ากัน
ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คนอื่นจะต้องคิดแบบนี้แน่ ๆ
“เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนมีเหตุผล ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นเขาคงไม่ยอมแน่ ถึงยังไงเขาก็เป็นทหารมาก่อน” ซูจิ้นตั๋งเอ่ย
เมื่อเห็นสามีเห็นด้วยกับเรื่องนี้ หล่อนเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ตอนนี้ครอบครัวของหล่อนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะหวังให้คนรุ่นต่อไปได้สุขสบาย ทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนไม่ใช่เหรอ? ถ้าฐานะดีแล้วก็สามารถช่วยคนอื่น ๆ ได้ อย่างตอนที่ซูจิ้นตั๋งไปรับผลผลิตจากชาวบ้านแถบชานเมืองถึงที่บ้าน เขาก็ไปรับผลผลิตตามบรรดาบ้านที่ยากจน บ้านที่อยู่ตัวคนเดียวหรือไม่ก็อยู่เป็นม่ายที่ไม่มีที่ดินมากนัก ด้วยต่อให้พวกเขานำมาขายเองก็คงได้เงินไม่มาก เช่นนี้นอกจากจะซูจิ้นตั๋งจะได้ประโยชน์แล้วก็ยังได้ช่วยชาวบ้านด้วย
ทุกคนล้วนผ่านความยากลำบากมา ใครจะไม่อยากช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้กันล่ะ?
ขนาดกรณีของคนนอกยังเป็นเช่นนี้ กับญาติพี่น้องนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับญาติพี่น้องของตนด้วยว่าจะรับความช่วยเหลือไหม ถ้าพวกเขาไม่รับ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
อย่างในตอนที่หล่อนกลับไปเยี่ยมบ้านแม่ครั้งล่าสุด แม่ของหล่อนก็พยายามพูดว่าหล่อนควรจะแนะนำให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ของหล่อนมาช่วยงานที่ร้าน หากทำงานคล่องก็จะได้เป็นเรี่ยวแรงในร้านต่อไปได้
แต่หล่อนก็ไม่ได้เก็บมาคิดจริงจังแม้แต่น้อย ทำไมหล่อนจะไม่รู้นิสัยของพี่ชายกับพี่สะใภ้ของตัวเอง
ยามที่เงินทองหร่อยหรอ พวกเขาจะหันหน้าไปพึ่งพาใครได้ล่ะ?
หากพวกเขามาขอช่วยงาน ก็คงไม่อาจไว้ใจได้ว่าจะคิดขโมยเงินหรือไม่ ด้วยความที่ว่าพวกเขาจนตรอกจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว
หล่อนไม่ได้นึกขอบคุณในน้ำใจที่จะช่วยของพวกเขาจึงยืนกรานไม่เห็นด้วย ขนาดซูจิ้นตั๋งจะให้ลูกสาวของพี่ชายหล่อนที่อายุราว 11 หรือ 12 ปีและไม่ได้เรียนหนังสือมาช่วยดูแลสือโถวที่ร้าน หล่อนก็ยังไม่ยอม
อย่าหาว่าหล่อนเป็นคนไม่รักครอบครัวเลย แม้สิ่งนั้นจะได้จางหายไปนานแล้ว และตอนนี้หล่อนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้านแม่กับจิ้นตั๋ง หล่อนก็ยังนำเงินไปให้พ่อแม่อยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็นับว่ากตัญญูมากโขแล้ว เมื่อเทียบกับพี่น้องของหล่อนที่ไม่เคยให้เงินหรือสิ่งของตอบแทนแม้แต่น้อย!
สะใภ้รองซูรู้ดีว่ามันยากลำบากขนาดไหนกว่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีเช่นนี้ หล่อนจึงเห็นคุณค่าในชีวิตตนเป็นอย่างมาก หากมีใครมารบกวนความสงบสุข หล่อนก็พร้อมฟาดฟันไม่ให้พวกเขามาทำลายได้เป็นอันขาด!
แต่สำหรับเรื่องนี้ ต่อให้สะใภ้รองซูอยากพูดกับซูตานหงมากเพียงใดก็ไม่อาจทำได้
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นพี่ใหญ่ของซูตานหง หากพูดไปคงดูใจจืดใจดำไปเสียหน่อย จึงได้แต่บอกกับซูจิ้นตั๋ง “ถ้าได้เจอกับน้องสามีก็บอกด้วยแล้วกันนะคะ ว่าถ้าพี่ใหญ่ทำงานไม่ไหวก็ให้เขากลับมา อยู่ไปก็เป็นภาระหล่อนเสียเปล่า ๆ”
“ได้สิ เดี๋ยวผมจะบอกให้นะ” ซูจิ้นตั๋งพยักหน้ารับ
เรื่องนี้สำคัญก็จริง แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้พี่ใหญ่ไปเป็นภาระของน้องสาวได้
ในเวลาเดียวกันนั้นคู่สามีภรรยาบ้านข้าง ๆ ยังคงมีปากเสียงกัน
หากแต่ในท้ายที่สุดก็เป็นซูจิ้นจวินที่ถอนหายใจก่อนเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย “เดี๋ยวผมจะลองดูว่าจะไปรอดสักกี่น้ำแล้วกัน!”
“หึ ไม่ใช่แค่ลองดู แต่คุณต้องตั้งใจทำงานเพื่อฉันด้วย ไม่อย่างนั้นอย่าหวังจะได้ฉลองวันเกิดเลย ขอบอกไว้เลยนะว่าถ้าหาเงินเข้าบ้านไม่ได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่อย่างสุขสบายเด็ดขาด!”
“คุณมันประสาทจริง ๆ คอยดูเถอะผมจะหย่ากับคุณเข้าสักวัน!” ซูจิ้นจวินก่นด่า
“หย่างั้นเหรอ? ดูสภาพตัวเองบ้างเถอะ คิดว่าจะมีใครยอมแต่งด้วยอีกเหรอ? แล้วคิดว่าแม่คุณจะยอมเหรอคะ? คุณแม่คงได้มาหักขาคุณแน่!” สะใภ้ใหญ่ซูไม่กลัวคำขู่ ซ้ำยังยิ้มเยาะอีกฝ่าย
ถึงคุณแม่ซูจะไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่หล่อนก็ไม่ได้โง่ หล่อนสัมผัสได้ว่านางอยากให้เขาไป แม้เกรงว่าลูกชายคนโตจะทำให้ขายหน้าก็ตาม
อย่างไรเสียแม่สามีคนนี้ก็ยึดถือศักดิ์ศรีตระกูลตัวเองมาก จากที่เคยไปทำงานรับจ้างชั่วคราวที่นั่น หล่อนก็รู้ว่าคนงานในสวนขยันเพียงไหน พวกเขามาทำงานกันแต่เช้า หล่อนเองก็ต้องทำตัวให้ตระกูลจี้เห็นว่าเป็นคนขยันเช่นกัน จะได้มีโอกาสกลับไปทำงานอีก
หากไม่ใช่ญาติกัน คนตระกูลจี้จะเห็นหัวสามีหล่อนเหรอ?
ทว่าก็ต้องขอบคุณในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสมาถึงมือ
ค่าแรงที่ได้ก็ถือว่าเยอะมาก แม่สามีของหล่อนตกลงให้ถึงเดือนละ 10 หยวน ซึ่งล่อตาล่อใจไม่น้อย ครบหนึ่งปีก็จะได้เงินถึง 120 หยวน หลังจากนั้นหล่อนก็คิดจะเอาเงินก้อนนี้ไปต่อเติมบ้านอย่างที่บ้านหลายหลังในหมู่บ้านทำกัน หากได้เป็นหลังที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ต้องเดาเลยว่าจะเป็นที่น่าอิจฉาแค่ไหน
ดังนั้นหล่อนต้องเคี่ยวเข็ญสามีให้ไปทำงานที่นั่นให้ได้ ไม่อย่างนั้นหล่อนไม่ยอมรามือแน่!
ซูจิ้นจวินคิดอยากตบภรรยาให้หลาบจำเสียเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นท่าทีของหล่อนก็ไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นมา
ไม่อย่างนั้นแม่เขาคงได้มาหักขาเขาแน่ เพราะในฐานะแม่สามี นางจะตีลูกสะใภ้อย่างไรก็ได้ แต่ในฐานะผู้ชายและสามี เขากลับทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
มันเป็นหลักการพิลึกของนางที่ยึดถือสืบต่อมายาวนาน
………………………………………………………