ตอนที่ 137 ฝูงปลิงดูดเลือด
“หย่าเหรอ? เหล่าฉิน เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องหย่าเลยเหรอ?” จางเสวี่ยหลีอึ้งไปก่อนท้วงขึ้น
“เรื่องแค่นี้เหรอ? จางเสวี่ยหลี คุณรู้ไว้เลยนะว่าผมหาเงินพวกนี้มาด้วยความยากลำบากขนาดไหน มันไม่ได้เก็บได้ตามข้างถนนสักหน่อย แต่คุณกลับเอาเงินที่ผมหามาอย่างเลือดตาแทบกระเด็นไปประเคนให้ครอบครัวคุณ แล้วผมจะปล่อยคุณไว้ได้ยังไงล่ะ? ตัวคุณเองก็ไม่ได้กตัญญูกับพ่อแม่ผม แต่พอพวกท่านได้อะไรบ้างคุณก็คิดเล็กคิดน้อย คุณบอกผมมาเลยนะว่าหลายปีที่ผ่านมาคุณเอาเงินไปให้ครอบครัวคุณเยอะขนาดไหน ผมแต่งงานกับคุณแล้วก็ยังต้องหาเลี้ยงพ่อแม่กับญาติพี่น้องคุณอีกเหรอ? บอกไว้เลยนะจางเสวี่ยหลี คุณกลับไปเอาเงินคืนมาให้ครบเลยนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกลับมา เราจบกันแค่นี้!” เหล่าฉินระเบิดอารมณ์ออกมา
จางเสวี่ยหลีมีสีหน้าตื่นตระหนก และรู้ดีว่าหากครั้งนี้ทวงเงินกลับมาไม่ได้คงได้หย่ากับเหล่าฉินเป็นแน่ จึงรีบเอ่ย “ได้ เดี๋ยวฉันจะไปทวงให้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องห่วงนะคะ แม่ฉันบอกว่าเอาไปใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น”
“ยามฉุกเฉินเหรอ? เอาสิ ลองกลับไปดูว่าพวกเขาทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า จะบอกให้นะจางเสวี่ยหลี ว่าตั้งแต่แต่งงานกันมา ผมฉินอ้ายกั๋วไม่เคยทำให้คุณลำบากเลย มีแต่ต้องทนให้คุณเอาเปรียบ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ทนอีกแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ต้องทวงเงินมาให้ได้ ต่อให้คุณจะไม่กลับมาแต่ผมก็ต้องได้เงินคืน ได้ยินไหม!” เขาดุเสียงเข้ม
หล่อนรู้ว่าเขาถือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังและต้องการหลบเลี่ยง หากแต่ว่าสายไปเสียแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นจางเสวี่ยหลีจึงรีบกลับบ้านเกิด ด้านเหล่าฉินเองก็กลับไปรับคุณพ่อกับคุณแม่ฉินที่บ้านเกิดของตนเช่นกัน
“พ่อแม่ครับ ต่อไปช่วยผมด้วยนะครับ ผมจะส่งลูกทั้งสองคนเข้าเรียน จะเป็นคนไปรับส่งพวกเขาเอง แล้วก็จะดูแลพ่อกับแม่ที่อยู่ในเมืองด้วยครับ” เหล่าฉินเอ่ยขอร้อง
ทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ฉินต่างงุนงงเล็กน้อย “แล้วเสวี่ยหลีล่ะ?”
“ไม่ต้องไปสนใจครอบครัวหล่อนหรอกครับ แค่คอยช่วยผมที่นี่ก็พอ” เขาเอ่ย
เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ส่วนอีกสองคนที่เหลือต่างเป็นพี่สาว ดังนั้นหลังจากพี่สาวคนโตแต่งงานไปก่อนหน้านี้ เขาย่อมกลายเป็นคนที่ต้องหาเลี้ยงพ่อแม่ เขาเองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้กลับนึกระอาภรรยาตัวเองขึ้นมา
เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาออกทะเลไปทำประมงกับเพื่อนที่ปลดประจำการมาด้วยกัน แม้จะทำเงินได้มาก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำต่อ ด้วยเป็นงานที่อันตรายเกินไปจึงกลับมาทำงานที่บ้านเกิด
เขาเองก็เริ่มทำสวนผลไม้เช่นกัน แม้จะไม่ได้ทำกำไรมากมายแต่ก็มีคนขึ้นมาติดต่อขอซื้ออยู่ตลอด ถึงอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้
หลังทำงานเก็บหอมรอมริบมานาน เขาก็หวังจะมีกิจการให้เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ถึงอย่างไรอายุเขาก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว
เจี้ยนอวิ๋นจึงบอกว่าร้านของพี่ภรรยากำลังไปได้สวย และแนะนำให้เขาเปิดร้านบ้าง เขานึกตื่นเต้นและไปรับของมาขายทันที
ตอนนี้ธุรกิจขายเนื้อไก่กับไข่ของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้เขายังเรียนรู้การรับซื้อผักผลไม้มาขายจากพี่รองของภรรยาเจี้ยนอวิ๋น ถึงได้หาเงินได้มากอย่างทุกวันนี้
อันที่จริงเขาเองก็คิดจะซื้อร้านเป็นของตัวเองเมื่อเจ้าของที่ต้องการขึ้นค่าเช่า หากแต่ไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือไม่?
ครั้นคิดได้ว่าครอบครัวคงมีเงินไม่พอจึงได้ล้มเลิกความคิดนี้ไป
เขาไม่คิดว่าเจี้ยนอวิ๋นจะช่วยโดยที่อีกฝ่ายเสนอออกมา ทำให้เขาคิดเรื่องนี้จริงจังขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่าเจี้ยนอวิ๋นใช้เงินซื้อรถไปมากแค่ไหน ตอนนี้จึงเกรงว่าอีกฝ่ายคงเหลือเงินไม่มากนัก ไม่อย่างนั้นถ้าเขาต้องการจะยืมเงิน อีกฝ่ายก็คงไม่ขัดแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าเจี้ยนอวิ๋นจะยอมช่วยเขา
ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจจะซื้อร้านนี้ให้ได้
แม้เขาจะไม่ได้ดูแลเงินทองในบ้านมากนัก แต่เขาก็รู้ว่ามีเหลืออยู่เท่าไร
ทั้งยังไม่ได้เอาเรื่องเงินทองเล็กน้อยมาใส่ใจ แม้รู้ว่าภรรยาชอบเอาใจครอบครัวตัวเองก็ตาม
หากแต่เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องยอมทนให้หล่อนทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ต่อให้ครอบครัวเขาไม่เหลือเงินสักแดงเดียวเขาจะไปโวยวายอะไรได้?
เขาถึงต้องจัดการเรื่องนี้ขั้นเด็ดขาด เขาคงไม่มีทางหย่ากับหล่อนแน่ ที่พูดไปก็แค่ต้องการขู่ให้กลัวเท่านั้น แม้หล่อนจะทวงเงินทั้งหมดไม่ได้ เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่กลับมามือเปล่า
เป็นอย่างที่เหล่าฉินคิด ครอบครัวของจางเสวี่ยหลีมีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อหล่อนกลับไปบอกข่าว จริงอยู่ที่แม่หล่อนบอกว่าแค่ยืมแต่นางก็ไม่คิดจะคืนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำหล่อนยังถูกก่นด่าว่าอกตัญญูต่อครอบครัวที่เลี้ยงดูหล่อนมาขนาดนี้ได้อย่างไร? ถ้าไม่ได้แม่คลอดออกมา ป่านนี้หล่อนคงเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้คุณคนแล้วยังจะกล้ากลับมาทวงเงินอีกเหรอ?
เป็นน้องชายที่ก่นด่าหล่อน ใช่แล้ว น้องชายที่หล่อนซื้อจักรยานเป็นของขวัญแต่งงานให้อย่างไรล่ะ
หล่อนจึงปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “แม่คะ ได้โปรดคืนเงินฉันมาเถอะ ไม่อย่างนั้นเหล่าฉินได้หย่ากับฉันแน่ เขาต้องหย่ากับฉันแน่ ๆ ค่ะ!”
“หย่าเหย่ออะไร ฉันว่าเขาก็แค่ขู่แกเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงถูกแจ้งจับไปแล้ว!” คุณแม่จางว่าเสียงแข็ง
“แม่คิดว่าเหล่าฉินเป็นอย่างนั้นเหรอคะ?” หล่อนมองหน้าแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คิดแบบนั้นแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ? เสียดายที่เคยคิดว่าเป็นลูกเขยที่ดี ดูที่เขาทำตอนนี้สิ กล้าดียังไงให้แกมาทวงเงิน? จะบอกให้นะ ให้ตายแกก็ไม่ได้เงินหรอก!” คุณแม่จางเอ่ย
จางเสวี่ยหลีได้ยินก็นึกชอกช้ำใจ ก่อนจะไปทวงเงินคืนจากพี่สาวคนโต ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายแต่งงานกับคนจากครอบครัวที่สนิทสนมในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ประตูบ้านอีกฝ่ายกลับลงกลอนไว้หนาแน่นไม่ให้หล่อนเข้ามาได้ พร้อมกับเสียงของอีกฝ่ายที่ดังมาจากด้านใน “เสวี่ยหลี เห็นแก่พี่หน่อยเถอะนะ พี่เขยของเธอเพิ่งถูกจับเข้าคุกไป สุขภาพก็ไม่ค่อยสู้ดี ตอนนี้พี่มีครอบครัวต้องดูแล ไม่มีเงินคืนเธอหรอก แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่สาวคนนี้จะใช้คืนให้แน่นอน!”
จางเสวี่ยหลีขุ่นเคืองยิ่งนัก และพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าฉินถึงไม่ถูกชะตากับครอบครัวของหล่อน มีครั้งหนึ่งที่เขาเมาหนักแล้วพูดออกมาตรง ๆ ว่าครอบครัวของหล่อนเป็นฝูงปลิงดูดเลือด
เขาไม่เห็นเหรอว่าหล่อนก็ยืนหัวโด่อยู่? ตอนนั้นหล่อนถึงกับทะเลาะกับเขาเพราะพูดถึงครอบครัวตนเองแบบนั้น
ดูสภาพครอบครัวของหล่อนตอนนี้สิ ต่างกับที่เขาปรามาสเอาไว้ตรงไหน?
คนพวกนี้มีแต่จะหาประโยชน์จากหล่อน ที่ผ่านมาหล่อนเอาข้าวของเงินทองมาประเคนพวกเขาตั้งเท่าไร พ่อแม่ทำกับหล่อนแบบนี้ลงได้อย่างไร? ขนาดบอกว่าเหล่าฉินจะหย่าหากไม่ได้เงินกลับไปก็ยังไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย
พวกเขายังเห็นหล่อนเป็นครอบครัวอยู่หรือเปล่า? ว่ากันว่าถึงอย่างไรครอบครัวก็จะคอยเป็นที่พึ่งให้ลูกสาวที่แต่งออกไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่น่ะหรือคือที่พึ่งของหล่อน?
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตาสว่างยังคะเสวี่ยหลี่ ต่อจากนี้จะตัดขาดจากครอบครัวฝูงปลิงนี่ไหมคะ
ไหหม่า(海馬)