ตอนที่ 142 เหรินเหรินกับฉีฉี
จี้เจี้ยนอวิ๋นขึ้นราคาไก่อีก 2 เหมาต่อชั่งจากราคาเมื่อปีก่อน ซึ่งถือว่าไม่มากนักและยังเป็นราคาที่ลูกค้ายินดีจะซื้อ
ถึงอย่างไรเจ้าอื่น ๆ ในเมืองก็ขึ้นราคาเยอะกว่านี้มาก
เมื่อเอาของลงขาย กลุ่มลูกค้าจึงทยอยเข้ามาซื้อกัน
พวกเขาซื้อไปคนละตัวสองตัว บางรายถึงกับซื้อไปถึง 4 ตัว
ถึงกับมีคนท้วงถามว่าจะกินหมดเหรอ?
เจ้าตัวจึงตอบกลับมาว่าไก่เท่านี้แบ่งกันในครอบครัวแล้วยังถือว่าไม่มากเพราะมีญาติเยอะ
ไก่มีราคา 4-5 หยวน คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยหาซื้อมากิน แต่ครั้งนี้กลับมีคนสั่งถึง 4 ตัว รวมแล้วขายได้กว่า 20 หยวน
เงินเดือนในเมืองมหาวิทยาลัยค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้น คนส่วนใหญ่จะได้เงินเดือนราว 30 หยวน เมื่อรวมกับเงินพิเศษแล้วก็จะได้ประมาณ 35 หยวน แต่กลับมีคนควักเงินซื้อไก่ถึง 20 หยวน
เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่กระเป๋าหนัก
แม้จะขนไก่มาขายจำนวนมาก แต่เมื่อเริ่มขายก็มีคนแห่มาซื้อกัน พวกเขามาถึงตลาดตอนเจ็ดโมงครึ่ง ไม่ทันจะเก้าโมงก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว
เวลาขายของยิ่งมีลูกค้าเยอะ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นของดี แล้วก็จะยิ่งมีลูกค้าเพิ่มขึ้น
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าไก่ที่จี้เจี้ยนอวิ๋นขนมาขายนั้นนับว่าเป็นของดีแค่ไหน
น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาเอาไก่มาขายอย่างเดียว ไม่ได้เอาไข่แฝด น้ำผึ้ง และของอื่น ๆ ที่ลูกค้าต้องการมาด้วย
เมื่อขายหมดเขาก็พาพ่อไปกินบะหมี่ก่อนเดินทางกลับ ลูกค้าหลายคนนึกเสียดายที่มาซื้อไม่ทัน ถึงกับดักถามว่าพวกเขาจะมาขายอีกเมื่อไร ครั้งหน้าจะได้ไม่พลาดอีก
“ถึงจะขายของได้ดีก็อย่าประมาทไปล่ะ” คุณพ่อจี้เอ่ยเตือนระหว่างทางกลับบ้าน
แม้คุณพ่อจี้จะปลื้มใจ แต่หลังผ่านเหตุการณ์ครั้งใหญ่มา ก็ตั้งสติได้ทันทีก่อนปรามลูกชาย
“ผมรู้ครับ ไม่ต้องห่วง” อีกฝ่ายตอบพร้อมรอยยิ้ม
คุณพ่อจี้เองก็รู้ว่าลูกชายเป็นคนหนักแน่นและใจเย็น ถึงได้คิดช่วยสร้างเนื้อสร้างตัว รอบนี้ขายไก่ได้ตัวละ 4-5 หยวน รวมแล้วได้ถึง 300 กว่าหยวน นับว่าเป็นเงินก้อนโตทีเดียว
ยังเหลือไก่อีกเยอะที่จะเอาไปขายทำเงินได้อีกมาก
“พรุ่งนี้แกจะมาขายอีกไหม?” เขาถาม
“ไม่หรอกครับ ไปจัดการเรื่องที่สวนดีกว่า” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบกลับ
พ่อของเขาอายุมากแล้ว ให้ระหกระเหินมาถึงเมืองมหาวิทยาลัยคงลำบาก อีกทั้งเขายังสามารถไปที่นั่นเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว แม้สองสามเดือนนี้จะงานหนักหน่อย แต่ถึงตอนนั้นผลผลิตในสวนก็คงจะทยอยสุกแก่กันแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณพ่อจี้ก็ขึ้นไปบนเขา
ด้านจี้เจี้ยนอวิ๋นก็แวะมาหาภรรยาหลังจอดรถเสร็จ
“วันนี้ลูกยังคอยป่วนคุณหรือเปล่าครับ?” เขาล้างมือล้างหน้า พรมจูบเธอ ก่อนสวมกอดและส่งยิ้มให้
จี้ฉีมีชื่อเล่นว่าฉีฉี เหมือนกับที่จี้เหริงพี่ชายของเขาที่มีชื่อเล่นว่าเหรินเหริน
“ยังหรอกค่ะ ฉันก็แค่กินแล้วก็นอนไปวัน ๆ” เธอเอ่ยพลางยิ้มตอบ
คุณแม่ซูเตรียมอาหารไว้แล้ว พอจี้เจี้ยนอวิ๋นกินเสร็จแล้วออกไปทำงาน เธอก็คงได้แต่นอนพัก
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย แค่มีอาหารดี ๆ กินและไม่มีเรื่องต้องกังวลก็เพียงพอแล้ว แม้จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นบางครั้งก็ไม่เป็นไร
คุณแม่ซูไม่ได้อยู่ในห้องเฉย ๆ นางออกมาตากผ้าด้านนอก เพราะบ้านนี้มีเครื่องซักผ้าจึงช่วยให้สะดวกขึ้นมาก ถึงหลานชายจะใช้ผ้าอ้อมมากแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะลำบากในการเอาไปซัก
จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มทำบัญชี หลังหักค่าเดินทางและอื่น ๆ แล้ว วันนี้เขายังได้เงินมากกว่า 340 หยวน ซึ่งถือเป็นรายได้ก้อนโต
“บนเขายังเหลือไก่ให้ขายอีกเยอะ เดี๋ยวผมกับพ่อจะขนไปขายอีก” เขาเก็บเงินและบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
ตอนนี้ครอบครัวมีรายได้ค่อนข้างคงที่ ซูจิ้นตั๋งเองก็ซื้อของไปขายทุกวัน เดือนนี้เขาขายได้มากกว่าหลายร้อยหยวนแล้ว ด้านเหล่าฉินเองก็มีรายได้พอ ๆ กัน โดยทำเงินได้ถึง 400 หยวนต่อเดือน
หลังหักค่าจ้างคนงานแล้ว ก็ยังถือว่ามีรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นมาก
อีกทั้งการไปขายของในเมืองมหาวิทยาลัยเป็นครั้งคราวยังทำเงินเพิ่มได้มาก แม้จะไม่ใช่ของจำเป็นที่ลูกค้าต้องซื้อ แต่ก็ต้องรีบซื้อไว้เพราะนาน ๆ ทีเขาจะมาขาย
“ภรรยา เดี๋ยวผมจะนอนเป็นเพื่อนคุณเองนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
“ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้ารับ
หลังนอนไปได้ราวครึ่งชั่วโมง เขาก็ตื่นขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง ตอนนั้นเองก็พอดีกับที่คุณแม่จี้พาเหรินเหรินลงเขามา
ด้วยซูตานหงยังไม่ฟื้นตัวดี คุณแม่จี้จึงทำอาหารกินเอง เยียนเอ๋อร์กินมาบ้างแล้ว ในขณะที่เหรินเหรินกลับมากินที่บ้าน
“พ่อ น้องล่ะครับ?” เหรินเหรินถามทันทีที่มาถึงบ้าน
ตอนนี้เด็กชายเดินคล่องแล้ว ซ้ำยังพูดจาฉะฉาน ดูออกว่าฉลาดหลักแหลมและยังน่าเอ็นดู
“น้องหลับอยู่ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบพลางยิ้มขณะดึงลูกชายมากอด
เหรินเหรินเข้ามาดูน้องพร้อมพ่อ สีหน้าตื่นเต้นที่ได้เห็นน้องชายตนก่อนพยักหน้าหงึกหงักและบอก “ให้น้องนอนดีกว่าครับ ไว้ค่อยป้อนข้าวตอนตื่นแล้วกัน”
“น้องยังกินข้าวไม่ได้หรอกนะ” คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยความใจเย็น
“น้องกินไม่เป็นเหรอครับ?” เจ้าตัวเล็กถามขึ้นอย่างแปลกใจ “น่าสงสารจังเลย”
ถ้าไม่กินก็จะหิวน่ะสิ ปล่อยให้หิวไม่ดีเลยนะ ต้องกินให้อิ่มสิถึงจะถูก
“น้องกินนมได้ ไม่หิวหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเผยยิ้ม
“งั้นน้องคงไม่หิวมากสินะครับ” เหรินเหรินบอก เขารู้ว่านมช่วยให้อยู่ท้องได้เพราะตัวเองก็ยังดื่มนมมอลต์อยู่
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มก่อนจะพาเขาออกไปกินโจ๊กไข่ใส่เนื้อสับ มันมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน ถูกใจเจ้าตัวเป็นอย่างมาก
หลังกินข้าวเสร็จเขาก็มาหาแม่
“แม่ครับ กินข้าวหรือยังครับ?” เหรินเหรินน้อยเอ่ยถามซูตานหง
“กินแล้วจ้ะ” เธอส่งยิ้ม “ลูกไปช่วยคุณย่าที่สวนมาใช่ไหมจ๊ะ?”
“ครับ ผมช่วยถอนหญ้าให้ คุณย่าชมว่าผมเก่งด้วยล่ะ” เขาพยักหน้า
“เก่งมากจ้ะ เดี๋ยวต่อไปก็พาน้องไปเล่นด้วยนะจ๊ะ” เธอบอก
“ทำไมน้องนอนทั้งวันเลยล่ะครับ?” เขามองหน้าน้องชายก่อนถามขึ้น
“น้องยังเด็กอยู่จ้ะ ตอนเด็ก ๆ ลูกก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนะ โตมาถึงจะออกมาวิ่งเล่นทั้งวันได้” เธอยิ้ม
เหรินเหรินยิ้มตอบ ก่อนจะถามว่าจะได้กินสตรอเบอรรี่ในสวนคุณย่าเมื่อไร เพราะพี่สาวบอกว่าอร่อยมากแต่เขายังไม่เคยกินเลย ปีก่อนพวกพี่ ๆ ที่ได้กินสตรอเบอรี่กับแตงโมยังจำรสชาติหวานอร่อยได้ไม่ลืม
เขาจึงอยากกินขึ้นมาบ้างเช่นกัน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ของที่ดีอยู่แล้วยังไงก็มีคนซื้อ ต่อให้มีเงินไม่พอก็จะพยายามหาเงินมาซื้อจนได้
เอ็นดูเหรินเหรินจังเลยค่ะ โตไปมีคุณภาพแน่ ๆ
ปล. คอมยี่ห้อไหนใช้ดีบ้างคะ
ไหหม่า(海馬)