ตอนที่ 143 คนงานประจำ
ปีก่อนเหรินเหรินยังเด็กแต่ตอนนี้โตขึ้นมาก ฟันก็ขึ้นเยอะแล้ว แม้เขาจะไม่ใช่เด็กตะกละแต่ก็คิดถึงเรื่องกินอยู่ตลอด
ซูตานหงยิ้มและบอกให้เขารอสักครึ่งเดือนก็จะได้กินสตรอเบอรี่แล้ว
ถึงแม้ไม่รู้ว่าครึ่งเดือนนานแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าใกล้จะได้กินแล้วเขาถึงได้อารมณ์ดีอย่างนี้
ไม่นานเขาก็ง่วงและผล็อยหลับไป
ซูตานหงยังจำความรู้สึกช่วงอยู่ไฟท้องที่แล้วได้จึงเตรียมใจมาบ้างแล้ว โชคดีที่อากาศต้นเดือนสี่ไม่ร้อนเกินไปนัก สภาพอากาศในตอนนี้ถือว่ากำลังดีเลยทีเดียว
และยังเป็นจังหวะที่ดีเหมือนกับเมื่อคราวที่คลอดเหรินเหริน แม้จะต้องทนร้อนอบจนเหงื่อไหลไคลย้อยให้ได้ตอนอยู่ไฟ หากแต่มันเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ
ถึงอย่างนั้นซูตานหงก็ยังเต็มใจและยินดีที่จะเช็ดตัวด้วยน้ำร้อน
คุณแม่ซูเอ่ย “ตอนนี้แกก็อาการดีขึ้นแล้ว อย่ามัวแต่นึกถึงด้านแย่ ๆ เลย ครบสามวันแล้วก็ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ใครเขาใช้ช่วงเวลาทองไปกับการอยู่ไฟแบบนี้กันล่ะ? รู้ไหมว่ามีคนเฒ่าคนแก่เยอะแยะที่ตายเพราะอยู่ไฟผิดวิธีน่ะ อยากจะเป็นอย่างนั้นหรือยังไง”
ซูตานหงอยากจะร้องไห้ทั้งที่ไม่มีน้ำตา แม้ว่าจะอากาศดีแต่ช่วงนี้ก็ออกจะเหนื่อยไม่น้อย
ผิดกับบรรยากาศครึกครื้นระหว่างคุณแม่ซูกับคุณป้าหยางที่พูดคุยกันไม่หยุด
“ถึงเมื่อก่อนเธอจะลำบากแต่ตอนนี้ก็สุขสบายแล้ว ลูกสาวของครอบครัวก็ดี ส่วนลูกชายก็พึ่งพาได้” คุณป้าหยางกล่าวเยินยอคุณแม่ซู
“ที่ไหนกันล่ะจ๊ะ? พวกเขาก็แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้นแหละน่า” คุณแม่ซูขึ้นชื่อเรื่องความถ่อมตน ด้วยไม่เคยมีใครชมลูก ๆ ให้ได้ยิน
“ใครว่ากันล่ะ? เธอหมดห่วงเรื่องตานหงได้ก็เพราะว่าตาแหลมเลือกเจี้ยนอวิ๋นเป็นลูกเขยน่ะสิ นี่ไม่ได้ยอเขานะจ๊ะ แต่ว่าฉันไม่เคยเจอใครที่ดีเท่าเขาเลยล่ะ” คุณป้าหยางบอกจากใจจริง
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากตัญญูต่อฉันขนาดไหน” คุณแม่ซูเอ่ยพร้อมรอยยิ้มด้วยท่าทางปลาบปลื้ม
“เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนดี แต่ว่าจิ้นตั๋งก็ดีไม่แพ้กันหรอกนะ ขนาดพี่สาวฉันจากหมู่บ้านอื่นยังพูดถึงเขาเลยว่าเคยไปตระเวนรับซื้อของไปขายต่อ พวกชาวบ้านเลยมีรายได้กัน พวกเขาต่างก็ชื่นชอบจิ้นตั๋งกันทั้งนั้น แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังชมเขา” คุณป้าหยางกล่าว
“นั่นก็เพราะเจี้ยนอวิ๋นช่วยไว้ตอนแรกต่างหาก ไม่อย่างนั้นเขาจะทำเองได้ยังไงล่ะจ๊ะ?” คุณแม่ซูบอกพลางยิ้ม
“เจี้ยนอวิ๋นดูแลครอบครัวตัวเองได้ จิ้นตั๋งเองก็ทำได้เหมือนกันล่ะจ้ะ” อีกฝ่ายท้วง “แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าลูกชายคนโตของเธอก็ทำตัวดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”
คนในรัศมีสิบลี้แปดหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างรู้กิตติศัพท์ความเกียจคร้านของลูกชายนางดี คุณแม่ซูจึงเอ่ยขึ้น “จะบอกให้นะว่าฉันเกือบจะยอมแพ้กับลูกชายคนนี้ไปแล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่าเขามันไร้ความหวังขนาดไหน? ถ้าไม่เคี่ยวเข็ญให้ไปทำงานก็คงจะนอนอืดบนเตียงเตาตลอดนั้นแหละ ฉันกับสามีหรือก็ไม่ได้ขี้เกียจ ไม่รู้ไปได้นิสัยแบบนี้มาจากไหนกัน?”
ตอนแรกนางก็โมโหลูกชาย ต่อมาจึงทำได้แต่นึกปลงและไม่คิดจะสนใจอีก
“แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ? ได้ยินว่าเขามาทำงานตรงเวลาไม่เคยขาดเลยนะ แถมตอนเลิกงานบางครั้งก็ยังเลิกทีหลังคนอื่นด้วย” คุณป้าหยางปลอบ
“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็อย่าไปพูดถึงเลยจ้ะ” คุณแม่ซูตัดบท
นางถอนหายใจก่อนจะได้สติขึ้นมา
“ดีแล้วล่ะจ้ะ ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องในอดีตหรอก คนแก่ก็พูดไปเรื่อยแบบนี้แหละ ยังไงตอนนี้เขาก็กลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว ต่อไปนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะนะ” คุณป้าหยางเอ่ยขณะหยิบถั่วขึ้นมา
“ตอนนี้เจ้านั่นก็ยังเอาแน่เอานอนด้วยไม่ได้หรอกจ้ะ” คุณแม่ซูบอกพลางเผยยิ้ม
“ก็นั่นแหละจ้ะ ตอนนี้เงินเดือนคนงานประจำเท่ากับ 30 หยวน แถมยังมีของให้ทุกวันปีใหม่กับวันหยุดอีก เธอไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะเจี้ยนอวิ๋นน้องเขยเขา ไม่อย่างนั้นใครจะสู้เขาได้ล่ะ? ใคร ๆ ในหมู่บ้านก็อยากไปทำงานกับเจี้ยนอวิ๋นด้วยทั้งนั้นแหละ” อีกฝ่ายบอก
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ลูกชายสามของนางยังขอให้ทาบทามว่าพอจะรับเจ้าตัวไปทำงานที่สวนได้ไหม?
คุณลุงกับคุณป้าหยางต่างยินดีเป็นที่สุด ลูกชายพวกเขาเป็นคนดี ทั้งซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง พวกเขาเองก็มีที่ดินไม่มาก หากลูกชายได้ไปทำงานกับเจี้ยนอวิ๋น เจี้ยนอวิ๋นก็คงไม่ปฏิบัติแย่ ๆ กับพวกเขา
คุณป้าหยางจึงบอกเรื่องนี้กับตานหง
ตานหงได้ฟังก็เข้าใจได้ทันที จึงได้อธิบายว่าที่รับซูจิ้นจวินมาทำงานเพราะต้องการดัดนิสัยเท่านั้น ไม่ได้อยากได้คนงานเพิ่ม
หากแต่เธอก็รับปากว่าจะเรียกหยางอ้ายเซินมาช่วยเก็บผลผลิตคราวหน้าอย่างแน่นอน
หยางอ้ายเซินเป็นลูกชายคนที่สามของสองสามีภรรยา คนโตชื่อหยางอ้ายมู่ ส่วนคนรองชื่อหยางอ้ายหลิน
นางเองก็เห็นด้วย ใครจะไปบังคับคนอื่นให้จ้างคนงานประจำได้ล่ะ? อีกทั้งยังต้องจ่ายเงินเดือนคนละ 30 หยวน ตอนนี้พวกเขามีคนงานอยู่ 4 คน รวมแล้วต้องจ่ายถึง 120 หยวนทีเดียว!
สำหรับคนชนบท เงินจำนวนมากขนาดนี้ต่อให้ทำงานทั้งปีก็ยังหาไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเงินมหาศาลจริง ๆ อีกอย่างคนงานก็มีมากพอแล้วด้วย
อันที่จริงนางเองก็ละอายใจที่มาพูดเรื่องนี้กับซูตานหง หากแต่จะปล่อยให้ลูกชายพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?
ทว่าตำแหน่งงานประจำนั้นไม่ว่างแล้ว เหลือแค่งานชั่วคราวเท่านั้น
คุณแม่ซูเองก็มองสถานการณ์ออก เมื่อคุณป้าหยางกลับไปจึงได้เข้ามาถามลูกสาว “ป้าหยางอยากให้ลูกชายมาทำงานประจำที่นี่เหรอ?” นางถามเพราะรู้จักอีกฝ่ายดีและยังรู้อีกด้วยว่ามีลูกหลานอยู่กี่คน
“เห็นบอกเอาไว้เมื่อปีก่อนน่ะค่ะ” ซูตานหงตอบ
จริง ๆ แล้วนอกจากคุณป้าหยาง ก็ยังมีพี่สาวใหญ่สวี่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านที่เคยพูดเรื่องนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ?
เธอไม่ได้ตกปากรับคำ ได้แต่สัญญาว่าจะเรียกมาช่วยงานชั่วคราว
หากแต่เธอก็เคยจ้างซูจิ้นตั๋ง แต่เขาก็เป็นพี่ชายของเธอเอง เธอช่วยเขาแล้วใครจะมาว่าอะไรได้ล่ะ?
ตอนนี้มีคนงานประจำเพียงพอแล้ว มีเพียงบางครั้งที่งานหนักจนต้องจ้างคนงานชั่วคราว
“ท้ายที่สุดแล้วลูกสาวอย่างแกก็นึกถึงครอบครัวก่อน” คุณแม่ซูเอ่ยอย่างภูมิใจ
“แล้วมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเหรอคะ? พี่กับฉันก็เป็นลูกแม่เหมือนกัน จะตัดขาดกันได้ยังไงล่ะ? พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ฉันก็ต้องช่วยเขาแล้วอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?” เธอตอบ
คุณแม่ซูเอ่ย “รออีกหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้กิน ตอนนี้แกทนไปก่อนแล้วกัน”
“ได้ค่ะ” ซูตานหงที่กินของแสลงไม่ได้มาหลายวันแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวอีกหน่อยก็ได้กินสตรอเบอรี่แล้วน้าเหรินเหริน อดทนรอก่อน
เหมือนคนแก่จะได้เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้วค่ะ คุยสนุกเลย
ไหหม่า(海馬)